ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1580 พิณชำรุดสี่สาย
“หมายความว่า พวกเราต้องหาเหตุผลให้อีกฝ่าย เหตุผลที่มากพอจะทำให้พวกเขาหวั่นไหว ผ่อนคลายการโอบล้อมจักรวาลฟ้าฟื้นชั่วคราว ถึงขั้นมองข้ามการคุกคามที่พวกเราอาจรวบรวมสี่กระบี่ลงทัณฑ์เซียนได้ครบในระดับหนึ่ง” เสวี่ยชูชิงว่า “สำหรับเส้นทางนอกรีตกับแดนสุขาวดีตะวันตกแล้ว บางทีพวกเขาอาจไม่เชื่อ แต่ขอแค่เปลือกนอกของเหตุผลนี้มีมากพอ พวกเขาก็จะผลักเรือตามน้ำ ทำเป็นผ่อนคลายแรงกดดันที่มอบให้พวกเรา เพื่อล่องูออกจากถ้ำ”
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุผลเช่นนี้หายากยิ่ง”
ตัวตนที่ต่ำกว่าระดับมรรคา แต่เทียบได้กับค่ายกลลงทัณฑ์เซียน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีอยู่สักกี่อย่าง?
ไม่กล่าวจากมุมมองด้านพลัง แม้พิจารณาคุณค่าจากด้านอื่นๆ ก็มีอยู่น้อยยิ่ง
สวีเฟยขมวดคิ้วเช่นกัน “คงไม่ให้พวกศิษย์น้องซือคงไปเสี่ยงอีกกระมัง?”
สำหรับเทวกษัตริย์ไร้ประมาณ เศษศิลาฟ้ากำเนิดส่วนหนึ่งที่หายไป มีความสำคัญยิ่งกว่าเศษศิลามนุษย์กำเนิดที่ตอนนี้เขากำลังช่วงชิงกับพระศรีอาริย์
“หากไร้หนทางจริงๆ เช่นนั้นได้แต่ขายเกาหานแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ “พวกชอบขายคนอื่นก็ต้องถูกคนอื่นขายทิ้ง เชื่อว่าท่านผู้เฒ่าราชันพระอาทิตย์คงเข้าใจ”
เสวี่ยชูชิงกับสวีเฟยมองเขาอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “ในเวลาแบบนี้เจ้าจริงใจหน่อยเถอะ”
“ก็ได้ ถ้าไม่ใช้เศษศิลาฟ้ากำเนิด ความจริงมีความคิดหนึ่ง” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “เพียงแต่ต้องขอให้พวกเจ้าแม่อู๋ตังสั่งสอน เพื่อเป็นการทดลอง”
เสวี่ยชูชิงพอได้ยิน คล้ายนึกอะไรได้ “มรดกบางอย่างของสายเหนือพิสุทธิ์หรือ? ตามคำพูดก่อนหน้านี้ของเจ้า วังหยกโดยพื้นฐานว่างเปล่าไปแล้ว วังท่องมรกตเกรงว่าคงเหมือนกันกระมัง?”
“ยังไม่ได้เข้าไปจริงๆ ผู้ใดยืนยันได้เล่า?” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย
เขาลุกขึ้น ออกจากตำหนักโอสถ มองดูการเปลี่ยนแปลงบของเมฆบนฟ้าไกล “ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร เล่นละครต้องเล่นให้สุด อดทนฝ่าเวลาสี่สิบเก้าปีนี้ไปให้ได้ รอโอกาสมาถึง ให้อีกฝ่ายปล่อยเหยื่อล่ออกมาก่อน”
“ถึงเวลานั้นเป็นพวกเราตัดเบ็ดทิ้ง กินเหยื่อล่อลงไป หรือถูกอีกฝ่ายตกได้ โดนจับในคราวเดียว ขึ้นอยู่กับฝีมือของตัวเองแล้ว”
สวีเฟยกับเสวี่ยชูชิงยืนอยู่ด้านข้างเขา ต่างพยักหน้าแช่มช้า
…
เขาดาราทะเลดวงดาว ในสวรรค์ไท่ซู่ แสงอัสดงวนเวียน เมฆมงคลไร้สิ้นสุด
แสงไฟสีแดงทองจุดหนึ่งลอยขึ้นมาจากต้นชบาศักดิ์สิทธิ์ พุ่งขึ้นไปด้านบนต่อเนื่อง ลอยไปยังวังทิพย์อันล่องลอยที่เหมือนกับอยู่ในที่สูงไร้สิ้นสุดนั้น
แดนหลี่กว่าง วังกษัตริย์บูรพา
ที่ประทับของกษัตริย์บูรพาไท่อี้คือที่นี่
แสงไฟรุ้งทองลอยเข้าไปในแดนลี่กว่าง แสดงรูปร่างของลู่ยาเต้าจวิน มาถึงด้านนอกวังกษัตริย์บูรพา เขาไม่ได้เข้าไป คารวะตำหนักที่เก่าแก่ยิ่งใหญ่ “ขอให้ใต้เท้ากษัตริย์บูรพาบอกที่อยู่ของวังดุสิต”
ในตำหนักไร้คนขานตอบ มีเพียงเสียงกระดิ่งดังขึ้น
จากนั้นลมสายหนึ่งบังเกิดขึ้นใต้เท้าลู่ยาเต้าจวิน ดันร่างเขาขึ้น ส่งออกจากแดนลี่กว่าง สวรรค์ไท่ซู่ เขาดาราทะเลดวงดาว ก่อนตะเข้าไปในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดนอกเขตแดนโดยตรง
ร่างของลู่ยาเต้าจวินเคลื่อนไหวในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดนอกเขตแดน เหมือนกับสูญเสียนิยามของกาลเวลา ขึ้นสู่แดนเซียนแห่งหนึ่งในชั่วขณะที่พร่ามัว
ในแดนเซียน ตำหนักที่ภายนอกดูธรรมดาแห่งหนึ่งตั้งอยู่ด้านใน
เป็นวังดุสิต
นักพรตเด็กยืนอยู่ที่ประตูตำหนัก คารวะลู่ยาเต้าจวิน “เต้าจวินเดินทางมาไกล ศิษย์ขอคารวะ”
“ไม่ทราบสหายร่วมเส้นทางเสวียนตูกับสหายร่วมเส้นทางโฮ่วถู่อยู่หรือไม่?” ลู่ยาเต้าจวินถาม
“นายผู้เฒ่าน้อยกักตัวหลอมยา เจ้าแม่โฮ่วถู่ฝึกฝนในห้องสงบใจ เคยบอกว่าถ้าเต้าจวินมาเยี่ยม ให้พาไปพบนาง” นักพรตเด็กพูดจบก็นำทางอยู่ด้านหน้า
ลู่ยาเต้าจวินเข้าไปในวังดุสิต ติดตามนักพรตเด็กมาถึงห้องสงบใจห้องหนึ่ง
ด้านในห้อง สตรีอาภรณ์งดงามผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเตียงเมฆ มองเห็นลู่ยาเต้าจวินเข้ามา ก็ลุกขึ้นพยักหน้ากล่าวว่า “เต้าจวินมาแล้ว”
ด้านข้างนางวางตะเกียงเคลือบใบหนึ่ง ไฟตะเกียงจุดหนึ่งลี้ลับยากหยั่งคาด แสดงความพิสดารของตัวเอง
ลู่ยาเต้าจวินเข้าไปในฟ้องสงบใจ มาถึงตรงหน้าตะเกียง กล่าวว่า “สหายร่วมเส้นทางโฮ่วถู่สบายดี ข้ามาตามการนัดหมายในวันนั้น”
พูดจบในมือเขาเพิ่มพิณโบราณคันหนึ่ง
บนพิณเต็มไปด้วยความเก่าแก่ สตรีอาภรณ์งดงามขณะมองดูมัน เหมือนกับรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของมรรคาฟ้า ลี้ลับไร้สิ้นสุด
เพียงแต่พิณโบราณเหลือเพียงสี่สาย สายที่เหลือล้วนขาดหมดสิ้น
สตรีอาภรณ์งดงามมิได้ประหลาดใจกับเรื่องนี้ นางทราบอยู่แล้วว่านี่เป็นพิณชำรุด
“ตะเกียงอยู่ที่นี่ เต้าจวินตามสบาย เอาวิญญาณมารเมล็ดเพลิงไปได้เต็มที่ แต่ตะเกียงนี้ต้องทิ้งไว้ที่วังดุสิต ขออภัยเต้าจวินด้วย” สตรีอาภรณ์งดงามกล่าว
“หาเป็นไรไม่ ข้าเข้าใจ” ลู่ยาเต้าจวินหันไปมองไฟตะเกียงนั้น
ในม่านตาสองข้างของเขาเหมือนกับมีเปลวเพลิงสว่างขึ้นเช่นกัน ถือกำเนิดก่อนฟากฟ้า ลี้ลับพิสดาร เหมือนกับบรรพบุรุษของหมื่นอัคคี
ไฟตะเกียงในตะเกียงเคลือบหยกมายานั้นมิได้รับผลกระทบ ยังคงลุกไหม้ต่อไป
แต่ว่าตอนนี้ส่วนในของแสงตะเกียงกลับเหมือนมีดวงไฟแปลกประหลาดหลายจุดลอยออกมาจากด้านใน หมุนวนปลิวว่อนในไฟตะเกียง
ดวงไฟได้รับการพันธนาการจากแสงตะเกียง มิอาจหนีรอด
แต่ว่าแก่นแห่งไฟหลีก่อนกำเนิดของลู่ยาเต้าจวินลอยออกมาจากในม่านตาของเขา ตกลงบนแสงตะเกียงของตะเกียงเคลือบหยกมายา
แสงตะเกียงอันกลมสมบูรณ์เหมือนกับเปิดเส้นทางสายหนึ่ง ดวงไฟหลายจุดที่เต้นระริกด้านในพลันลอยออกมา
จากนั้นไฟหลีก่อนกำเนิดของลู่ยาเต้าจวินก็ม้วนดวงไฟเหล่านี้ไว้ ก่อนจะดึงกลับไปในม่านตาของเขา
แสงตะเกียงนั้นกลับคืนสู่สภาพเดิม ไฟตะเกียงในตะเกียงโบราณยังคงลุกไหม้อย่างสงบในห้อง ส่องสว่างห้องเป็นสีขาวโพลน
“เช่นนั้นข้าขอลาแล้ว ขอสหายร่วมเส้นทางโฮ่วถู่ทักทายเหล่าจวินและสหายร่วมเส้นทางเสวียนตูแทนข้าด้วย” ลู่ยาเต้าจวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
สตรีอาภรณ์งามกล่าว “เต้าจวินรักษาตัว ข้าไม่ส่งแล้ว”
การแลกเปลี่ยนในวังดุสิต ฝ่ายไหนไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำปลอมเป็นจริง
เหล่าจวินมีนิสัยสงบนิ่งไม่สนสิ่งใด แต่การดำรงอยู่ของเขา มากพอจะสะกดกลโกงได้
หลังจากใช้สายตาส่งลู่ยาเต้าจวินจากไป สตรีอาภรณ์งดงามก็มีสีหน้าสงบนิ่ง นิ้วลูบบนสายพิณสี่สาย
พระอาจารย์เสวียนตูปรากฏขึ้นโดยไร้เสียง กล่าว “รอคอยโอกาสสุดท้ายเถอะ”
สตรีอาภรณ์งดงามเปลี่ยนแปลงรูปร่าง กลับเป็นใบหน้าเดิมของหยางเจี่ยน พยักหน้าว่า “มิผิด”
อีกด้านหนึ่ง ลู่ยาเต้าจวินออกจากวังดุสิต กลับสู่เขาดาราทะเลดวงดาว เข้าไปในสวรรค์ไท่ซู่ มาถึงที่อยู่บนต้นชบาศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง
เขาหยิบน้ำเต้าสีแดงใบหนึ่งออกมา เปิดจุกออก จากนั้นไฟหลีก่อนกำเนิดในดวงตาก็ผนึกวิญญาณมารเมล็ดเพลิงที่เหมือนดวงไฟเหล่านั้นเข้าไปในน้ำเต้า
“หยางอูจื่อ” ลู่ยาเต้าจวินเรียกเสียงแผ่ว
ดวงอาทิตย์สว่างไสวดวงหนึ่งขานรับ ปรากฏขึ้นจากที่ไกล แล้วตกลงบนต้นชบาศักดิ์สิทธิ์ เก็บแสงอาทิตย์ กลายเป็นอีกาสามขาตัวหนึ่ง มาถึงด้านหน้าลู่ยาเต้าจวิน กล่าวเสียงนบน้อมว่า “บรรพบุรุษอาวุโส”
“ถือของสิ่งนี้ไว้ในเขาดาราทะเลดวงดาว อย่าให้ใครแตะต้อง” ลู่ยาเต้าจวินว่า มอบน้ำเต้าสีแดงให้แก่อีกาสามขาตัวนั้น
อีการับน้ำเต้ามา ก็ขานรับตอบว่า “ขอให้บรรพบุรุษอาวุโสวางใจ ข้าจะตรวจสอบอย่างระมัดระวัง”
“ยังไม่ต้องรีบ ต่อจากนี้ให้ดูแลตลอดเวลาก็พอ” ลู่ยาเต้าจวินสั่ง
“ขอรับบรรพบุรุษอาวุโส” อีกาสามขาเว้นเล็กน้อย ลดเสียงกล่าว “บรรพบุรุษอาวุโส พิณคันนั้น…”