ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1576 การแลกเปลี่ยนในวังดุสิต
ใจกลางแดนสุขาวดีตะวันตก เป็นวิหารศาสนาพุทธหลังหนึ่ง ไฟตะเกียงสว่างไสว แสงเจ็ดสีวนเวียน
ทีปังกรพุทธะมาถึงที่นี่ ประนมมือไหว้ไปทางวิหาร
ที่นี่คือที่ที่อามิตาภพุทธเจ้าหนึ่งในสองศาสดาแห่งศาสนาพุทธ ผู้ปกครองแดนสุขวดีตะวันตกอยู่
ในวิหารไม่มีเสียงตอบคำขอของทีปังกรพุทธะ มีแค่ปัทมาสน์สีเขียวสิบสองกลีบแท่นหนึ่งลอยออกมา ตกลงเบื้องหน้าทีปังกรพุทธะ
“พระพุทธองค์เมตตา” ทีปังกรพุทธกล่าวขอบคุณ แล้วขึ้นไปบนบัวเขียวสิบสองกลีบนั้น
ปัทมาสน์นำท่านบินออกจากแดนสุขาวดีตะวันตก มาถึงความว่างเปล่าไร้สิ้นสุพนอกเขตแดน จากนั้นก็เริ่มลอยสูง เหมือนกับไปยังสถานที่ที่อยู่ ‘สูง’ กว่าความว่างเปล่าไร้สิ้นสุพนอกเขตแดน
ทีปังกรพุทธะนั่งบนบัวเขียวสิบสองกลีบ นิ่งเงียบไม่พูดจา ความคิดล่องลอย
ครั้งมหาภัยพิบัติ ท่านเคยไปยังจุดหมายเดียวกันบน ‘เส้นทาง’ เดียวกัน เพียงแต่ครั้งนี้ เรื่องที่ต้องการกระทำกลับแตกต่าง
ปัทมาสน์เขียวบรรทุกทีปังกรพุทธะ ‘ลอยขึ้น’ ค่อยๆ เข้าใกล้สถานที่แห่งหนึ่ง
ที่นั่นยากกำหนดตำแหน่ง ยากค้นหาร่องรอย เหมือนกับแดนเซียนอันเป็นมายา น่าอัศจรรย์สุดบรรยาย
“สหายเก่ามาเยือน ไม่ทราบสหายร่วมเส้นทางเสวียนตูอยู่หรือไม่?”
ครู่ต่อมา ตรงหน้าทีปังกรพุทธะสว่างขึ้น แดนเซียนนั้นพลันกว้างขวางขึ้น ถูกรับเข้ามาด้านในแล้ว
ในนี้ดารดาษด้วยดอกไม้วิญญาณและหญ้าประหลาด สัตว์วิเศษนกเซียนกระจายอยู่ทั่ว
ระหว่างน้ำตกอันงดงาม ตั้งไว้ด้วยตำหนักที่ดูธรรมดาหลังหนึ่ง
บนประตูตำหนักแขวนแผ่นป้าย เขียนว่า ‘วังดุสิต’ สามคำ ดูธรรมดาไม่มีความพิเศษ แต่ว่าจุดประกายการบำเพ็ญ ยิ่งเป็นคนที่มีระดับพลังฝึกปรือสูง ยิ่งทำความเข้าใจความลี้ลับนับไม่ถ้วนจากด้านในได้
เด็กคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูตำหนัก คารวะทีปังกรพุทธะ “นายผู้เฒ่าน้อยรออยู่ที่ตำหนักข้าง ขอให้อดีตพุทธะไปพูดคุย”
“ได้” ทีปังกรพุทธะพยักหน้า ลงจากปัทมาสน์สีเขียว ติดตามนักพรตเด็กเข้าไปในตำหนัก
มาถึงตำหนักข้างหลังหนึ่ง ด้านในมีคนนั่งอยู่บนอาสน์ เป็นพระอาจารย์เสวียนตู ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์
สองฝ่ายคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ยุคโบราณตอนต้น สนทนากันบ่อยๆ
ยังเกิดการกระทบกระทั่งกันตอนมหาภัยพิบัติในยุคสมัยนี้
แต่ว่าทีปังกรพุทะะคล้ายลืมเลือนเรื่องราวในตอนเกิดมหาภัยพิบัติหมดสิ้น สีหน้าสงบนิ่ง กล่าวเหมือนคิดถึงเล็กน้อย “ไม่ได้มาวังดุสิตเสียนาน เหล่าจวินสาบายดี? สหายร่วมเส้นทางเสวียนตูสบายดี?”
ท่านหยิบอาสน์ใบหนึ่งมาอย่างคุ้นเคย แล้ววางลงตรงหน้าพระอาจารย์เสวียนตู ก่อนจะนั่งประจัญหน้ากับอีกฝ่าย
พระอาจารย์เสวียนตูไม่ได้พูดถึงเรื่องในอดีต กล่าวอย่างราบเรียบ “นายผู้เฒ่าใหญ่ย่อมสบายดี ส่วนข้าไม่ได้เรื่อง เพียงอยู่ไปวันๆ”
“สหายร่วมเส้นทางเสวียนตูถ่อมตนไปแล้ว” ทีปังกรพุทธะยิ้ม “โยมศึกษความเรียบง่าย สร้างสายฟ้าในที่ไร้เสียง แสดงความสามารถแท้จริงในความธรรมดา บรรลุการถ่ายทอดวิชาของเหล่าจวินอย่างล้ำลึก ก้าวย่างได้เหนือกว่าและสูงกว่าคนมากมาย คนที่เหลือเพียงได้วาสนาสองสามส่วน”
กล่องแพรใบหนึ่งปรากฏขึ้นในแสงพุทธสมบูรณ์บนศีรษะของท่าน
ทีปังกรพุทธะหยิบกล่องแพรออกมา จากนั้นวางลงบนพื้น ผลักไปถึงจุดที่พระอาจารย์เสวียนตูเอื้อมมือถึง
“ข้าได้มาโดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน อาจจะช่วยเหลือสหายร่วมเส้นาทงได้อีกแรง”
พระอาจารย์เสวียนตูมองกล่องแพรใบนั้น เปลือกตาสั่นไหวเล็กน้อย ยื่นมือมาจับกล่องแพร แล้วเปิดออก
แสงวิเศษพุ่งปะทะหน้า ส่องใบหน้าของพระอาจารย์เสวียนตู
พระอาจารย์เสวียนตูสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน แต่เงียบงันลงชั่วขณะ
ครู่ต่อมา เขาหยิบกระดิ่งทองแดงใบหนึ่งออกมาสั่นเบาๆ
มีนักพรตเด็กเข้ามาในตำหนักข้างทันที “นายผู้เฒ่าน้อยมีคำสั่งใด”
“ถ้านายผู้เฒ่าใหญ่ไม่ว่าอะไร เจ้าจงไปหยิบของวิเศษที่เก็บไว้ในตึกเจี่ยอู่มา” พระอาจารย์เสวียนตูบอก
นักพรตเด็กขานรับถอยออกไป พระอาจารย์เสวียนตูปิดกล่องแพร วางไว้บนพื้นอีกครั้ง ไม่ได้พูดอะไรอีก
ทีปังกรพุทธะยิ้ม ไม่ได้เก็บกล่องแพรกลับมา
ในตำหนักข้างตกสู่ความเงียบสงัดชั่วขณะหนึ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง นักพรตเด็กประคองหีบไม้ใบหนึ่งกลับมา ส่งถึงตรงหน้าพระอาจารย์เสวียนตู “นายผู้เฒ่าใหญ่ไม่ว่าอะไร”
ทีปังกรพุทธะยิ้ม “ขอบคุณเหล่าจวิน ขอบคุณสหายร่วมเส้นทางเสวียนตู”
พระอาจารย์เสวียนตูรับหีบไม้มา ส่งให้ทีปังกรพุทธะ “ข้ากลับไม่ขอบคุณสหายร่วมเส้นทางหรานเติง แล้ว”
“เช่นนั้นอาตมาบอกลาเท่านี้ ไม่รบกวนสหายร่วมเส้นทางเสวียนตูไปส่ง” ทีปังกรพุทธะยังคงยิ้ม รับหีบไม้ ทิ้งกล่องแพรไว้ แล้วลุกขึ้นจากไป
ขณะกำลังออกจากวังดุสิต ทีปังกรพุทธะพลันชะลอฝีเท้า ถามขึ้น “ขอถามสหายร่วมเส้นทางเสวียนตู ผู้ที่ไปวังหยกเป็นสหายร่วมเส้นทางโฮ่วถู่หรือ?”
พระอาจารย์เสวียนตูตอบอย่างเรียบเฉย “มิผิด”
กระบี่ลงทัณฑ์เซียนที่สหายร่วมเส้นทางโฮ่วถู่โยนออกมา ดึงดูดสายตาของพวกเราทุกคน เป็นนางมีอยู่แล้ว หรือมาจากวังดุสิต?” ทีปังกรพุทธะถามเสียงเบา “ไม่ทราบว่าบอกได้หรือไม่?”
พระอาจารย์เสวียนตูบอก “มาจากวังดุสิต”
ทีปังกรพุทธะคล้ายนึกอะไรได้ ไม่ถามต่ออีก บอกลาจากไป ผละจากวังดุสิต กลับขึ้นบัวเขียวสิบสองกลีบ ออกจากสถานที่แห่งนี้
หลังจากทีปังกรพุทธะออกไป พระอาจารย์เสวียนตูมองดูกล่องแพรบนพื้นอยู่ในตำหนักข้าง
บนอาสน์ที่อยู่ตรงข้ามเขาเพิ่มคนผู้หนึ่ง กลับเป็นสตรีที่บุคลิกเปิดเผยสูงส่ง อบอุ่นหนักแน่น
สภาพของสตรีอาภรณ์งดงามเปลี่ยนแปลง รูปร่างเปลี่ยนไป
หมวกเมฆพัด อาภรณ์ย้อมคราม เอวมัดสายรัด สวมรองเท้าป่าน คือหยางเจี่ยนหยางเอ้อร์หลาง
“พบลู่ยาแล้ว? ผลลัพธ์เป็นอย่างไร?” พระอาจารย์เสวียนตูถาม
หยางเจี่ยนตอบ “เขาหวั่นไหวแล้ว สมควรสำเร็จ”
พระอาจารย์เสวียนตูพยักหน้า “เขาต้องการวิญญาณมารเมล็ดเพลิงที่ถูกเก็บในตะเกียงเคลือบหยกมายา อาศัยมารไฟปิ่งมาทำให้แผนการของเขาสำเร็จในก้าวเดียว นอกจากนี้แล้ว ต่อให้เขาเก็บพิณไว้ ก็มิอาจรับประกันความเรียบร้อยไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าเปลือกร่างของมารไฟปิ่งรุ่นนี้อยู่ที่เขาดาราทะเลดวงดาว”
“ยุคบุพกาลเป็นปีศาจ ยุคโบราณตอนเต้าเข้าสู่เต๋า ยุคโบราณตอนกลางกลายเป็นพุทธะ มาถึงยุคโบราณปัจจุบันกลายเป็นมาร เปลี่ยนสี่วิถีติดต่อกัน เขาก็ทำสมบูรณ์แบบแล้ว เพียงไม่ทราบว่าโอกาสสุดท้ายของเขาคืออะไร” หยางเจี่ยนมองไปยังกล่องแพรบนพื้น “แต่ว่าเมื่อมีของวิเศษชิ้นนี้ อาจารย์อาเสวียนตูท่านไม่ช้ากว่าเขาแล้ว?”
เพราะอยู่บนวังดุสิตมาหลายปี หยางเจี่ยนค่อยๆ รู้จักอาจารย์อาซึ่งที่แล้วมาสงบเสงี่ยม ไม่เคยอวดโอ่ตรงหน้าผู้นี้
เป็นอย่างที่ทีปังกรพุทธะพูด ผู้ชาญศึกไม่มีผู้ใดไร้ความสามารถ พระอาจารย์เสวียนตูแสดงความสามารถที่แท้จริงในความเรียบง่าย บรรลุการสืบทอดของเหล่าจวิน
บางทีเวลาต่อสู้กับคนอื่น อาจไม่เท่าจักรพรรดิดจื่อเวย ทั้งด้อยกว่ามหาเทวะเสมอฟ้า แต่ว่าพระอาจารย์เสวียนตูศึกษาวิชาเต๋า มองจากมุมอื่น ยังยากเย็นยิ่งกว่า
“กล่าวเรื่องนี้ยังเร็วไป” พระอาจารย์เสวียนตูมองกล่องแพรบนพื้น “หรานเติงเกิดเร็วกกว่าพวกเรา เขารวมไฟตะเกียงจากวังหยกและวังแปดทัศน์ได้ระหว่างยุคโบราณตอนต้นและยุคโบราณตอนกลาง เตรียมการไว้แต่แรก แต่ยังมิใช่รอมาถึงวันนี้ ถูกพวกเราตามทันหรอกหรือ? จะรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่เดินซ้ำรอยเขา ใช้เวลาอย่างเสียเปล่า”
“ไม่ทราบทีปังกรพุทธะต้องการแลกเปลี่ยนอะไรกับวังดุสิต?” หยางเจี่ยนถาม
พระอาจารย์เสวียนตูเอ่ยอย่างแช่มช้า “เขาแลกเปลี่ยนสารีริธาตุชิ้นหนึ่งที่ครั้งกระโน้นพระศรีศากยมุณีพุทธเจ้าทิ้งไว้”