ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1619 การสร้างฟ้าดินบทใหม่
“ถ้าต้องการวางแผนเล่นงานนพยมโลก จังหวะเวลาความจริงสมควรตัดสินกันที่นพยมโลก” เยี่ยนจ้าวเกอคล้ายนึกอะไรได้ “แต่ว่าคนอื่นๆ สามารถหาวิธีขัดขวางนพยมโลก เพื่อชิงเวลาให้แก่ตัวเอง”
“พอทุกคนเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เป็นจังหวะเวลาที่ทุกอย่างจเริ่มขึ้น”
“ถ้าหากว่านพยมโลกเตรียมตัวเรียบร้อย คนที่ไม่ได้เตรียมตัวและไม่มีวิธีขัดขวางนพยมโลก ต่อให้จังหวะเวลามาถึง ก็ตามหมากตานี้ไม่ทัน” สุดท้ายเยี่ยนจ้าวเกอพูดพลางใคร่ครวญ
แน่นอนว่า ต่อให้ตามหมากตานี้ไม่ทัน ก็มิได้หมายความว่าไม่เกี่ยวข้อง
มีคำพูดโบราณกล่าวได้ดียิ่ง คือเรื่องสำเร็จไม่พอ เรื่องล้มเหลวมีมากมาย
คนที่ไม่ได้เตรียมตัว สามารขัดขวางคนที่สามารถเตรียมตัวดีแล้วได้
ไม่อย่างนั้นหากปล่อยให้อีกฝ่ายสำเร็จ ผลที่ตามาในหลายหลังคือต้องเผชิญเจ้ามรรคาเพิ่มอีกคน
เรื่องราวทำนองนี้ไม่มีหลักการที่ว่าทำร้ายคนอื่นส่งผลเสียต่อตัวเอง ขอแค่ทำร้ายคน ต้องมีผลดีกับตัวเอง
ต่อให้ครั้งนี้ไม่ได้อะไรมา ก็สามารถวางแผนไว้ก่อน เตรียมตัวสำหรับสถานการณ์หน้าได้
ระดับความรุนแรงของมหาภัยในครั้งนี้อย่าน้อยก็ไม่ด้อยกว่าศึกชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเหนือกว่า
ในระดับหนึ่งแล้ว การช่วงชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียนของพวกทีปังกรพุทธะกับลู่ยาเต้าจวิน ไม่ใช่พอใจแค่การแบ่งสี่กระบี่ลงทัณฑ์เซียนเพียงอย่างเดียว เป็นการเพิ่มพลังให้กับพวกเขา เสริมความแข็งแกร่งแก่รากฐาน เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสชนะในการช่วงชิงวาสนาระดับมรรคาต่อจากนี้
“ลู่ยาเต้าจวินยังต้องตามหาเปลือกร่างที่เหมาะแก่การคืนชีพของมารไฟปิ่ง นี่เป็นเรื่องที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ยิ่ง” เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง “แต่ว่าเขาสมควรวางแผนไว้ก่อนมหาภัยพิบัติ หรือแม้แต่ก่อนยุคสมัยในปัจจุบันนี้แล้ว สมควรตามหมากตานี้ทัน”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างราบเรียบ “ไม่แน่ว่าจะเป็นเขา หรือนพยมโลกเริ่มสถานการณ์นี้”
ถ้าไม่ใช่ลู่ยาเต้าจวินรอคอยนพยมโลกพร้อมกับคนอื่น หลังจากเตรียมตัวเสร็จ
เช่นนั้นนพยมโลกก็เตรียมตัวเสร็จ และรอคอยลู่ยาพร้อมกับคนอื่น
เทียบกันแล้ว อย่างแรกมีความเป็นไปได้สูงกว่าเล็กน้อย
“บางทีอาจเป็นการรอที่กินเวลานานยิ่ง” หยางเจี่ยนยิ้ม “ระหว่างนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้”
“นอกจากทีปังกรพุทธะ พระอาจารย์เสวียนตู และลู่ยาเต้าจวินแล้ว ยังมีคนอื่นบรรลุถึงก้าวสุดท้ายในขั้นสูงสุดของระดับมหาชาลหรือไม่?” เยี่ยนจ้าวเกอใคร่ครวญ ก่อนจะถามขึ้น “ไม่ทราบว่าวันนี้มหาวิทยราชมยุรีมีสารีริธาตุศรีศากยมุณีกี่ชิ้น รวบรวมครบแล้วหรือยัง?”
หยางเจี่ยนตอบ “ตามคำพูดที่อาจารย์อาเสวียนตูบอกเหล่าจวิน ทั้งหมดน่าจะมีสารีริกธาตุศรีศากยมุณีห้าชิ้น ปัจจุบันมหาวิทยราชมยรุีมีอยู่ในมือเท่าไหร่ ยังไม่อาจยืนยัน แต่แน่ใจว่ายังรวบรวมไม่ครบ”
ในสงครามตอนแรก มหาวิทยราชมยุรีกับเผิงท่องเมฆหมื่นลี้สองพี่น้องใช้วิธีการส่งกระแสเสียงในการสนทนา ไม่ให้คนภายนอกล่วงรู้
ดังนั้นพวกเยี่ยนจ้าวเกอกับหยางเจี่ยนก็ไม่ทราบว่ามหาวิทยราชมยุรีมีสารีริกธาตุกี่ชิ้นในมือ ไม่ทราบว่าทางพระศรีอาริย์มีอยู่กี่ชิ้น
แต่การชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียนในครั้งนี้ ทีปังกรพุทธะยังคงอาศัยสารีริกธาตุแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยราชมทยุรี แลกกับการลงมือของอีกฝ่าย เป็นที่ทราบได้ว่า หลังจากวันนี้ มหาวิทยราชมยุรีจะต้องรวบรวมสารีริกธาตุไม่ครบ
ไม่อย่างนั้นเมื่อมีมหาวิทยราชมยุรีเป็นคู่ต่อสู้ ทีปังกรพุทธะคงปวดศีรษะเป็นคนแรก
“ในฐานผู้ยิ่งใหญ่ศาสนาพุทธเหมือนกัน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะแย่งชิงวาสนาเดียวกันอยู่ ต่างอยู่ที่นพยมโลก” เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งคิดทางหนึ่งพูด “ลู่ยาเต้าจวินกลายเป็นพระไวโรจนะพุทธะในยุคโบราณตอนกลาง เกี่ยวข้องกับทางศาสนาพุทธเช่นกัน ดูเหมือนว่ากำลังรอเหตุการณ์ครั้งนี้อยู่”
หยางเจี่ยนเอ่ย “รายละเอียดอย่างเป็นรูปธรรมเป็นอย่างไร มีน้อยคนที่รู้ เรื่องราวคล้ายกันเดิมทีต่างลี้ลับ เป็นเพราะว่าทุกฝ่ายให้ความสนใจ ดังนั้นจึงกระจายข่าวส่วนหนึ่งออกมา”
ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการให้เส้นทางที่ตนเองลำบากวางแผนกำหนดขึ้นมาขาดสะบั้น เส้นทางในอนาคตไร้ความหวัง ทุกอย่าพร่ามัว เพราะคนอื่นๆ ทำลาย
ในเรื่องราวแบบนี้ การเก็บงำจนร่ำรวย จึงเป็นหลักการที่ถูกต้อง
เพียงเสียดายที่ นี่เป็นสิ่งที่คนทุกคนให้ความสนใจ ไม่ใช่เรื่องที่คิดทำตัวเงียบๆ แล้วจะทำได้
ไม่พูดถึงการทำนายอนุมานแต่ละอย่าง เพียงอาศัยการวางแผนการและการเตรียมตัว ค้นหาวัตถุที่จำเป็นส่วนหนึ่งของคนคนเดียว ก็เห็นเลศนัยได้โดยง่าย
แต่ว่าทุกนต้องบากหน้าเดินต่อไป ไม่อาจยอมอดข้าวเพราะกลัวสำลัก
ความสำเร็จของแม่ทัพกลายเป็นกระดูกนับหมื่นท่อน ยิ่งใกล้ระดับมรรคาเท่าไหร่ก็ยิ่งลำบากเท่านั้น
“ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร สำนักเต๋าของพวกเราก็มีคนขาดก้าวสุดท้าย” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“วาจาแม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ว่ามหาภัยในครั้งนี้ วาสนาในครั้งนี้จะมาตอนไหน ยังไม่อาจทราบได้” หยางเจี่ยนกล่าว “ก่อนหน้านี้ เรื่องที่พวกเราทำได้ ก็คือนอนฟืนแข็งกินดีขม[1]เพื่อฝ่าฟันอุปสรรค สั่งสมพลัง ไม่อย่างนั้นเมื่อวาสนามาถึง รังแต่จะกลายเป็นมอบชุดแต่งงานให้แก่คนอื่น ถึงตอนนั้นตนประสบภัยพิบัติ เหลือแต่ความเสียดายคับแค้น”
ผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์ได้ค่ายกลลงทัณฑ์เซียนมาแล้ว สภาพเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีความมั่นใจในการเสริมการปกป้องตัวเอง
แต่ว่าคิดจะพัฒนาขึ้นอีกขั้น จำเป็นต้องระวังตัว
ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นทีปังกรพุทธะ มหาวิทยราชมยุรี หรือว่าลู่ยาเต้าจวิน เบื้องหลังเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีเจ้ามรรคาหนุนอยู่
นพยมโลกที่เหมือนเนื้อติดมันซึ่งผู้ใดก็อยากกัดสักคำ อย่างน้อยก็ยังมีมารสวรรค์ไร้พันธนา ไม่ใช่ลูกพลับนิ่ม
เหล่าจวินกลับไม่แน่ว่าจะออกหน้าเพื่อพระอาจารย์เสวียนตู
ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่ยึดถือว่ามันไม่มีอยู่ มันก็จะไม่มีอยู่จริงๆ
“ขอบคุณพี่ร่วมเส้นทางที่ไขข้อข้องใจ” เยี่ยนจ้าวเกอประสานมือให้หยางเจี่ยน “พี่ร่วมเส้นทางไปในครั้งนี้ ขอให้สำเร็จโดยไว”
“ขอให้เป็นไปตามคำอวยพรของสหายร่วมเส้นทางทั้งหลาย” หยางเจี่ยนบอกลาพวกเยี่ยนจ้าวเกอ ร่างหายไปในความว่างเปล่า
พวกเยี่ยนจ้าวเกอออกเดินทางใหม่
เคลื่อนไหวอยู่ในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดสักระยะ หลังจากสำรวจสภาพการณ์รอบข้างอย่างต่อเนื่อง พวกเยี่ยนจ้าวเกอหยุดอยู่ในอาณาเขตแห่งหนึ่ง
“ตรงนี้แล้วกัน” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าให้เฟิงอวิ๋นเซิง “เก็บมุกค้ำทะเลของเจ้าไว้ก่อน”
เฟิงอวิ๋นเซิงตอบ “ตกลง”
เยี่ยนจ้าวเกอหยิบมุกค้ำทะเลที่ได้มาจากจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ออกมา
มุกวิเศษหนักอึ้งสุดขีด เปล่งแสงห้าสี
“เทียบกับตอนนั้น ฟ้าดินในวันนี้แตกต่างอีกแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอสูดหายใจลึกคำหนึ่ง แสดงสุดยอดวรยุทธ์อย่างคัมภีร์เบิกนภา ดัชนีเทพปฐมกำเนิด คัมภีร์ยุคหลงฮั่นพร้อมกัน
ตอนแรกเส้นแสงห้าสีบนไข่มุกเจิดจ้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พร้อมขยายออกไปรอบๆ ไม่หยุด
ขณะแสงส่องระยิบระยับ มุกค้ำทะเลก็เริ่มพองขยายขึ้น
ความหนักอึ้งและความยิ่งใหญ่ที่เหมือนกับจักรวาลแห่งหนึ่ง ยิ่งมายิ่งชัดเจน ทำให้คนสะพรึงกลัว
ภายใต้การขยายอย่างต่อเนื่อง เส้นแสงห้าสีค่อยๆ หายไป มุกค้ำทะเลหายไป เหลือแค่มิติเวลาที่ยืดออกมาต่อเนื่อง และบดขยี้จักรวาลความว่างเปลาในโลกภายนอก
ในจักรวาลแห่งนี้พลันเพิ่มดินแดนว่างเปล่าไม่น้อย ล้วนมืดมิด
พร้อมกับที่เยี่ยนจ้าวเกอกระตุ้นพลังของการเบิกนภา ความมืดถูกทำลาย แสงสว่างที่ละลานตาก็บังเกิดออกมาจากภายใน ดิน น้ำ ลม ไฟที่ปั่นป่วนทะลักออกมาอย่างต่อเนื่องตามแสงสว่าง
มิติเวลาที่ไม่มั่นคงหลายชั้นปรากฏขึ้นในจักรวาล เหมือนกับน้ำร้อนเดือดพล่าน จากนั้นก็แหลกสลายติดต่อกันเหมือนกับฟองมากมาย ก่อนจะมีฟองอากาศลอยขึ้นมามากว่าเดิม
ภายใต้การควบคุมของเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่ทันไรดิน น้ำ ลม ไฟที่สับสนก็หยุดนิ่ง กลับคืนสู่ความสงบ
ความว่างเปล่าในจักรวาลเปลี่ยนเป็นมั่นคง มีกฎเกณฑ์ของตัวเอง จากนั้นแสงดาวประปรายก็สว่างขึ้น ให้กำเนิดหมู่ดาวของตัวเอง
การดำรงอยู่แห่งหนึ่งที่แม้นไม่อาจเคลื่อนไหว แต่กว้างใหญ่กว่าจักรวาลฟ้าฟื้น พาดขวางอยู่ในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดนอกเขตแดน
ยิ่งใหญ่ไพศาล ชัดเจนกระจ่างแจ้ง
………………..
[1] นอนฟืนแข็งกินดีขม หมายถึง พยายามในส่วนของตัวเอง