ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 172 แกร่งที่สุดด้วยขั้นฝ่านภา
จากมุมมองของเยี่ยนจ้าวเกอ หลังจากการประมือของสวีเฟยกับถังหย่งฮ่าวแล้ว การประลองของคนอื่นๆ ขาดความสนุกไปมากพอสมควร
การประลองหนึ่งเดียวที่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้บ้าง ก็คือศึกของเซี่ยโยวฉานกับเสียจื่ออี้ในตอนหลัง
ต่อเนื่องด้วยหลังจากเฉินหลินเอาชนะเซียวอวี่แล้ว เสียจื่ออี้ก็เอาชนะเซี่ยโยวฉานในระดับขั้นเดียวกันอีกครั้ง ถือว่าเป็นการกู้หน้าคืนให้ตำหนักอัสนีสวรรค์อย่างสิ้นเชิง
ใบหน้ากลมของจางเหยากลัดกลุ้ม กลับเป็นหร่วนผิงที่ปลอบใจนางอยู่ข้างๆ “ผู้คนมากมายร่ำลือกันว่าเสียจื่ออี้คือปรมาจารย์อันดับหนึ่งด้วยขั้นฝ่านภา ความจริงแล้วก็มีเหตุผล ศักยภาพพรสวรรค์ของเขาเดิมก็น่าตื่นตะลึงอยู่แล้ว อีกทั้งยังเคยชินกับการสู้รบสังหารอีก ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา มีผลการต่อสู้ที่มักจะใช้ความอ่อนแอเอาชนะความแข็งแกร่ง ชนะข้ามระดับชั้น มีชื่อเสียงในปัจจุบัน ไม่ใช่การคุยโวโอ้อวดแต่อย่างใด แต่เป็นการพึ่งพลังฝึกปรือของตนอย่างตรงไปตรงมา พยายามออกมา”
“แต่ก็เป็นเพราะเขาฮึกเหิมพร้อมรบด้วยเช่นกัน ก่อนหน้าประมือกับผู้คนจนปราณดั้งเดิมได้รับความเสียหาย นี่จึงหน่วงเหนี่ยวระดับขั้นปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะท้ายเอาไว้นานนัก ไม่เช่นนั้นเขาต้องเหยียบก้าวเข้าสู่ขั้นฝ่านภา เตรียมมุ่งสู่ระดับมหาปรมาจารย์ เหมือนเช่นสวีเฟย ถังหย่งฮ่าว และซ่งเฉาเป็นแน่”
จางเหยากะพริบตาปริบๆ หันศีรษะไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ “พลังความสามารถพลังฝึกปรือศิษย์พี่เสียแข็งแกร่งยิ่งใหญ่จริงๆ แต่จะพูดว่าเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งด้วยพลังฝึกปรือขั้นฝ่านภา ข้าว่ากล่าวเกินความจริงไปกระมัง ไม่พูดถึงคนอื่น ศิษย์พี่เยี่ยนเองใช้พลังฝึกปรือขั้นเคียงนภาระยะระยะต้น ก็โจมตีหลิวเซิ่งเฟิงที่อยู่ในขั้นเคียงนภาระยะท้ายจนพ่ายแพ้นี่”
หร่วนผิงนิ่งงันเล็กน้อย พยักหน้า “นี่ก็ไม่ผิดจริงๆ”
เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ด้านข้างได้ยินแล้วก็ไม่ได้กล่าวอะไร สายตาทอดมองไป ประจวบเหมาะกับมองเห็นสายตาของเสียจื่ออี้ที่ก็มองมาทางตนเองเช่นกัน
ความรู้สึกที่แฝงอยู่ในแววตานั้น ไม่เป็นมิตรแม้แต่นิดเดียว
ยังไม่กล่าวก่อนว่าเป็นเพราะเขาไร้พรมแดนปล่อยข่าวลือ ทำให้ตำหนักอัสนีสวรรค์รู้ว่าวิชากำเนิดสายฟ้านั้นมีต้นตอมาจากเยี่ยนจ้าวเกอ
หลินโจวและเยี่ยนส่าน ศิษย์สืบทอดหลักทั้งสองของตำหนักอัสนีสวรรค์ที่ถูกขนานนามว่า ‘อัสนีฟาด ฟ้าคำรน’ ทั้งหมดพ่ายด้วยน้ำมือเยี่ยนจ้าวเกอ ล้วนถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส
ด้วยเรื่องนี้เอง ศิษย์สำนักตำหนักอัสนีสวรรค์ที่คิดว่าตนมีความสามารถ ล้วนคิดอยากจะประมือกับเยี่ยนจ้าวเกอ กู้หน้ากลับคืนมาเพื่ออาจารย์
เสียจื่ออี้คือผู้โดดเด่นในนั้น แน่นอนว่าก็ไม่ยกเว้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความแข็งแกร่งทรงพลังของเยี่ยนจ้าวเกอหลายปีมานี้ถือกำเนิดขึ้นอย่างฉับพลัน ยิ่งสั่นคลอนตำแหน่งของเขา
เดิมหลินจื่ออวี้ก็เป็นบุคคลที่สายตาแหลมคมคนหนึ่งเช่นกัน เป็นเพราะตนเองบอบช้ำภายใน ทำให้เขาล้าหลังกว่าสวีเฟย ถังหย่งฮ่าว และซ่งเฉาอยู่ก้าวหนึ่ง โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง
ปรมาจารย์อันดับหนึ่งด้วยขั้นฝ่านภา ทำได้เพียงแค่สนทนาปลอบใจ หลายคราเสียจื่ออี้คิดขึ้นมาได้ ถึงขั้นที่รู้สึกว่านี่ไม่ใช่การชมเชย แต่เป็นความอัปยศอดสู ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรเขาจึงไม่เอ่ยขึ้นมาต่อหน้าผู้คน
ทว่าตัวเสียจื่ออวี้เองไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เดิมตกอยู่บนศีรษะตนเอง แต่กลับถูกผู้ที่มาทีหลังยึดครอง ถูกคนแย่งชิงไป นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอใช้ระดับขั้นเคียงนภาระยะต้น โจมตีหลิวเซิ่งเฟิงที่อยู่ในขั้นเคียงนภาระยะท้ายจนปราชัย พลันทำให้ชื่อเสียงของเสียจื่ออี้ที่อยู่ในอันดับหนึ่งด้วยขั้นฝ่านภาดูเหมือนว่าไม่มั่นคง
หยุดค้างที่ขั้นเคียงนภาระยะท้าย เสียจื่ออี้ที่เดิมอัดอั้นเพลิงโทสะอยู่เต็มท้อง พลันยิ่งไม่สบายใจขึ้นทันที มองเยี่ยนจ้าวเกอแทบจะประหนึ่งกับหนามในตา
เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจความคิดของเสียจื่ออี้คร่าวๆ แม้ว่าเขาจะอวดดีชอบออกนอกหน้า ทว่าที่เรียกว่าแกร่งที่สุดด้วยขั้นฝ่านภานั้น ยังคงไม่ได้ใส่ใจจริงๆ
ตรงกันข้ามกับเสียจื่ออี้ ความสนใจของเยี่ยนจ้าวเกอในขณะนี้ ย้ายไปอีกทางหนึ่งแล้ว
บริเวณตรงนั้น ที่คุมเชิงอยู่ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์วิเศษสองตัว ทั้งหมดล้วนดูทรงอานุภาพอย่างมาก ปราณวิญญาณรอบกายปลิวไปทั่วทั้งสี่ทิศ ในขณะเดียวกันก็ระคนไปด้วยปราณโลหิตอันแข็งแกร่งหนาแน่น
เยี่ยนจ้าวเกอกะพริบตาปริบๆ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลี่จิ้งหว่านเอ่ยตอบเสียงเบา “ศิษย์น้องเฉินหลินแห่งตำหนักอัศนีสวรรค์เลี้ยงสุนัขป่าปีศาจทมิฬ ดุร้ายเป็นพิเศษ ได้ยินว่าศิษย์พี่เยี่ยสำนักเราก็มีมังกรวารีทมิฬอันเลื่องชื่อตัวหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยเสนอให้สัตว์วิเศษทั้งสองตัวประลองกันสักครั้ง”
สำหรับมุมมองด้านการรบจริงแล้ว เลี้ยงและฝึกสัตว์วิเศษอันแกร่งกล้ายิ่ง ก็สามารถกลายเป็นแรงช่วยเหลือมหาศาลได้เช่นกัน
สายตาเยี่ยนจ้าวเกอมองไป เห็นเฉินหลินที่เอาชนะเซียวอวี่ก่อนหน้ายืนอยู่ตรงนั้นเอง
สัดส่วนร่างเฉินหลินสูงอย่างมาก เตี้ยกว่าเยี่ยนจ้าวเกอเพียงแค่ครึ่งศีรษะเท่านั้น รูปร่างหน้าตางดงามทว่าสีหน้าอารมณ์เย็นชา พาให้รู้สึกว่านางเป็นคนหยิ่งยโสถือดีอยู่หลายส่วน
สัดส่วนร่างของสุนัขป่าปีศาจทมิฬตัวที่อยู่เบื้องหน้านางนั้น ใหญ่โตยิ่งกว่ากระบือปกติเสียอีก ขนผิวหนังทั่วกายเป็นสีเขียวหม่น มองดูอย่างชัดๆ แล้วแข็งประหนึ่งกับเข็มโลหะก็ไม่ปาน
สุนัขป่าพ่นไอสีขาวอันเย็นเยียบออกมาจากปาก กลุ่มไอพาให้รู้สึกหนาวโอบล้อมทั่วร่าง ดวงตาสีเลือดเหมือนกับกระดิ่งทองแดงทั้งสองดวงจดจ้องมังกรวารีทมิฬที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ลดละ
เยี่ยนจ้าวเกอสังเกตอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าพลังความสามารถของสุนัขป่าปีศาจทมิฬแกร่งยิ่งกว่าเฉินหลินผู้เป็นเจ้าของเสียอีก
เฉินหลินอายุใกล้เคียงกับเยี่ยนจ้าวเกอ หลี่จิ้งหว่าน เซียวอวี่ และคนอื่นๆ ปัจจุบันมีผ่านพลังฝึกปรืออยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอก ส่วนพลังในการสู้รบของสุนัขป่าปีศาจทมิฬตัวนั้น กลับเทียบได้กับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาเลยทีเดียว
สถานการณ์รูปแบบนี้ เกินกว่าครึ่งคือนางฝึกและเลี้ยงสุนัขป่าปีศาจตัวนี้ตั้งแต่มันยังเล็ก
เยี่ยฉงโจวเองก็มองดูสัตว์วิเศษทั้งสองตัวในสนามด้วยใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังเช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอมองมังกรวารีทมิฬของเยี่ยจงโฉวตัวนั้นแวบหนึ่ง มันวนเวียนอยู่บนท้องฟ้า รูปกายใหญ่โตกว่าสุนัขป่าปีศาจทมิฬตัวนั้นอยู่มากโข แม้ว่าจะเป็นมังกรน้ำ ไม่ใช่มังกรแท้ แต่กระนั้นก็สง่าน่าเกรงขามเช่นกัน
“ศิษย์น้องเฉิน วางมือเสียตอนนี้ ยังไม่สายไป สัตว์วิเศษทั้งสองตัวนี้ล้วนไม่ใช่สิ่งของธรรมดา แม้สติปัญญาจะมีจำกัด ทว่ามีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากพวกมันถลำต่อสู้สุดชีพอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา จนถึงขั้นที่พวกเรายากจะหยุดยั้งได้ นั่นอาจจะต้องรบกวนท่านผู้อาวุโสสำนักเนื่องด้วยการต่อสู้ของสัตว์วิเศษ คงไม่งามนัก”
เฉินหลินเอ่ยพูดอย่างเฉยเมยว่า “หากสุนัขป่าปีศาจทมิฬสิ้นชีพด้วยกรงเล็บมังกรวารีทมิฬของศิษย์พี่เยี่ย น้องน้อยจะไม่กล่าวโทษสักคำเดียว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนแซ่เยี่ยเช่นข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยแล้ว” เยี่ยฉงโจวย่นหัวคิ้ว อีกฝ่ายมายั่วยุถึงที่ ในด้านวาจาเขาได้ควบคุมแล้ว อีกฝ่ายยังไม่รู้จักกาลเทศะว่าเมื่อใดควรถอย เขาเองก็บันดาลโทสะขึ้นมาเช่นกัน “เช่นนั้นก็เริ่มเลยเถิด”
หลังสัตว์วิเศษทั้งสองตัวคุมเชิงกันครู่หนึ่งแล้ว สุนัขป่าปีศาจทมิฬเป็นฝ่ายเคลื่อนไหวก่อนก้าวหนึ่ง ทว่ามันไม่ได้รีบเร่งรุกโจมตี แต่เคลื่อนที่ล้อมรอบมังกรวารีทมิฬทีละก้าวอย่างช้าๆ คล้ายกับว่ากำลังพยายามที่จะเสาะหาช่องโหว่ของมังกรวารีทมิฬล่วงหน้าไปก่อน
มังกรวารีทมิฬวนเวียนอยู่กับที่อย่างเงียบๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวไปไกล ดวงตาคู่นั้นของมันจ้องสุนัขป่าปีศาจทมิฬอย่างไม่ลดละตั้งแต่แรกเริ่ม มันเคลื่อนที่ไปพร้อมกันกับอีกฝ่าย ไม่ปล่อยผ่านการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามของสุนัขป่าปีศาจทมิฬ
มังกรวารีทมิฬยึดครองความได้เปรียบในด้านพลังอย่างชัดเจน แต่สุนัขป่าปีศาจทมิฬมีพรสวรรค์วิเศษ สามารถพรมไอเย็นรอบกาย ทำให้พลังความสามารถของอีกฝ่ายอ่อนแอลงอย่างช้าๆ
ไอเย็นจะถ่วงความเร็วของอีกฝ่ายให้ช้าลง ซึ่งก็เท่ากับว่าเพิ่มความเร็วให้มันเองกลายๆ ทว่าความเร็วของตัวสุนัขป่าปีศาจทมิฬเองเดิมก็ว่องไวยิ่งยวดอยู่แล้ว อยู่ในอันดับต้นๆ ในสัตว์วิเศษระดับชั้นเดียวกัน
เยี่ยฉงโจวผิวปากครั้งหนึ่ง “ลงมือ!”
เขามองออกแล้วว่าสุนัขป่าปีศาจทมิฬคิดจะถ่วงเวลาออกไป อาศัยไอเย็นเยียบลดทอนพลังของมังกรวารีทมิฬอย่างต่อเนื่อง ด้วยสถานการณ์สิ่งหนึ่งดับสิ่งหนึ่งเกิดเช่นนี้ เวลายิ่งยืดออกไปนานเท่าใด ก็ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อมังกรวารีทมิฬ
มังกรวารีทมิฬส่งเสียงคำรามราวกับอัสนีบาตอย่างต่อเนื่อง พลางโถมประหนึ่งลมสลาตันไปยังสุนัขป่าปีศาจทมิฬ!
ในช่วงที่เกล็ดมังกรดำขลับทั่วร่างขยับเปิดปิด ปราณน้ำจำนวนมากก็ปรากฏออกมา ก่อนจะม้วนขึ้นและกดอัดไปทางอีกฝ่ายพร้อมกันราวกับคลื่นไร้ที่สิ้นสุด
สุนัขป่าปีศาจทมิฬเองก็เปล่งเสียงร้องคำรามออกมาเช่นกัน กัดฉีกอยู่กับมังกรวารีทมิฬด้วยความโหดร้าย ปราณอำมหิตเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดพลันตลบอบอวลออกไป
อย่างไรเสียมังกรวารีทมิฬก็ครองความได้เปรียบในด้านพลัง ไม่นานนักก็บีบคู่ต่อสู้ของตนจนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
บนใบหน้าศิษย์เมืองทะเลมรกตคนอื่นๆ ที่เฝ้าสังเกตการณ์ต่อสู้เผยให้เห็นสีหน้าปีติยินดี ทว่าสีหน้าอารมณ์เยี่ยนจ้าวเกอกลับค่อยๆ เคร่งขรึมเอาจริงเอาจังขึ้นมา
เนื่องจากเขาพบว่าในดวงตาทั้งสองของสุนัขป่าปีศาจทมิฬที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ บัดนี้เปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์และป่าเถื่อน
………………..