ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1653 มาตุภูมิศาสนาพุทธ
วัชรอภิณฑ์พุทธะก่อนจะจากไป มองทีปังกรพุทธะ หลังเว้นช่วงเล็กน้อย ก็เอ่ยว่า “จำเป็นต้องระวังทางมหาวิทยราชมยุรี”
“สารีริกธาตุในมือสหายร่วมเส้นทางข่งซวนยิ่งมายิ่งมาก เขาเริ่มยิ่งมายิ่งอยู่ไม่สุขแล้วเช่นกัน” ทีปังกรพุทธะว่า “ในสถานการณ์ที่เขามีเจตนา การเคลื่อนไหวมากมายใช่ว่าจะปิดเขาได้ ได้แต่พยายามเต็มที่เท่านั้น”
พุทธะเก่าแก่สีหน้าสงบนิ่งไร้อารมณ์ “ทุกท่นขอให้ระวังตัวเป็นหลัก ถ้าหากว่าสหายร่วมเส้นทางข่งเข้าร่วมจริงๆ เช่นนั้นก็ให้ใช้แผนการที่สอง”
“อาตมาทราบแล้ว” วัชรอภิณฑ์พุทธะพยักหน้า ออกจากแดนสุขวดีพุทธเกษตรของทีปังกรพุทธะพร้อมกับนักบวชศาสนาพุทธที่เหลือ กลายเป็นบัวเขียวออกห่างไป
ในพุทธเกษตรอีกแห่งหนึ่ง มหาวิทยราชมยุรีซึ่งร่างส่องแสงศักดิ์สิทธฺ์ห้าสีสีหน้าไร้ความโศกศัลย์หรือยินดี คล้ายกับเรื่องราวไม่เกี่ยวกับตัวเอง
ทว่าสายตาของเขามองไปยังเงาร่างของนักบวชศาสนาพุทธเช่นพวกวัชรอภิณฑ์พุทธะที่กลายเป็นบัวเขียวจากไป อย่างคล้ายมีเจตนาไม่เจตนา
“ดูเหมือนจะจริง…” มหาวิทยราชมยุรีถึงร่างกายยังคงไม่เคลือ่นไหว ทว่ากล่าวพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าฉาวยแววครุ่นคิด ไม่ละสายตากลับมาเนิ่นนาน
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงที่เฝ้าอยู่ใกล้ๆ ตอนนี้คอยเห็นว่าในแดนสุขวดีตะวันตกมีบัวเขียวจำนวนมากลอยข้นตามลำดับ
“มีเลศนับจริงๆ” เฟิงอวิ๋นเซิงตาเป็นประกาย
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “และอาจจะเป็นเพราะไปตามหาเป้าหมายอื่น ตอนนี้ยังยากจะสรุป”
“ได้ยินความหมายของเกาหาน สมควรติดต่อมหาวิทยราชมยุรีได้แล้ว แต่ว่ามหาวิทยราชมยุรีตอนนี้ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหว” เฟิงอวิ๋นเซิงมองแดนสุขาวดีตะวันตก
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ใจเย็นจริงๆ เกรงว่าจะรอพวกเราบอกท่านว่ารายละเอียดอยู่ตรงไหนเพิ่ม”
“การเคลื่อนไหวมากเกินไป ยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกแดนสุขาวดีตะวันตกพบ” เฟิงอวิ๋นเซิงมองนักบวชศาสนาพุทธเช่นพวกวัชรอภิณฑ์พุทธะที่กำลังจะหายไป “พวกเราแบ่งกำลังต่อหรือ? ยากจะคาดคำนวณว่าอีกฝ่ายมีคนกลุ่มที่สามหรือไม่”
“ความเป็นไปไได้ไม่บอกว่าไม่มีโดยสมบูรณ์ แต่ค่อนข้างต่ำแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “พวกสมันตภัทรโพธิสัตว์กลับไปได้สักพักแล้ว แดนสุขาวดีตะวันตกยังคงลากถ่วงเวลานานขนาดนี้ค่อยมีการเคลื่อนไหว บ่งบอกว่าพวกเขากำลังค้นหาสารีริกธาตุศากยมุณีไม่ง่ายเช่นกัน ใช้กำลังคนค่อนข้างมาก หนำซ้ำเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะต้องรักษาวิชาลับนั้นต่อ นี่ต้องแบ่งกำลังคนส่วนหนึ่ง หาวิธีจับตาทางมหาวิทยราชมยุรีไม่ง่ายเช่นกัน จำเป็นต้องแบ่งสมาธิส่วนหนึ่งของพวกเขา”
เยี่ยนจ้าวเกอมองแดนสุขาวดีตะวันตกแวบหนึ่งค่อยเอ่ยว่า “พวกเราติดตามไปเถอะ ขณะเดียวกันก็แจ้งใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋กับเกาหานด้วย”
สองคนร่วมทาง ติดตามบัวเขียวหลายดอกนั้นแต่ไกล
พวกเขาสองคนเชี่ยวชาญการลอบเร้นสะกดรอย แต่ว่าไม่กล้าอยู่ติดเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่จะถูกอีกฝ่ายพบเท่าที่จะทำได้
จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋กับเกาหานได้รับข่าวที่เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงส่งไป แต่ไม่ได้ผ่อนคลายในทันที แต่จับตาดูนักบวชศาสนาพุทธที่ออกจากแดนสุขาวดีตะวันตกเป็นกลุ่มแรกเช่นพวกพระโพธิสัตว์กวนอิมต่อไป
หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายใช้ความสมบูรณ์ในความว่างเปล่า ใช้ความว่างเปล่าในความสมบูรณ์ เปลียนลวงเป็นจริง เปลี่ยนจริงเป็นลวง
รอจนฝ่ายตัวเองมีเบาะแสที่แน่นอนแล้ว ค่อยเป็นจังหวะเวลาของการรวมตัวออกแรงอย่างแท้จริง
เดินทางได้สักพัก เฟิงอวิ๋นเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ดูเหมือนไม่ถูกต้องอยู่บ้าง”
“…คล้ายเป็นกลิ่นอายของเผ่าปีศาจ” เยี่ยนจ้าวเกอพบปัญหาแล้วเช่นกัน
ด้านตรงข้ามของการเชี่ยวชาญการลอบเร้น เป็นความสามารถด้านการรับรู้ของทั้งสองต่างโดดเด่นเหนือธรรมดา
“มหาวิทยราชมยุรีคงไม่แจ้งเรื่องนี้กับเผิงท่องเมฆหมื่นลี้กระมัง?” เฟิงอวิ๋นเซิงถาม “พี่ร่วมเส้นทางหนานจี๋กับเกาหานก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้”
เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง “พระอานนท์ครั้งกระโน้นมรณะเพราะพระศรีอริยเมตไตรย ตอนนี้แดนสุขาวดีตะวันตกกับพระสันนวสะเถระมีการเคลื่อนไหวแล้ว ไม่แน่ว่าจะสร้างความตื่นตัวให้แก่ทางแดนสุขาวดีบัวขาว”
“ถึงขั้นที่ทางแดนสุขาวดีบัวขาวมีผลลัพธ์ก่อน ด้านแดนสุขาวดีตะวันตกจึงค่อยมีความก้าวหน้าใหม่ในวันนี้”
หลังจากคาดเดา เยี่ยนจ้าวเกอก็อดยิ้มไม่ได้ “มาถึงขั้นนี้ ทุกคนต่างคอยระวังกันและกัน คิดมีการเคลื่อนไหวในที่ลับยิ่งมายิ่งลำบากแล้ว ผลประโยชน์แต่ละอย่างล้วนจำเป็นต้องผ่านการช่วงชิง”
“นี่คล้ายกับเป็นการพิสูจน์จากอีกด้านว่า คนในแดนสุขาวดีตะวันตกกลุ่มที่สองของพวกเรา เป็นเป้าหมายที่ถูกต้อง” เฟิงอวิ๋นเซิงว่า
“อืม ใช่แล้ว สามารถแจ้งทางพวกใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋แล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า
จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋กับเกาหานได้รับการติดต่อจากเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิง ก็ละทิ้งเป้าหมายที่ติดตามเมื่อก่อนหน้า มารวมตัวกับพวกเขา
ขณะเดียวกัน เกาหานก็หาวิธีติดต่อมหาวิทยราชมยุรีในที่ลับอีกครั้ง
กลางแดนสุขาวดีตะวันตก ในพุทธเกษตรของมหาวิทยราชมยุรี แสงสว่างเครื่องเคลือบอันบริสุทธิ์ส่องระยิบระยับ แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีไหลเวียน ท่านนั่งบนบัวเขียว ในที่สุดมีการเคลื่อนไหวแล้ว
บัวเขียวลอยขึ้น รองรับมหาวิทยราชมยุรี ออกจากแดนสุขาวดีตะวันตก
การเคลื่อนไหวของท่านเปิดเผยตรงไปตรงมา
ไม่มีคนขัดขวางท่าน
มีแต่สมันตภัทรโพธิสัตปรากฏกายอีกครั้ง
“สหายร่วมเส้นทางคิดขัดขวางอาตมาหรือ?” มหาวิทยราชมยุรีถามอย่าราบเรียบ
“ไม่ใช่เช่นนั้น อาตมาจะร่วมทางกับวิทยราช” สมันตภัทรโพธิสัตส่ายหน้าแล้วจึงตอบ
มหาวิทยราชมยุรีก็ไม่ถือสา เพียงแต่พยักหน้า “ได้”
สองพุทธะจากไปเช่นนี้
ในแดนสุขาวดีตะวันตก ทีปังกรพุทธะมองเงาหลังของพวกเขาที่ห่างออกไป สีหน้าเป็นปรกติ ไม่กล่าววาจา
“ในที่สุดก็สะกิดมหาวิทยราชมยุรีให้ตื่นตัว…” สมณะไป๋ซยงที่อยู่ด้านข้างอดีตพุทธะถอนใจ
“ไม่เป็นไร มีได้ก็ต้องมีเสียอยู่แล้ว” ทีปังกรพุทธะเอ่ย “กองทัพใช้แผนเสี่ยง นี่เป็นราคาที่ไม่อาจไม่รับไว้ ยังดีสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ กลายเป็นพวกเราใช้ได้”
สมณะไป๋ซยงว่า “ศิษย์ไปติดต่อพวกพระโพธิสัตว์กวนอิม”
“ไปเถอะ” ทีปังกรพุทธะหลับตา
ในตอนที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงรอพวกเดียวกันมารวมตัว บัวเขียวหลายดอกตรงหน้าพวกเขาค่อยๆ ลดความเร็วลง
ตอนนี้พวกเขาค่อยๆ เข้าใกล้วังวนดาราที่ลี้ลับแห่งหนึ่ง
พอถูกแสงสว่างของนักบวชศาสนาพุทธสาดส่อง วังวนดาราที่ตอนแรกลี้ลับก็เปิดเผยไม่มีละเว้น
ดวงดาวมากมาย กลายเป็นลำแสงไร้สิ้นสุด กระจายกระจายไปรอบๆ
ตรงใจกลาง ค่อยๆ ปรากฏซากโบราณสถานเวิ้งว้างแห่งหนึ่ง
ผืนดินรกร้างแต่หนาหนัก ตอนนี้ลอยนิ่งอยู่ในความว่างเปล่าอันมืดมิด
ผิวดินโคลนผนึกจับเป็นก้อน้ำแข็ง มองไปคล้ายอ้างว้างเดียวดาย
พวกวัชรอภิณฑ์พุทธะมองดูดินโคลนบริเวณนั้นด้วยสีหน้าต่างกันไป
คนที่เข้ามาใหม่ส่วนหนึ่งกลับไม่มีอันใด ส่วนใหญ่เป็นความใคร่รู้และปรารถนา แต่ว่าผู้ยิ่งใหญ่ศาสนาพุทธที่เก่าแก่อย่างวัชรอภิณฑ์พุทธะมีสายตาซับซ้อน
“ท่านอาจารย์ โบรารสถานแห่งนี้ เป็นที่อยู่ในอดีตของพระอานนท์หรือ?” ด้านข้างวัชรอภิณฑ์พุทธะแว่นเสียงสอบถาม
“ใช่ และไม่ใช่” วัชรอภิณฑ์พุทธะกล่าวอย่างแช่มช้า “ที่นี่เคยเป็นส่วนหนึ่งของแดนอภิรดีศูนย์กลาง เกิดภาพตรงหน้านี้ในมหาภัยของศาสนาพุทธเราเมื่อตอนเริ่มยุคโบราณปัจจุบัน”
คนในศาสนาพุทธที่อยู่รอบๆ ล้วนเงียบงันไม่พูดอะไรอยู่ชั่วขณะ
“คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะอยู่มาถึงวันนี้ ถึงแม้จะมีสภาวะสิ้นธรรมแล้ว” วัชรอภิณฑ์พุทธะส่ายหน้า สีหน้ากลับคืนสู่สภาพเดิม ก้าวเข้าไปในซากปรักหักพังก่อน