ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1586 ปีศาจพุทธร่วมมือ
ในความว่างเปล่าไกลออกไปพลันมีลมปีศาจกับแสงพุทธกะพริบขึ้น พุ่งมาขวางเส้นทางของพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
พวกเยี่ยนจ้าวเกอไม่ประหลาดใจ อีกฝ่ายไล่ตามทัน จะมากจะน้อยเป็นเพราะพวกเขาจงใจเปิดเผยร่องรอย ทิ้งเบาะแสเอาไว้
ลมปีศาจอันน่ากลัวแผ่พุ่งไปทั่วบริเวณ ครอบคลุมจักรวาล เหมือนกับกำลังจะกลืนกินพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
ทันใดนั้นสายฟ้าหลายสายพลันระเบิดขึ้นกลางความว่างเปล่า แสงสายฟ้าปรากฏ กอปรเป็นฟ้าดินอันเป็นเอกเทศแห่งหนึ่ง ขณะที่ปกป้องพวกเยี่ยนจ้าวเกอ ก็ขวางลมปีศาจไว้ด้านนอก
ลมและสายฟ้ากระเพื่อมไม่หยุด เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง
ผู้มาเป็นมหาเทวะเผ่าปีศาจตนหนึ่ง ตอนนี้ปะทะกับจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ ยอดฝีมือชั้นมหาชาลสองคนต่อสู้ระยะประชิดกัน
ภายใต้การปะทะ ความมหัศจรรย์ในจิตพลังของสองฝ่ายลดทอนกันและกัน ทำให้รูปร่างที่แท้จริงของพวกเขาต่างแสดงออกมาต่อหน้าของพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
ระหว่างสายฟ้า ชายชราสวมมงกุฎ ใส่ชุดเต๋าผู้หนึ่ง ยืนอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้า สายฟ้าหลายสายเหมือนกับกลายเป็นรถรองรับเขา ก้อนเมฆงดงามแผ่กระจาย เป็นวิถีการสืบทอดสายหยกพิสุทธิ์ แต่กลับมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
ภายใต้การควบคุมของเขา สายฟ้าที่บ้าคลั่งหาใดเปรียบ เคลื่อนไหวอย่างมีลำดับขั้นตอน แสดงสัจธรรมมากมายอย่างเช่นการเปิดออกของความโกลาหล การเปลี่ยนแปลงของมิติเวลา การหมุนเวียนของห้าธาตุ การก่อเกิดของทุกสรรพวัตถุ การรวมตัวของหยินหยาง การสลับระหว่างกลางวันกลางคืน
หลักการของสรรพวัตถุในฟ้าดินเหมือนกับถูกแสดงออกมาจนหมดจดระหว่างเสียงสายฟ้าปรากฏ
เป็นหนึ่งในสี่เทวราชแห่งวังเทพสำนักเต๋า จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋
ตรงข้ามกับท้องทะเลสายฟ้า ระหว่างลมปีศาจอันเย็นเยียบ ยืนไว้ด้วยเงาร่างสูงใหญ่สายหนึ่ง
อีกฝ่ายยืนตรงเหมือนคน สวมชุดเกราะ ใส่เหมาะเกราะสีเงิน มือถือพลั่วพระธรรม เสียงเหมือนกระเรียนสั่นสะเทือนท้องฟ้า
มองจากที่ไกลมีศีรษะข้างเดียว แต่พอมองใกล้ๆ มีใบหน้าคนสี่คน
หน้ามีตา หลังมีตา มองรอบทิศทาง ซ้ายเป็นปาก ขวาก็ปาก มีทั้งสิ้นแปดปาก
“มหาเทวะเก้าเศียร…” พอเห็นรูปร่างของอีกฝ่ายชัด เยี่ยนจ้าวเกอก็หยีตา
ผู้ที่สู้กับจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ ถึงกับเป็นมหาเทวะเผ่าปีศาจที่มีชื่อว่าหนอนเก้าเศียร เคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าในยุคไซอิ๋วโบราณตอนกลาง จัดอยู่ในประเภทสัตว์ปีก เป็นนกวิเศษหงส์เก้าเศียรที่สำเร็จมรรควิถีเมื่อยุคโบราณตอนต้น มีอีกชื่อว่ารถผี หรือวิหคเก้าเศียร
ในยุคโบราณตอนกลางเคยเกือบถูกหยางเจี่ยนหยางเอ้อร์หลางฆ่าตาย ภายหลังเร้นกายบำเพ็ญฟื้นฟู จนกระทั่งยุคสมัยนี้จึงปรากฏตัวขึ้น ยังคงดุรายเหมือนเดิม ต้องการแก้แค้นหยางเจี่ยน
เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋เห็นหนอนเก้าเศียรผู้นี้ สีหน้าก็เคร่งขรึมลง
ก่อนหน้านี้ราวๆ ร้อยปีก่อน สำนักเต๋าประสบการคืนชีพติดต่อกันของมารน้ำกุ่ย ดินโบ่ว ทองแก เปลือกร่างล้วนเป็นผู้สืบทอดสำนักเต๋า
พวกเยี่ยนจ้าวเกอวางแผนเพื่อแก้ไขภัยพิบัติมาร สุดท้ายหนอนเก้าเศียรบัญชาจอมปีศาจส่วนหนึ่งสอดมือเข้ามา ทำให้พวกเยี่ยนจ้าวเกอเกือบล้มเหลว เฉินกานหวา เจี่ยหมิงคง ฉู่หลีหลีศิษย์อาจารย์เกือบเสียชีวิต ถูกแช่แข็งมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ได้รับอิสระ
ขณะมองหนอนเก้าเศียร เยี่ยนจ้าวเกอนึกถึงใบหน้าของพวกเฉินเสวียนจง
ดวงตาเขาแฝงประกายเย็นเยียบ พิจารณาคนข้างกายหนอนเก้าเศียร กลับเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
แต่งกายแบบนักพรต สวมมงกุฎสีแดงวาดลวดลายทองใบหนึ่ง ใส่อาภรณ์สีดำ สวมรองเท้าเมฆสีม่วงรัดด้วยไหมฟั่นเกลียวสีเหลืองเส้นหนึ่ง
ชายชราผู้นี้หน้าตาเหมือนแตง ตาสุกใสคล้ายดวงดาว มองไปกลับดูเหมือนบรรลุซึ่งสัจธรรม แต่ว่ากลับเป็นกลิ่นอายปีศาจ
จ้าวปีศาจร้อยตา
ชายชราผู้นี้แม้นมิได้ขึ้นสู่มหาชาล แต่ว่าความแข็งแกร่งของความสามารถด้านวิชาปีศาจ ทำให้ยอดฝีมือชั้นมหาชาลส่วนหนึ่งทำอะไรเขาไม่ได้ เป็นบุคคลระดับสุดยอดที่อยู่ในระดับสุญญตา
ครั้งกระโน้นตอนพวกเยี่ยนจ้าวเกอย้ายมรกตท่องฟ้าเข้ามาในตำหนักโอสถ ก็ถูกตะขาบตัวนี้กับจอมปีศาจตนอื่นๆ ขัดขวาง สองฝ่ายเป็นคนคุ้นเคยที่เคยต่อสู้กัน วันนี้ได้พบกันอีกครั้ง
นอกจากจอมปีศาจสองตนแล้ว กลับยังมีแสงพุทธปรากฏ
นักบวชศาสนาพุทธสามคนยืนอยู่ใกล้ๆ รักษาระยะห่างกับจ้าวปีศาจร้อยตา แต่แสดงให้เห็นว่ามาเพื่อพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
นักบวชศาสนาพุทธคนหนึ่งในนี้นั่งขัดสมาธิ มือขวาเป็นตราอพยามุทรา มือซ้ายถือดอกบัว บนดอกบัวมีจินดามณี
ถึงแม้ว่าจะได้พบเป็นครั้งแรก แต่เยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ กับเกาหานล้วนจำได้ว่า อีกฝ่ายคือพระสรรวนิวรณวิษกัมภินโพธิสัตว์ที่มีชื่อเสียงของศาสนาพุทธสายหลัก ยอดฝีมือศาสนาพุทธระดับสุดยอดในชั้นสุญญตา ประธานแห่งอารามสรรวนิวรณวิษกัมภิน
นักบวชศาสนาพุทด้านซ้ายของพระสรรวนิวรณวิษกัมภินโพธิสัตว์ ถือถุงย่ามขนาดใหญ่ใบหนึ่ง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม แสดงท่าท่างสุขสำราญ
นักบวชศาสนาพุทธด้านขวา นั่งขัดสมาธิเหมือนพระโพธิสัตว์ มือหนึ่งแคะหู ดูสบายๆ
“อรหันต์ถุงผ้า อรหันต์แคะหู…” เกาหานยิ้ม “ศาสนาพุทธพูดว่าสำเร็จมรรคผลเป็นอรหันต์ แต่หากใช้มาตรฐานการวัดของสำนักเต๋าเรา บางทีควรเรียกพระโพธิสัตว์กระมัง?”
พระสรรวนิวรณวิษกัมภินโพธิสัตว์ที่อยู่ตรงข้ามกล่าวราบเรียบ “ใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋สบายดี อาตมาขอคารวะ”
จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ในความว่างเปล่า บนรถสายฟ้ากล่าว “ไม่ต้องมากพิธี และไม่ต้องเป็นต้องกล่าวมากความ วันนี้ในเมื่อพบกัน ก็มีแต่ต้องสู้กัน สหายร่วมเส้นทางทุกท่านเชิญ”
เสียงของเขาสั่นสะท้านจิตใจคนเหมือนกับทัณฑ์สายฟ้าจากสวรรค์ ชำระล้างกรรมฟ้าดิน ทั้งอ่อนโยนเหมือนกับลมเย็นฝนปรอย หล่อเลี้ยงวัตถุอย่างไร้เสียง
ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันสองอย่างผสมกันเป็นหนึ่ง เกิดเป็นเสน่ห์ที่พิเศษจำเพาะ
หลังจากเขาพูดประโยคนี้จบ ก็ไม่กล่าวอะไรต่ออีก สายฟ้ายิ่งใหญ่เริ่มขยายออกไปรอบๆ
ลมปีศาจกระเพื่อม ขัดขวางสายฟ้า
หนอนเก้าเศียรเอ่ยว่า “พวกเจ้าโง่เง่าไปบ้าง คิดหลอกลวงพวกเรา ถึงกับเอาตัวเองมาเสี่ยงอันตราย แต่ว่าร่องรอยของพวกเจ้าถูกตรวจสอบเจอแล้ว ไหนเลยให้โอกาสหนีแก่พวกเจ้า?”
“ไม่จำเป็นต้องไปค้นหาตำหนักฟ้าฟื้นและกระบี่ลงทัณฑ์เซียน หลักจากจัดการพวกเจ้าได้ ทุกอย่างก็จะมาอยู่ในมือ ผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์จะพบทัณฑ์ตัดเอว สำเร็จในการต่อสู้เดียว”
เยี่ยนตี๋กล่าวอย่างเย็นชา “เพียงเกรงว่าพวกท่านจะไม่มีปัญญา”
“เด็กน้อยโง่เขลา” หนอนเก้าเศียรหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าคิดว่าอะไรคือมหาชาล?”
“แค่มีข่าวส่งมาก็ทราบว่าพวกเจ้าอยู่ที่ไหนแล้ว สำหรับพวกเรา ไม่ทราบร่องรอยที่แท้จริงของพวกเจ้าก็แล้วกันไป หากทราบร่องรอยของพวกเจ้า นอกจากข้อยกเว้นที่น้อยสุดขีด สถานที่ใดไม่อาจไปถึงในชั่วพริบตาบ้าง?”
เหมือนกับพิสูจน์คำพูดของเขา ในเวลาชั่วครู่นี้ ความว่างเปล่ารอบๆ ถึงกับปรากฏสภาพไม่มั่นคง
เหมือนกับมีเงาร่างไม่ต่ำกว่าหนึ่งสายบัดเดี๋ยวสูญหายบัดเดี๋ยวปรากฏ เหมือนกับว่ากำลังจะมาถึงที่นี่
“สหายร่วมเส้นทางได้ใจเร็วเกินไปแล้ว” สายฟ้ารอบๆ ตัวจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ขยายไปรอบๆ
ม่านแสงยิ่งมายิ่งมาก ทว่าแม้บางเฉียบกลับไม่ถูกทำลาย ราวฟองอากาศขนาดใหญ่ยักษ์ ถึงกับเปลี่ยนมาโอบล้อมสองปีศาจสามพุทธที่อยู่อีกด้าน
แสงสายฟ้าวนเวียน ลมปีศาจกับแสงพุทธถึงกับเหมือนไหลออกไปไม่ได้
“ความสามารถอันยอดเยี่ยม!” มหาเทวะเก้าเศียรบันดาลโทสะ ยกพลั่วพระธรรมขึ้นฟาดใส่จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋
ขณะเดียวกัน ศีรษะทั้งเก้าของเขาก็เงยหน้าขึ้นส่งเสียงกู่ร้องพร้อมกัน พัดพายุไร้สิ้นสุดให้พุ่งใส่ม่านแสงอัสนีที่ครอบคลุมรอบๆ จักรวาล
สายฟ้ากระเพื่อมพลางระเบิดแหลกสลายไม่หยุดยั้ง แต่พอหนึ่งสายฟ้าหายไป ก็มีสายฟ้าสายใหม่บังเกิดขึ้น เหมือนกับไร้สิ้นสุด ต้านทานพายุสุดกำลัง
เยี่ยนจ้าวเกอมองไปยังคู่ต่อสู้คนอื่น กลับเห็นสามนักบวชจากศาสนาพุทธมีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้รีบร้อนแม้แต่น้อย
พระสรรวนิวรณวิษกัมภินโพธิสัตเปล่งคำสรรเสริญคุณคำหนึ่ง จินดามณีบนดอกบัวในมือท่านส่องแสง
แสงยิ่งมายิ่งสว่าง จนกระทั่งถึงกับสว่างไสวกว่าแสงพุทธของตัวพระสรรวนิวรณวิษกัมภินโพธิสัตว์ เหมือนกับสามารถส่องจักรวาลไร้ขอบเขตได้
“พุทธองค์มีเมตตา สหายร่วมเส้นทางหนานจี๋สบายดี” เงาร่างสายหนึ่งเดินอย่างเนิบนาบออกมาจากในแสงสว่าง
มหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ระดับมหาชาล!