ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1585 การพรางตา
มารจิตแรกเริ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องอันใด สหายร่วมเส้นทางทีปังกรบอกกล่าวได้เต็มที่”
“พระพุทธองค์ต้องการใช้ของสิ่งนี้แลกเปลี่ยนกับคำมั่นสัญญาของนพยมดลก” ใจกลางฝ่ามือของทีปังกรพุทธะปรากฏบัวเขียว “ไม่ทราบนพยมโลกสนใจหรือไม่?”
มารจิตแรกเริ่มว่า “ดูเหมือนอามิตาภพุทธเจ้าจะเห็นด้วยแล้ว เมื่อเป็นแบบนี้พวกเราย่อมยินดี”
“เช่นนั้นรออีกสักหน่อย ข้าจะติดต่อสหายร่วมเส้นทางเอง” ทีปังกรพุทธะยิ้ม
ภาพเงาของมารจิตแรกเริ่มตรงหน้าค่อยๆ สลายไป หมอกควันที่เต็มไปด้วยสีสันสูญสลาย ไฟตะเกียงในแสงพุทธอันกลมสมบูรณ์กลับคืนสู่สภาพเดิม
ทีปังกรพุทธะลุกขึ้นยืนจากความว่างเปล่า ร่างกายล่องลอยไม่แน่นอน เหมือนกับยึดครองมิติเวลาทั้งหมด คงอยู่ทุกที่ ความว่างเปล่าอันไพศาลเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านคล้ายกับสูญเสียนิยามด้านระยะห่างไป
ครู่หนึ่ง ร่างของทีปังกรพุทธะพลันมั่นคง ปรากฏขึ้นในอาณาบริเวณอีกแห่งหนึ่ง
กลางความว่างเปล่าอันมืดมิดตรงหน้าท่านพลันเกิดแสงสว่าง ผู้ยิ่งใหญ่ศาสนาพุทธท่านหนึ่งปรากฏขึ้นจากด้านใน ทั่วร่างคือแสงพุทธกลมสมบูรณ์ เป็นสีทองบริสุทธิ์ แสงเพลิงสีขาวไหลเวียน ส่องสว่างจักรวาลรอบๆ เหมือนกับพุทธเกษตรแสงสว่าง
“อดีตพุทธะสบายดี” อีกฝ่ายไหว้ทีปังกรพุทธะ ทีปังกรพุทธะก็พนมมือไหว้เช่นกัน “พระโพธิสัตว์สบายดี”
นักบวชศาสนาพุทธผู้นี้กลับเป็นมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ มักติดตามอยู่ข้างกายอามิตาภพุทธเจ้ากับพระโพธิสัตว์กวนอิม ถูกเรียกรวมกันว่า ‘ไตรเทพประจิมทิศ’ เป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธที่อยู่ในชั้นแถวหน้าของแดนสุขาวดีตะวันตก
ท่านใช้แสงแห่งปัญญาอันพิเศษเฉพาะสาดส่องสิ่งมีชีวิตบนโลก ทำให้สรรพสิ่งหลุดพ้นจากการนองเลือด มีพลังงานที่สูงส่ง สภาวะอานุภาพไร้พันธนาการ ด้วยเหตุนี้ มหาสถามปราปต์โพธิสัตว์จึงมีฉายาแรกว่ารัศมีปัญญา
ถึงจะเรียกพระโพธิสัตว์ แต่ว่าท่านได้สำเร็จมรรคผลศาสนาพุทธเหมือนกับพระโพธิสัตว์กวนอิและทีปังกรพุทธะ กลายเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ชั้นมหาชาลมานานแล้ว
“พระพุทธองค์มอบร่างแปลงให้แล้ว?” มหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ถาม
“มิผิด” ทีปังกรพุทธะตอบ “อาตมาพบมารจิตแรกเริ่มมาแล้ว”
มหาสถามปราปต์พยักหน้า “สามพิสุทธิ์สายหลักมีการเคลื่อนไหว กลับเป็นสหายร่วมเส้นทางหนานจี๋เผยโฉมเป็นผู้นำ พาคนไปในความว่างเปล่า ถึงขั้นทำลายซากโบราณสถานแห่งหนึ่ง”
“สหายร่วมเส้นทางหนานจี๋หรือ?” ทีปังกรพุทธะคล้ายนึกอะไรออก
มหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ยิ้มขึ้น “หลังจากตรวจสอบโบราณสถานแห่งนั้น ดูท่าทางเหมือนกำลังตามหาธงเหลืองโบ่วกี้หยกมายาอยู่”
ทีปังกรพุทธะอดยิ้มขึ้นไม่ได้
ธงเหลืองโบ่วกี้ ของวิเศษที่เคยอยู่ในวังหยก สรรพวิชายากทำลาย ความชั่วร้ายมิอาจกล้ำกราย ความแข็งแกร่งของพลังป้องกันเป็นหนึ่งในของล้ำค่าไม่กี่ชิ้นในประวัติศาสตร์สำนักเต๋า
ในสงครามเมื่อยุคสถาปนาเทพโบราณตอนต้น ถึงขั้นที่หยุดแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีของมหาวิทยราชมยุรีได้
หลังจากยุคโบราณตอนต้น ก็มีการกล่าวถึงที่อยู่ของมันไม่เหมือนกัน มีคนคิดว่ายังถูกเก็บไว้ในวังหยก มีคนคิดว่าหายไปแล้ว มีคนคิดว่าถูกเทวกษัตริย์บรรพกำเนิดที่หลุดพ้นนำติดตัวไปด้วย
สรุปก็คือ ของวิเศษชิ้นนี้หายไปหลังจากยุคโบราณตอนต้น
ถ้าหากว่าหาเจออีกครั้ง ย่อมดึงดูดสายตาของผู้คนจริงๆ
เปรียบเทียบกับแดนสุขาวดีตะวันตก เขาดาราทะเลดวงดาวบางทีอาจให้ความสำคัญกับของวิเศษชิ้นนี้มากกว่า
ถ้าเผ่าปีศาจได้ธงเหลืองโบ่วกี้ไป สถานการณ์ที่มิอาจทำอะไรมหาวิทยราชมยุรีเมื่อได้เมื่อก่อนหน้านี้ จะหายไปทันที
กล่าวจากด้านนี้ ถ้าหากว่าแดนสุขาวดีตะวันตกชิงมาได้ ต่อให้ตนไม่ใช้ ก็รักษาพลังคุกคามของมหาวิทยราชมยุรี ทำให้เผ่าปีสาจจนปัญญาได้
แต่ถ้าเทียบกับค่ายกลลงทัณฑ์เซียน ธงเหลืองโบ่วกี้ด้อยกว่า
หากบอกว่าพวกเยี่ยนจ้าวเกอตั้งใจตามหาธงเหลืองโบ่วกี้ มองข้ามกระบี่เล่มสุดท้ายในสี่กระบี่ลงทัณฑ์เซียน มองข้ามความเป็นไปได้ที่จะทำให้ค่ายกลลงทัณฑ์เซียนปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง กลับเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่เป็นการพรางตาที่สำนักเต๋าสายหลักใช้
หนำซ้ำยังเป็นการพรางตาที่ไม่ชาญฉลาดนัก
จะต้องมีแผนการตามหลัง ไม่อย่างนั้นมีแต่ทำให้คนหัวเราะเยาะ
แดนสุขาวดีตะวันตกกับโถงเซียนต่อให้วางหลุมพรางรอให้สำนักเต๋าสายหลักกระโดดลงไป ก็ไม่มีทางแสร้งเชื่อการพรางตาแบบนี้ กลายเป็นเสือถูกล่อลงจากเขา
แบบนั้นแสดงออกรีบร้อนเกินไป จะต้องมีเลศนัย กลับทำให้คนในสำนักเต๋าตื่นตัว
“ข้ากับพวกมหาวิทยราชต้าเผิงจะตามหาตำหนักโอสถนั้น มอบแรงกดดันให้พวกเขาต่อ” ทีปังกรพุทธะกล่าว
มหาสถามปราปต์โพธิสัตว์พยักหน้าเอ่ยว่า “ทางสหายร่วมเส้นทางหนานจี๋ ข้าจะไปค้นหาสักเที่ยว ดูว่าพวกเขาวางแผนอะไรไว้กันแน่”
“สาธุ รบกวนพระโพธิสัตว์ด้วย” ทีปังกรพุทธะพนมมือ
ผู้ยิ่งใหญ่ศาสนาพุทธสองคนจากไปเช่นนี้
…
“รบกวนใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋กับสหายร่วมเส้นทางเกาแล้ว”
ขณะเคลื่อนไหวในความว่างเปล่า เยี่ยนจ้าวเกอประสานมือคารวะไปทางจักรวาลที่ไร้สิ่งใดเหนือศีรษะ เยี่ยนตี๋เคลื่อนไหวอย่างเดียวกัน
ระหว่างจักรวาล เหมือนมีเสียงสายฟ้าดังขึ้นขณะที่เลือนราง แต่ไม่เห็นฟ้าแลบ คล้ายกับว่าเสียงสายฟ้าที่ดังขึ้นข้างหูเยี่ยนจ้าวเกอเป็นความรู้สึกหลอน
ถึงแม้ว่าเพื่อเศษศิลามนุษย์กำเนิดชิ้นหนึ่ง เทวกษัตริย์ไร้ประมาณกับพระศรีอาริย์สู้กันดุเดือดมาเกือบร้อยปี เวลามาถึงวันนี้พัวพันกันไม่เลิกรา คร้านสนใจเรื่องราวอื่น
แต่ว่าระหว่างอามิตาภพุทธเจ้ากับกษัตริย์บูรพาไท่อี้ ยังคงรักษาการสะกดที่เหมาะสมไว้
ในขณะที่แยกกันสะกดทัพให้แก่สองฝั่ง กลับสร้างการคุมคามต่อยอดฝีมือชั้นมหาชาลของสำนักเต๋าและนพยมโลกไปด้วย
เทวกษัตริย์สำนักเต๋าอย่างพวกจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋กระทำเรื่องราวใด ยังคงต้องระมัดระวัง ซ่อนตัวในความว่างเปล่า
เกาหานที่สวมอาภรณ์ขาวร่วมทางกับพวกเยี่ยนจ้าวเกอ พูดว่า “สหายร่วมเส้นทางเยี่ยนไม่ต้องเกรงใจ ปัจจุบันเป็นเวลาสำคัญที่พวกเราสำนักเต๋าสายหลักต้องให้ความสำคัญกับความเป็นความตาย ข้าผู้แซ่เกาลงแรง ไม่อาจผลักไสภาระให้แก่ผู้อื่น”
“ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ล้วนยังต้องขอบคุณใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋กับสหายร่วมเส้นทางเกา” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “ศัตรูมีสภาวะมาก สำเร็จล้มเหลวขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ พวกเรามีพลังมากเท่าไหร่ อัตราชนะก็เพิ่มมาเท่านั้น”
เกาหานยิ้มราบเรียบ “กล่าวมีเหตุผล”
เขากวาดมองเยี่ยนจ้าวเกอพ่อลูก จุ๊ปากชมเชย “เทวกษัตริย์น้อย กับประมุขสยบสวรรค์ พวกท่านพ่อลูกตอนนี้ต่างเรียกได้ว่ามีชื่อสมกับความจริงแล้ว”
ตอนเยี่ยนตี๋รับตำแหน่งเจ้าสำนักกว่างเฉิง เป็นเพราะว่ากฎการสืบทอด จึงได้ชื่อว่า ‘ประมุขสยบสวรรค์’
เหมือนกับเซียนจริงแท้เรียกจักรพรรดิ เซียนลี้ลับค่อยเลี้ยงกษัตริย์ ฉายาจ้าวสวรรค์มีความพิถีพิถันเช่นกัน เป็นฉายาที่เซียนกำเนิดสุญญตาค่อยเพิ่มได้
โดยเฉพาะเยี่ยนตี๋ยังได้ฉายา ‘ประมุขสยบสวรรค์’ กล่าวในระดับหนึ่ง อาจจะละเมิดข้อห้ามมากว่าชื่อ ‘เทวกษัตริย์น้อย’ ของเยี่ยนจ้าวเกอเสียอีก
เพียงแต่ว่าโลกเบื้องล่างอย่างโลกแปดพิภพ มีไม่กี่คนที่คิดเอาเรื่อง ส่วนใหญ่แล้วยึดถือเป็นเรื่องตลก
กลับเป็นหลังจากมาถึงโลกซ้อนโลก รวมถึหลังจากงเปิดผ่าฟ้าเหนือฟ้า ฉายานี้ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากกว่าเดิม
เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้มีเยว่เจิ้นเป่ยกษัตริย์กระบี่คอยดูแล ภายหลังมีสั่วหมิงจางราชันพระอังคารหนุนหลัง อีกทั้งเยี่ยนตี๋ยังพัฒนาขึ้นโดยตลอด ดังนั้นทุกคนจึงค่อยๆ ยอมรับ
ปัจจุบันเยี่ยนตี๋มาถึงระดับห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิดในระยะเวลาสั้นๆ แทบเป็นเซียนกำเนิดที่อายุน้อยที่สุดตั้งแค่เคยมีการบันทึกมา เหมือนกับยืนยันว่าตนมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมที่จะรับฉายานี้
เพียงแต่จำเป็นต้องมีผลลัพธ์จริงมากกว่านี้มาใช้พิสูจน์
เยี่ยนตี๋กล่าวอย่างสงบนิ่ง “ตอนอยู่บนโลกแปดพิภพตั้งฉายาด้วยความวู่วาม ทำให้สหายร่วมเส้นทางเกาหัวเราะเยาะแล้ว”
“ฉายานี้ของข้ายังต้องขอบคุณสหายร่วมเส้นทางเกาเอ็นดู” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวพลางยิ้มกว้าง
เกาหานยิ้มขึ้นเช่นกัน “ข้าผู้แซ่เกาคาดหวังในตัวสหายร่วมเส้นทางเยี่ยนมาโดยตลอด อย่างครั้งนี้ก็เป็นแผนการใหญ่ที่สำนักเต๋าหสายหลักของพวกเราไม่เคยมีมาก่อนหลังมหาภัยพิบัติ…”
พูดถึงตรงนี้ เสียงเขาก็หยุดชะงัก ดวงตาหวั่นไหวเล็กน้อย
เยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋มองไปด้านหน้าเช่นกัน
ณ ที่แห่งนั้นพลันมีลมปีศาจกับแสงพุทธโผล่มาพร้อมกัน
เกาหานสีหน้าเคร่งขรึมลงหลายส่วน พึมพำ “…แผนการใหญ่ ก็เป็นการทดสอบใหญ่เช่นกัน”