ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1628 ความแตกต่างของสามบุปผาบนกระหม่อม
ห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิด เป็นเซียนกำเนิดสุญญตา
การฝึกฝนสามบุปผาบนกระหม่อมจากพื้นฐานนี้ สามารถสำเร็จระดับเซียนสวรรค์มหาชาลได้
อันคำว่าสามบุปผา เรียกว่าซานฮวา[1] เป็นการผนึกรวมในระดับสูงของจิตวรยุทธ์ที่จอมยุทธ์ได้ร่ำเรียนในกระบวนการฝึกฝน จนถึงการทะลวงเพิ่มบุปผาขึ้นอีกขั้น
สารจำเป็น ปราณ จิตสามบุปผารวมตัว เป็นเวลาที่ยึดครองความเป็นอิสระในมิติเวลาทั้งหมดบนชั้นมหาชาล
ลำดับการฝึกฝนสามบุปผา มิได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับการแยกแยะและการเลือกของตัวจอมยุทธ์เอง
ทว่าสามบุปผามีความแตกต่างกัน จะเลือกอย่างไร เกี่ยวกับการยอมรับและละทิ้งในระดับหนึ่ง
“วาจาของศิษย์น้องเยี่ยนเจ้า สมควรฝึกบุปผาปราณกับบุปผาจิตก่อน บุปผาสารจำเป็นเอาไว้หลังสุดกระมัง? เพียงแต่ไม่ทราบว่าเจ้าเลือกอันไหนเป็นอันดับแรก?” สวีเฟยหันไปถามเยี่ยนจ้าวเกอ
การฝึกฝนสามบุปผามีความแตกต่างกันอยู่
เมื่อฝึกฝนบุปผาสารจำเป็นสำเร็จ สร้างเสริมรากฐาน สิ่งที่สัมผัสได้โดยตรงก็คือ หลังได้รับบาดเจ็บ ความเร็วในการฟื้นฟูจะสูงกว่าเดิม
ในสถานการณ์ที่อิดโรยสุดขีด จิตใจเหนื่อยล้าถึงขีดสุด จะส่งผลดีต่อการฟื้นฟูปราณกำเนิด
ถึงขั้นที่ว่าตอนได้รับบาดเจ็บ พลังชีวิตจะเหี้ยมหาญกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ การเพิ่มอายุขัยอย่างมหาศาล
กล่าวกันว่าขีดจำกัดอายุขัยของเซียนกำเนิด เป็นหนึ่งศักราช คือหนึ่งแสนสองหมื่นเก้าพันหกร้อยปี
ทว่าความจริงแล้ว เซียนกำเนิดจำนวนมากไปไม่ถึงขีดจำกัดอายุขัยนี้
ด้านหนึ่งเป็นเพราะสั่งสมโรคภัยและอาการบาดเจ็บ ทำร้ายพื้นฐานปราณกำเนิด ลดอายุขัยที่เดิมทีน้อยอยู่แล้ว
อีกด้านหนึ่ง เกี่ยวข้องกับบุปผาสารจำเป็น
เป็นเพราะหากกล่าวให้ถูกต้อง ขีดจำกัดอายุขัยของเซียนกำเนิดก็มีเงื่อนไขอยู่
ต้องเป็นเซียนกำเนิดที่ฝึกฝนบุปผาสารจำเป็น และสามารถผนึกรวมบนศีรษะได้ จึงจะมีพื้นฐานในการแสงหาอายุขัยจำนวนหนึ่งแสนสองหมื่นเก้าพันแปดร้อยปี
สองบุปผาบนกระหม่อม ยอดสูงสุดของเซียนกำเนิด ขณะเดียวกันยังมีบุปผาสารจำเป็นดอกหนึ่งในสองบุปผานี้ เซียนกำเนิดระดับนี้จึงจะมีความหวังไปถึงขีดจำกัดอายุขัยของเซียนกำเนิดที่มีจำนวนหนึ่งศักราชโดยหลักทฤษฎี
หากว่าสองบุปผาบนกระห่อม เป็นบุปผาปราณและบุปผาจิต ถึงแม้จะยังคงบรรลุถึงยอดสูงสุดของเซียนกำเนิด ห่างจากมหาชาลเพียงก้าวเดียว ทว่าขีดจำกัดอายุขัยขัยความจริงห่างไกลจากจำนวนหนึ่งศักราชยิ่ง
ในสามบุปผา เมื่อฝึกฝนบุปผาปราณสำเร็จ จะมีการยกระดับที่เห็นได้โดยตรงที่สุดต่อขีดความสามารถการสู้รบส่วนตัวของจอมยุทธ์
บุปผาปราณรวมบนกระหม่อม แก่นเซียนที่ห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิดของจอมยุทธ์ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติหรือจำนวน ต่างแข็งแกร่งขึ้น
ภายใต้การทดแทนจากเลือดลม เปลือกร่างของร่างกายก็จะแข็งแกร่งขึ้นด้วย
กล่าวโดยสรุปก็คือ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือการป้องกัน ไปตลอดถึงระดับความคล่องแคล่วในการตอบสนอง ก็จะพุ่งทะยานขึ้นอย่างใหญ่หลวง
เมื่อฝึกฝนแก่นปราณสำเร็จ มักหมายถึง จอมยุทธ์อยู่ในสันปันน้ำด้านพลังสายหนึ่งในระดับเซียนกำเนิดสุญญตา
บุปผาปราณรวมบนศีรษะ พลังต่อสู้ซึ่งหน้าของจอมยุทธ์จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เปลี่ยนมุมมองดู พลังส่วนตัวของคนยิ่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งไม่ปล่อยให้คนอื่นทำร้ายได้ง่าย ยิ่งไม่เจอภัยพิบัติมรณะได้ง่าย และเท่ากับเปลี่ยนแปลงยกระดับอายุขัยรวมถึงความปลอดภัยในชีวิตของตัวเองให้มากขึ้นด้วย
เทียบกับบุปผาปราณแล้ว บุปผาจิตกับบุปผาสารจำเป็นคล้ายคลึง การเปลี่ยนแปลงสะท้อนที่ภายในมากกว่า
เมื่อฝึกฝนบุปผาจิตสำเร็จ จิตวิญญาณและความคิดของจอมยุทธ์จะคล่องแคล่วกว่าเดิม เพิ่มความแข็งแกร่งเล็กๆ ให้แก่ความารถด้านการรับรู้ของตัวเอง
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ส่งผลดีต่อการฝึกฝนประจำวัน การศึกษาทำความเข้าใจวรยุทธ์บนมรรคายุทธ์ รวมถึงหลักการฟ้าดินของจอมยุทธ์ ทั้งส่งผลดีต่อการหลอมรวมสิ่งที่ตนได้ร่ำเรียนมา
ขณะเดียวกัน ก็ส่งผลดีต่อการไปท้าสู้ภัยพิบัติฟ้ากำเนิดของเซียนกำเนิด และการเริ่มเลื่อนระดับของเซียนสวรรค์มหาชาลในระดับที่สูงกว่าถึงระดับหนึ่ง
ถึงแม้การช่วยเหลือที่มอบให้จะมีจำกัด ทว่าสำหรับการดำรงอยู่อย่างภัยพิบัติฟ้ากำเนิดแล้ว ต่อให้จะเพิ่มความน่าจะเป็นได้แค่เล็กน้อย แต่ก็เป็นการช่วยเหลืออย่างมหาศาลสำหรับจอมยุทธ์เช่นกัน
สามบุปผามีความน่าอัศจรรย์ของตัวเอง ไม่ว่าจะฝึกฝนอันไหนสำเร็จ ก็เป็นการยกระดับอย่างใหญ่หลวงสำหรับจอมยุทธ์
ทว่าด้านในมีอุปสรรคที่สำคัญยิ่งอยู่อย่างหนึ่ง
นั่นก็คือสามบุปผายิ่งฝึกยิ่งยาก การฝึกฝนบุปผาดอกหนึ่งในนี้สำเร็จ ไม่มีส่วนช่วยต่อการฝึกฝนสองบุปผาที่เหลือในภายหลัง กลับกันจะกลายเป็นอุปสรรค เพิ่มความยากในการฝึกฝน
ต่อให้ฝึกฝนบุปผาจิตที่ส่งผลดีที่สุดต่อการฝึกฝนประจำวันจนสำเร็จ ก็เพียงแต่มีส่วนช่วยต่อการฝึกยุทธ์ศึกษามรรคาในยามปกติเท่านั้น แต่ว่าตอนที่จอมยุทธ์คิดผนึกหลอมบุปผาอีกสองดอก ไม่ได้เพิ่มประโยชน์ กลับเพิ่มความลำบาก
ยิ่งใกล้ระดับมรรคาเท่าไหร่ก็ยิ่งลำบากเท่านั้น นี่เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่เห็นได้ชัดที่สุด
ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา เซียนกำเนิดที่ติดอยู่ในระดับสองบุปผาบนกระหม่อม มีให้เห็นไม่น้อย
แค่คนที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอเคยเผชิญหน้าและมีปฏิสัมพันธ์ด้วยก็มียอดฝีมือผู้อาวุโสที่ทุกคนต่างคุ้นเคยดีจนบรรยายได้อย่างมู่จานักบวชฮุ่ยอั้น จ้าวปีศาจร้อยตา ฝูหลัวจื่อ และมหาสถามปราบต์โพธิสัตว์
เป็นเพราะสาเหตุนี้ เซียนกำเนิดสุญญตาฝึกฝนสามบุปผาบนกระหม่อม จำเป็นต้องตัดสินใจทั้งต้องยอมรับและละทิ้ง
โดยทั่วไปแล้ว การฝึกฝนของทุกคนหลักๆ ยังอาศัยสิ่งที่ตัวเองร่ำเรียนมา
วรยุทธ์ที่ต่างกัน จะส่งผลไม่เหมือนกันต่อการผนึกหลอมสามบุปผมบนกระหม่อมของจอมยุทธ์
สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ยังต้องอยู่กับความเป็นจริง หลอมได้หนึ่งบุปผาหนึ่งก็ไม่ง่ายแล้ว อันไหนมีความหวังที่สุด ย่อมต้องหลอมอันนั้นก่อน
หลังหลอมเสร็จ จะส่งผลดีเหลือคณาต่อตนเอง
เพียงแต่ว่าคนที่เดินมาถึงขั้นนี้ ผู้ใดไม่ปรารถนาระดับที่สูงกว่าเดิม?
ในนี้ต้องสิ้นเปลืองความคิดแล้ว
ยกตัวอย่างง่ายๆ โดยหลักทฤษฎีแล้ว ในการยกระดับพลังต่อสู้ของตัวเอง บุปผาปราณกับบุปผาจิตหนึ่งในหนึ่งนอก เห็นได้ชัดยิ่งกว่าบุปผาสารจำเป็น โดยเฉพาะในตอนต่อสู้ซึ่งหน้า
ทว่าสองบุปผารวมบนกระหม่อมเช่นนี้ แข็งแกร่งนั้นแข็งแกร่ง หากขีดจำกัดอายุขัยต่ำกว่าหนึ่งศักราชมาก
อายุขัยที่เหลือจะมากพอให้เขาฝึกฝนบุปผาสารจำเป็น สำเร็จสามบุปผาบนกระหม่อม ฝ่าภัยพิบัติฟ้ากำเนิด ทะลวงเป็นเซียนสวรรค์มหาชาลได้หรือไม่?
ถึงอย่างไรสามบุปผลรวมบนกระหม่อมเท่ากับด่านสามด่าน ด่านสุดท้ายมีความยากมากที่สุด
ในทางกลับกัน การฝึกฝนบุปผาจิตและบุปผาสารจำเป็นจนสำเร็จ ตามหลักทฤษฎีแล้วส่งผลดีต่อการฝึกฝนมากที่สุด หมายถึงเวลาที่เต็มเปี่ยมกว่าเดิมและการทำความเข้าใจที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
ในระดับหนึ่งแล้ว สามารถบอกได้ว่าเป็นการรวมกลุ่มสองบุปผาที่มีความหวังมากที่สุดในการทะลวงสู่ขอบเขตมหาชาล
ทว่าการรวมกลุ่มเช่นนี้ สำหรับคนคนเดียวกัน อาจเป็นการรวมกลุ่มของพลังการสู้รบโดยตรงที่่ค่อนข้างอ่อนแอก็ได้
การที่อายุขัยมีมากในทางทฤษฎี มิได้บ่งบอกว่าจะอยู่ไปได้นานขนาดนั้นจริงๆ
การเกิดแก่เจ็บตายในธรรมชาติ และการถูกคนสังหาร ล้วนเป็นความตาย
ดังนั้นสำหรับเซียนกำเนิดส่วนใหญ่แล้ว ลำดับการฝึกฝนสามบุปผาล้วนเป็นการตัดสินใจที่สำคัญถึงขีดสุด
แต่สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว นี่คล้ายไม่ใช่ปัญหา
เป็นเพราะว่าเขาในตอนนี้หนุ่มเกินไปแล้ว
พรสวรรค์และความสามารถซึ่งสะท้านใต้หล้ามาโดยตลอด กับสภาวะการยกระดับที่แข็งแกร่ง ทำให้ทุกคนต่างคิดว่า นอกจากจะถูกคนทำลายรากฐานอย่างสาหัสแล้ว ไม่อย่างนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจะต้องมีวันที่ขึ้นสู่มหาชาล
ฉายา ‘เทวกษัตริย์น้อย’ ที่เกาหานเคยพูด ถือเป็นชื่อที่สมกับความจริงแล้ว
คำถามคือจะเป็นตอนไหนเท่านั้น
หนำซ้ำทุกคนยังเชื่อว่าเวลานี้ยังไม่สายเกินไป
ดังนั้นต่อให้จะฝึกฝนบุปผาปราณกับบุปผาจิตก่อน วางบุปผาสารจำเป็นไว้หลังสุด อายุขัยตามธรรมชาติของเยี่ยนจ้าวเกอก็สมควรมากพอ
เป็นเพราะว่าแบบนี้ เมื่อครู่สวีเฟยถึงได้ถามเยี่ยนจ้าวเกอว่าระหว่างบุปผาปราณกับบุปผาจิต เขาจะวางอันไหนไว้ด้านหน้าสุด
“หากเป็นข้า สมควรทดลองผนึกรวมบุปผาจิตก่อนกระมัง? เพราะส่งผลดีต่อเส้นทางการฝึกฝนในตอนนี้ของข้ามากกว่า” เยี่ยนจ้าวเกอลูบคาง ตอบว่า “ส่วนตัวเลือกอย่างบุปผาปราณกับบุปผาสารจำเป็น ถ้าหากว่าเพียงเทียบกับเซียนกำเนิด ความจริงอย่างไรก็ได้…”
สวีเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กล่าวไม่ผิด แต่เจ้าเลือดบุปผาปราณเถอะ ตอนนี้ศัตรูที่อาจหมายตาเจ้า จะต้องเป็นตัวตนระดับมหาชาลแน่”
………………..
[1] *ซานฮวา แปลว่า สามบุปผาได้เช่นกัน เพียงคำว่าฮวา 华 เขียนต่างจาก คำว่า 花 ที่แปลว่าดอกไม้