ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1612 ก้นเหวกับยอดเขาสูง
‘หยางเจี่ยน...’ มหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ถอนใจเช่นกัน ‘ติดกับสำนักเต๋าสายหลักมาตั้งแต่แรกแล้ว’
พอพบว่ามารดาแห่งแผ่นดินที่ก่อนหน้านี้พูดถึงกันเป็นหยางเจี่ยนแปลงกาย ยอดฝีมือระดับสุดยอดของศาสนาพุทธอย่างทีปังกรพุทธะกับมหาสถามปราบต์โพธิสัตว์ก็กระจ่างแจ้ง
ในตอนที่สงครามใหญ่เพิ่งเริ่ม พวกท่านรู้สึกได้ว่า สำนักเต๋าสายหลักมองหลุมพรางของโถงเซียนกับแดนสุขาวดีตะวันตกของพวกตนออกตั้งแต่แรกแล้ว
เพียงแต่พาดลูกศรไว้บนสาย ไม่อาจไม่ยิง ยิ่งไปกว่านั้นทุกอย่างยังขึ้นอยู่กับพลัง
รอหยางเจี่ยนเผยโฉมร่างจริง ทุกอย่างก็กระจ่างชัด
สำนักเต๋าสายหลักใช้แผนซ้อนแผน รู้อยู่แล้วว่าเป็นหลุมพราง แต่ยังเสี่ยงอันตรายโดยใช้ประโยชน์จากโอกาสที่จะได้กระบี่สังหารเซียนมาเพียงหนึ่งเดียวนี้ สุดท้ายรวบรวมสี่กระบี่ลงทัณฑ์เซียนครบ ทำให้ค่ายกลลงทัณฑ์เซียนปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
“หยางเจี่ยนไม่ตาย ยังเปลี่ยนเป็นมารดาแห่งแผ่นดินหลอกพวกเรา เพียงเป็นด้านหนึ่ง” ทีปังกรพุทธะส่ายหน้า “ประเด็นสำคัญก็คือมหาเทวะเสมอฟ้า…”
ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ เมื่อเชิญมหาวิทยราชมยุรีให้ลงมือได้ ยังคงเป็นแดนสุขาวดีตะวันตกของพวกท่านมีโอกาสมากกว่า
ต่อให้สำนักเต๋าสายหลักยังคงมีพวกหยางเจี่ยนและสั่วหมิงจาง ทว่าพวกเขาเองก็ต้องเผชิญกับยอดฝีมือคนอื่นเช่นกัน
“แม้จะเสียดาย แต่สุดท้ายทุกสิ่งก็ขึ้นอยู่กับพลังจริงๆ” ทีปังกรพุทธะยิ้มหนักใจอยู่บ้าง “เพียงแต่ว่าเป็นพวกเราสู้ไม่ได้”
ไม่เพียงแต่ลู่ยาเต้าจวินแสดงไพ่ตายครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งมีดบินสังหารเซียน คัมภีร์ตะปูเจ็ดเกาทัณฑ์ และพิณฝูซีชำรุด
ผู้ยิ่งใหญ่ศาสนาพุทธอย่างทีปังกรพุทธะก็ทุ่มเทไม่น้อย
ขณะมองตำแหน่งหลังจากที่มหาวิทยราชมยุรีจากไป ทีปังกรพุทธะก็ไม่ได้ลืมว่า ทางแดนสุขาวดีบัวขาวยังมีสารีริกธาตุของพระศรีศากยมุณี
“ไปเถอะ” อารมณ์มากมายหายไปจากดวงตาของพุทธะที่เก่าแก่ กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง “เรื่องราวในวันนี้เป็นแค่การเริ่มต้น สถานการณ์ต่อจากนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว”
“นะโมอมิตาพุทธ” พระภิกษุในศาสนาพุทธส่งเสียงสรรเสริญคุณ หายไปในความว่างเปล่าเช่นกัน
…
เทียบกับความกลัดกลุ้มและความจนปัญญาของฝ่ายอื่น ตอนนี้ในวังดุสิตบนสวรรค์หลีเฮิ่น บรรยากาศย่อมแตกต่างเป็นอย่างมาก
เยี่ยนจ้าวเกอระบายลมหายใจโล่งอกยาวๆ
จิตใจที่ตึงเครียดมาโดยตลอด ตั้งแต่ทราบเป็นครั้งแรกเมื่อเกือบห้าสิบปีก่อนว่า กระบี่สังหารเซียนตกอยู่ในมือเทวกษัตริย์ไร้ประมาณ ชั่วขณะนี้ค่อยผ่อนคลายลงแล้ว
คนที่อยู่รอบๆ มีความรู้สึกใกล้เคียงกัน ต่างมีสีหน้ายินดี
ทุกคนหันมองตำหนักในตำหนักใหญ่ในวังดุสิตที่อยู่ ณ ตอนนี้ พากันกล่าวกับพระอาจารย์เสวียนตูว่า “ไม่ทราบว่าจะกราบพบเหล่าจวินได้หรือไม่?”
“ไม่ใช่ไม่ต้อนรับสหายร่วมเส้นทางทุกท่าน ถ้านายผู้เฒ่าใหญ่ไม่มีคำสั่งลงมา ข้าก็ไม่อาจตัดสินใจเองได้” พระอาจารย์เสวียนตูตอบอย่างรู้สึกผิด
หยางเจี่ยนที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยู่ในวังดุสิตมาหลายปี ก็ไม่อาจกราบพบเหล่าจวินได้เช่นกัน”
นางเซียนอวิ๋นเซียวกล่าวอย่างเรียบเฉย “ข้ายิ่งไม่เคยพบเหล่าจวิน”
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ” ทุกคนเสียดายอยู่บ้าง จากนั้นก็ขอบคุณพวกหยางเจี่ยน นางเซียนอวิ๋นเซียว และพระอาจารย์เสวียนตู “ครั้งนี้โชคดีที่ทุกท่านร่วมแรงรวมใจกัน ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์คงเป็นอีกอย่าง”
คนทั้งสามส่ายหน้า “ล้วนเป็นคนเส้นทางเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจไป เรื่องราวในวันนี้เกี่ยวพันถึงชะตาของสำนักเต๋าเรา ย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย”
“วันนี้ทำสำเร็จแล้ว สถานการณ์ต่อจากนี้จะต่างไปจากเดิมมาก” นางเซียนอวิ๋นเซียวว่า “แต่ว่าพวกเรายังคลายใจไม่ได้ ไม่อย่างนั้นความพยายามหลายปีอาจสูญเปล่า”
ขณะที่พูด นางก็มองไปยังธงหกวิญญาณสีดำสนิคันนั้น
บนหางธงหกเส้นตอนนี้ว่างเปล่า ไม่มีชื่อคนอยู่อีก
ต่อให้เหล่าจวินไม่ลงมือ การดำรงอยู่ของค่ายกลลงทัณฑ์เซียน ก็ทำให้สำนักเต๋าสายหลักมีความมั่นใจในการตั้งป้อมสู้กับขุมกำลังอื่นๆ อยู่ระดับหนึ่งอย่างแท้จริง แม้เผชิญกับผู้ยิ่งใหญ่ระดับมรรคา ก็สามารถปะทะด้วยได้
ค่ายกลลงทัณฑ์เซียนยังคงอันตรายสู้ผู้ยิ่งใหญ่ระดับมรรคาอย่างพระศรีอริยเมตไตรย อามิตาภพุทธเจ้า เทวกษัตริย์ไร้ประมาณ กษัตริย์บูรพาไท่อี้ มารสวรรค์ไร้พันธนาไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นแดนสุขาวดีตะวันตก แดนสุขาวดีบัวขาว โถงเซียน เขาดาราทะเลดวงดาว ไปจนถึงนพยมโลก ยามเผชิญหน้ากับค่ายกลสังหารอันดับหนึ่งแห่งอดีตและปัจจุบันนี้ ล้วนต้องหนังศีรษะชา
ทว่าในนี้มีปัญหาข้อหนึ่งอยู่
ถ้าไม่มีวิธีที่เอาไว้ใช้รับมือเจ้ามรรคาอย่างธงหกวิญญาณ และพิณฝูซี เจ้ามรรคาคนอื่นๆ อาจผนึกกำลังทำลายค่ายกล แล้วชิงกระบี่ไปได้
ดังนั้นโอกาสที่ค่ายกลลงทัณฑ์เซียนจะรับประกันได้ว่าแสดงผลได้ ส่วนใหญ่มีแต่วินาทีที่มาอย่างกระทันหัน
พูดอีกอย่างก็คือ มีโอกาสโจมตีเพียงครั้งเดียว
กระนั้น ความขัดแย้งของขุมกำลังใหญ่ขุมอื่นๆ อยู่ที่ ผู้ใดจะรับความสูญเสียที่เกิดจากการโจมตีครั้งนี้ของค่ายกลลงทัณฑ์เซียนได้?
นี่มอบโอกาสให้แก่สำนักเต๋าสายหลัก
สาเหตุที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอกับหยางเจี่ยนลำบากวางแผน เพื่อค่ายกลลงทัณฑ์เซียน อยู่ตรงนี้นี่เอง
หลังมหาภัยพิบัติ สภาพของผู้สืบทอดกระแสตรงสำนักเต๋าสายหลัก เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยสมบูรณ์เพราะสาเหตุนี้
“หากเก็บค่ายกลลงทัณฑ์เซียนไว้ในวังดุสิต เกรงว่าจะทำให้นายผู้เฒ่าใหญ่ไม่ยินดี” พระอาจารย์เสวียนตูมองนางเซียนอวิ๋นเซียวและเจ้าแม่อู๋ตัง “ต่อจากนี้อาจต้องรบกวนสหายร่วมเส้นทางทั้งสอง พกพากระบี่แหนเขียว ควบคุมค่ายกลนี้เข้าไปในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดนอกเขตแดน”
นี่เป็นเรื่องราวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มีแต่อย่างนี้ ผนึกกำลังไม่ปล่อยออก จึงจะรักษาการข่มขวัญได้ตลอดเวลา
เพียงแต่ผู้ถือกระบี่จะต้องเร้นกายล่องลอย รวมสเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างเปล่าตลอดเวลา
นางเซียนอวิ๋นเซียวพยักหน้า “พวกเราผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันก็ใช้ได้แล้ว ตอนนี้ศิษย์พี่อู๋ตังได้รับบาดเจ็บ เดี๋ยวให้ข้าจัดการเอง”
เจ้าแม่อู๋ตังที่ลมปราณยังคงอ่อนแออยู่พยักหน้า “รบกวนอวิ๋นเซียวแล้ว”
“ถึงบนธงหกวิญญาณจะไม่มีชื่อแล้ว แต่ว่าโลกภายนอกยังไม่รู้ว่า จะมีชื่อใหม่ถูกเขียนลงไปหรือไม่” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้ พวกเขาเกรงว่าจะแยกแยะความคิดของเหล่าจวินไม่ได้ยิ่งกว่า”
ถึงแม้สำนักเต๋าสายหลักก็ยากจะแยกแยะให้แม่นยำเช่นกัน แต่ความได้เปรียบในฐานะสามพิสุทธิ์สายหลักก็คือ ขอแค่เหล่าจวินมิได้แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน เช่นนั้นก็ยืดถือว่าเป็นการเห็นพ้องได้
จะบอกว่าเป็นการยกอ้างบารมีจอมปลอมก็ดี บอกว่าเป็นจิ้งจอกอาศัยบารมีเสือก็ดี อย่างน้อยหนังเสือผืนนี้ยังเอามากางเป็นธงใหญ่ได้
เพียงแต่ความระวังที่ควรมีก็ยังต้องมี
ดังนั้นหากเอะอะอะไรก็มาซ่อนตัวในสวรรค์หลีเฮิ่นตลอด ก็ใช้ไม่ได้เกินไป
เหล็กดีใช้บนคมดาบ จะมีคุณค่ามากที่สุดก็ต่อเมื่อแสดงผลในห้วงเวลาสำคัญ
อย่างเช่นการชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียนในครั้งนี้
“สำนักเต๋าของพวกเรา ครั้งกระโน้นทุกอย่างเป็นไปดั่งใจนึก วันนี้อยู่ที่ก้นหุบเหว สอดคล้องกับมรรคาฟ้าที่ว่ามืดกระจ่างกลมเสี้ยว[1]” หยางเจี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หลังจากก้นเหว สมควรเป็นยอดเขาสูง ตอนนี้แสงอรุณโผล่มาแล้ว พวกเราจำเป็นต้องมีปณิธารแก่กล้า จึงสามารถคาดหวังต่ออนาคตได้”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินอดแยกเขี้ยวไม่ได้
เป็นไปตามคำพูดของหยางเจี่ยน ก่อนยุคโบราณตอนกลาง สำนักเต๋าเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
มารสวรรค์บุพกาลต่อสู้กับเทวกษัตริย์บรรพกำเนิดก่อนการเปิดฟ้า สูญเสียตำแหน่ง ‘บรรพกำเนิด’ หลังการเปิดฟ้าในยุคบุพกาล ทั้งยังถูกเทวกษัตริย์บรรพกำเนิดปราบ
ในยุคบุพกาล สามกษัตริย์สร้างและปกครองหมื่นเผ่า
แต่ว่าเทวกษัตริย์เต๋าเผยแพร่เต๋าทั่วใต้หล้า ทำให้เผ่ามนุษย์ได้รับวาสนาใหญ่ ผงาดขึ้นมา โดดเด่นกว่าผู้ใด
เผ่ามนุษย์ถึงแม้ยังบูชาสามกษัตริย์ แต่ว่าวรยุทธ์และระบบมรรคาติดตามเทวกษัตริย์เต๋าและสามพิสุทธิ์สำนักเต๋า
มารสวรรค์ธรรชาติ ผู้ยิ่งใหญ่ระดับมรรคาที่ตายเป็นตนแรก ถูกเทวกษัตริย์รัตนวิเศษสังหาร
ตั้งแต่ก่อนธรรมชาติจะถูกสร้าง หรือในยุคความขมุกขมัวอันโกลาหลซึ่งคำนวณเวลาไม่ได้ ไปจนตลอดยุคบุพกาลที่ฟ้าดินเพิ่งเปิด บูรพาจารย์สามพิสุทธิ์แทบไม่เคยเสียท่า
“บรรพบุรุษเคยยิ่งใหญ่ช่างดีจริงๆ แต่ว่าก็สอดคล้องกับคำกล่าวโบราณที่ว่า ชีวิตมิได้ราบรื่นตลอดกาล” เยี่ยนจ้าวเกอใช้ฝ่ามือประคองหน้าผาก
………………..
[1] มืดกระจ่างกลมเสี้ยว หมายถึงสภาพของดวงจันทร์ที่แตกต่างกันไป เปรียบเปรยถึง ชีวิตคนไม่มีอะไรแน่นอน