ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 179 เยี่ยนจ้าวเกอผู้ทำให้กลุ่มดาวอับแสง
แววตาของจ้าวฮ่าวเปล่งประกาย สีหน้าท่าทางเคร่งขรึมจริงจังอย่างที่เคยมีมาก่อน พลางจดจ้องเยี่ยนจ้าวเกออย่างไม่วางตาอยู่นาน โดยที่ไม่เอ่ยคำพูดใดๆ
บริเวณอีกฝั่งมีคนผู้หนึ่งที่คล้ายกับจ้าวฮ่าว ซึ่งก็คือหวงเจี๋ยแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
หวงเจี๋ยที่สงบเงียบมาโดยตลอด หลังจากเห็นปราณจิตราของเยี่ยนจ้าวเกอที่แปรสภาพเป็นโลกลวงตากับตาของตนเอง ทั้งยังเห็นพลังระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะกลางด้วยตาของตนเอง ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยสงบนิ่ง ก็พลันทอประกายด้วยความตกตะลึง
ทันทีที่ประกายแสงนี้ส่องวาบผ่านไป ก็กลับเป็นปกติอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
หลังจากคอยจนได้เห็นเยี่ยนจ้าวเกอสำแดงพลัง โจมตีอัสนีวัฏจักรอันลือชื่อของเสียจื่ออี้จนได้รับชัยชนะแล้ว แววตาของหวงเจี๋ยที่แต่เดิมสงบนิ่ง ก็เปลี่ยนเป็นลึกล้ำยิ่งขึ้น
ข้างกายเขา ถังหย่งฮ่าวพลางพูดขึ้นเสียงเบาว่า “หวังจริงๆ ว่าจะสามารถประมือกับเขาให้ได้โดยเร็ว ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ คิดดูแล้วล้วนเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น”
เมื่อหวงเจี๋ยได้ยินดังนั้นแล้ว กลับไม่เอ่ยปากสักคำ
คนอื่นๆ ในตอนนี้ต่างก็ค่อยๆ ออกจากภวังค์
สายตาของทุกคน ล้วนจับจ้องไปที่ร่างของคนทั้งสาม ซ่งเฉา ถังหย่งฮ่าว และสวีเฟย
เสียจื่ออี้ที่เป็นผู้พ่ายแพ้ ตอนนี้เองเริ่มรับรู้การมีอยู่ของฝูงชนในสนาม และรู้สึกได้ว่ามีเพียงจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ขั้นฝ่านภาเพียงสามคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้กับเยี่ยนจ้าวเกอ น่าเสียดายที่สวีเฟยและเยี่ยนจ้าวเกอเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน อีกทั้งความสัมพันธ์ยังสนิทชิดเชื้อกันอีก ต่อให้ต้องประมือ ก็ทำได้เพียงปิดประตูสำนักแลกเปลี่ยนความรู้กันเท่านั้น
ส่วนถังหย่งฮ่าวก็พูดอย่างชัดเจนว่าไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็จะไม่ใช้ระดับพลังฝึกปรือกดขี่คนอื่นทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้สายตาของผู้คนงจึงตกไปอยู่ที่ซ่งเฉา คุณชายเจ็ดทะเล
บุตรของซ่งอู๋เลี่ยง เจ้าเมืองทะเลมรกต ผู้นำรุ่นเยาว์แห่งเมืองทะเลมรกต ถึงแม้ว่าประชันกับถังหย่งฮ่าว ‘กระบี่แสงสว่าง’ จนเสียท่าไปกระบวนหนึ่ง แต่หากมองเพียงแค่การประมือ ก็รู้ได้ว่าซ่งเฉาไม่ใช่พวกที่มีชื่อเสียงจอมปลอมแต่แท้จริงแล้วไร้ความสามารถ
ทั้งเขายังถูกขนานนามว่าเป็นสี่คุณชายแห่งยุคเช่นเดียวกับเยี่ยนจ้าวเกออีกด้วย
ถึงแม้ว่าเมืองทะเลมรกตและเขากว่างเฉิงจะเป็นพันธมิตรกัน ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้กระทบกับการประลองแลกเปลี่ยนความรู้ของศิษย์แต่ละสำนักแต่อย่างใด ไม่ถึงขั้นต้องตัดสินด้วยความเป็นความตาย
กระนั้น เห็นได้ชัดว่าซ่งเฉาก็ไม่ได้มีความคิดที่จะประมือกับเยี่ยนจ้าวเกอ ปล่อยให้สายตาของฝูงชนมองมาที่เขา โดยที่เขามีท่าทางที่อ่อนโยนและสงบเงียบเช่นเดิม
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของซ่งเฉา บรรดาผู้คนต่างก็รู้ว่าไม่มีทางได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเขากับเยี่ยนจ้าวอย่างแน่นอน
การประชุมฝ่านภาดำเนินมาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าจะมีการประมือระหว่างยอดฝีมือขั้นฝ่านภาอย่างหย่งฮ่าวกับซ่งเฉา ถังหย่งฮ่าวกับสวีเฟย ทั้งสามคนนี้แล้วก็ตาม พยัคฆ์ปะทะสิงห์ แต่ภาพที่น่าชมที่สุดก็ค่อยๆ ปรากฎออกมา โดยที่ไม่มีใครกังขาเลย ว่าดาวเด่นที่เปล่งประกายเจิดจ้าที่สุดก็คือเยี่ยนจ้าวเกอ คุณชายกว่างเฉิง!
พลังฝึกปรือขั้นเคียงนภาระยะต้น โจมตีหลิวเซิ่งเฟิงที่อยู่ในขั้นเคียงนภาระยะท้านจนไม่มีหน้ามาเข้าร่วมการประชุม เพิ่งจะเลื่อนสู่ขั้นเคียงนภาระยะต้นได้ไม่นาน ก็บรรลุจนถึงขั้นเคียงนภาระยะกลางอีกครั้งภายในระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นในขั้นเคียงนภาระยะกลาง ก็โจมตีเสียจื่ออี้ที่ถูกยกย่องว่าไร้พ่ายต่อผู้ที่มีพลังฝึกปรือต่ำกว่าขั้นฝ่านภาจนพ่ายแพ้ยับเยิน ไม่ว่าทุกครั้งที่สู้จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เยี่ยนจ้าวเกอก็ล้วนปะทะซึ่งๆ หน้า โจมตีจนได้รับชัยชนะ โดยใช้เพียงวิชาที่คู่ต่อสู้ถนัดที่สุด ทำให้ชัยชนะของเขาครั้งนี้ไร้ข้อโต้แย้งใดๆ
การประชุมฝ่านภาครั้งนี้ เยี่ยนจ้าวเกอราวกับดวงอาทิตย์ร้อนแผดเผาบนท้องนภา สาดส่องจนใต้หล้าชัดแจ้งไปเสียทั้งหมด เปล่งประกายจนเหล่าดาราอับแสง
ไม่เพียงแต่บรรดาศิษย์อ่อนอาวุโสเท่านั้น เหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลายที่เฝ้าชมการต่อสู้อยู่ ต่างก็มองหน้ากันเลิกลัก ตกอยู่ในสภาวะนิ่งเงียบ
หลังจากนั้นเนิ่นนาน ซานสือเวิงก็ถอนใจเสียงเบา แล้วจึงเอ่ยว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ เป็นเยี่ยนผู้ไร้เทียมทานอีกคนหนึ่งแล้ว”
คนอื่นๆ ล้วนนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา แม้แต่ผู้อาวุโสที่มีใบหน้าเข้มขรึม ขณะนี้ก็ไม่ได้ปริปากพูดเช่นกัน
ซานสือเวิงถอนใจเสียงเบาอีกครั้ง “ยิ่งข้ามองดูเขา ก็มีแนวโน้มว่าเขาจะเป็นศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์”
เขาหันกลับไปมองยังฟางจุ่น “ขอแสดงความยินดีกับสำนักกว่างเฉิง ที่ปรากฎมังกรขึ้นอีกครั้งแล้ว”
ฟางจุ่นผงกศีรษะเล็กน้อย “ท่านซานสื่อเวิงเกรงใจเกินไปแล้ว”
ผู้อาวุโสโม่จ้องเยี่ยนจ้าวเกอเขม็ง ประกายตามืดสลัว ผู้ที่มีอากัปกิริยาเช่นเดียวกับเขา ยังมียอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์แห่งหอคลื่นโหมที่รักษาการณ์อยู่ที่แห่งนี้ และยอดฝีมือมหาปรมาจารย์แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นำคณะมา ณ ที่นี่
สายตาที่พวกเขามองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอล้วนมีความหมายแฝงที่ยากจะเข้าใจอยู่บ้าง คล้ายกับเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง
ฟางจุ่นและมหาปรมาจารย์ตำหนักอัสนีสวรรค์ที่มายังที่แห่งนี้ ทั้งยังมีผู้อาวุโสเฉินแห่งเมืองทะเลมรกต และซานสือเวิง ต่างก็จ้องตากันโดยไม่รู้ตัว
มีการต่อสู้ของปรมาจารย์ขั้นฝ่านภาทั้งสามบนเกาะลอยเป็นอันดับแรก จากนั้นก็มีเยี่ยนจ้าวเกอที่โจมตีเสียจื่ออี้จนพ่ายแพ้ด้วยระดับที่ต่ำกว่าอีก
การประชุมฝ่านภาครั้งนี้เมื่อดำเนินมาถึงตรงนี้ ถึงแม้ว่าจะยังมไม่สิ้นสุด แต่ถึงอย่างนั้นอารมณ์ของผู้เข้าร่วมกลับแย่ลงเรื่อยๆ
เรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ที่พบเจอมา จำเป็นยิ่งที่พวกเขาต้องทำความเข้าใจอย่างช้าๆ
ทว่าในตอนที่บรรดาผู้คนเข้าใจว่าเรื่องนี้ถึงจุดสิ้นสุด สถานการณ์ก็พลันพลิกผัน!
เมฆหมอกสุดลูกหูลูกตาที่ปกคลุมทะเลสาบปิดนภาตลอดปี บัดนี้กระเพื่อมไม่หยุด คล้ายกับน้ำต้มที่กำลังเดือดอย่างไรอย่างนั้น
ชั้นเมฆระเบิดกระจายตลอดเวลา ราวกับฟองอากาศมหึมาแตกออกฟองต่อฟองไม่ขาดสาย
ทะเลสาบปิดนภาที่เบื้องล่างใสสะอาดดุจมรกต ก้นบึ้งพลันบังเกิดแสงสีดำสลัวๆ ออกมา ค่ายกลมหึมาค่ายหนึ่งปรากฎขึ้น อักขระค่ายกลนับไม่ถ้วนส่องประกาย เคลื่อนย้ายหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้การสะท้อนของแสงสีดำ น้ำในทะเลสาบพลันมืดลงอย่างรววดเร็ว อีกทั้งเมฆหมอกบนผิวทะเลสาบ ก็เปลี่ยนเป็นเมฆดำโหมซัดสาดเช่นกัน ดำสนิทจนคล้ายกับน้ำหมึกอย่างไรอย่างนั้น
ภายในเมฆดำทั่วท้องนภา สายฟ้าสีแดงมากมายพาดผ่านไปไม่หยุดหย่อน ทั้งยังขยายวงกว้างไปทั่วสารทิศ
และมักจะมีสายฟ้าแลบสีแดงน่าหวาดผวาสายหนึ่งทอประกายวาบตกลงมาอยู่บ่อยครั้ง พาให้ท้องฟ้าส่องสว่างไปทั้งผืน ทว่ากลับไม่ไล่ความมืดมิดนั่นกระจายหายไป ยิ่งทำให้ปรากฏการณ์เบื้องหน้ายิ่งปรากฎความแปลกประหลาดและน่ารันทดขึ้นไปอีก!
ใต้ก้นบึ้งน้ำทะเลสาบสีดำ ค่ายกลขนาดมหึมาโคจรไปรอบๆ อักขระค่ายกลสีดำส่องประกายแสงสลัววับวาบ ให้ความรู้สึกที่ไม่สะอาดนัก
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบปิดนภา สายน้ำสายหนึ่งที่ไหลเข้าไปในทะเลสาบ ทำให้ผืนน้ำที่เดิมทีสงบเงียบ พลันเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งขึ้นมาทันที
น้ำในสายน้ำนั้น ราวกับมีชีวิตเป็นของตนเอง แปรสภาพเป็นมังกรอสูรที่ก่อจลาจลไม่หยุด ทั่วร่างดำคล้ำประดุจโลหิต
มังกรอสูรตนนี้ยื่นหัวและลำตัวส่วนหน้าของตนออกมา ก่อนจะกระโจนลงไปในทะเลสาบ ทำให้เกิดคลื่นลมไม่หยุดหย่อน ส่วนลำตัวท่อนหลังยืดขยายไกลออกไป
ต้นน้ำนั้นอยู่ที่ปฐพีพิภพ
ที่แห่งนั้นคล้ายกับมีพลังที่ไม่มีสิ้นสุด ทะลักเข้าสู่ภายในร่างของมังกรอสูร ทำให้มันสร้างความวุ่นวายในทะเลสาบปิดนภาขึ้นไปอีกขั้น
มังกรอสูรยื่นกรงเล็บทั้งคู่ออกมา คว้าไปยังค่ายกลแสงสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่ในก้นบึ้งของทะเลสาบ
ค่ายกลกลายเป็นเหมือนกับประตูใหญ่บานหนึ่ง ครั้นถูกมังกรอสูรยื่นกรงเล็บคว้าเอาไว้ ทั้งสองฟากประตูก็เริ่มเปิดออกอย่างช้าๆ!
พลังปราณอันน่าหวาดกลัวกลุ่มหนึ่งปกคลุมทั่วทั้งทะเลสาบปิดนภาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังแผ่กระจายออกไปไม่ขาดสาย มันไม่ได้ให้ความรู้สึกชั่วร้ายและสกปรกแต่อย่างใด ทว่ากลับทำให้ผู้คนจิตใจว้าวุ่น ยากที่จะสงบสติอารมณ์ได้
พลังที่แปลกประหลาดนี้ ราวกับกำลังชักนำความคิดในแง่ร้ายและความทะเยอทะยานที่ซ่อนอยู่ลึกที่สุดในก้นบึ้งจิตใจของทุกๆ คนลงทะเลสาบ และยังทำให้สิ่งเหล่านั้นขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
ความทะเยอทะยานและความคิดในแง่ลบเหล่านี้ ประหนึ่งกับได้รับของบำรุง จึงหยั่งรากลึกอย่างรวดเร็ว ทั้งยังแตกหน่อออกมา เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า
ส่วนค่ายกลที่อยู่ก้นทะเลสาบเอง ก็เหมือนกับได้รับการบำรุงเช่นกัน การโคจรทวีความคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น ตามการเจริญเติบโตของสิ่งของเหล่านี้ พลังปราณที่น่าหวาดกลัวเหล่านั้นก็ทวีคูณด้วยเช่นกัน
เพราะข่าวสารของตำหนักอัสนีสวรรค์ จึงทำให้ศิษย์สืบทอดหลักของแต่ละสำนักที่เข้าร่วมการประชุมฝ่านภาส่วนมากได้รับคำเตือนจากผู้อาวุโสของสำนักตนทั้งสิ้น
การที่พบเจอกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงอย่างรวดเร็วในขณะนี้ บรรดาผู้ที่มีการเตรียมตัวไว้แล้ว ส่วนใหญ่ล้วนสามารถตั้งสติได้ทันเวลา
ในขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอทำความเข้าใจสภาพจิตใจของตนอย่างละเอียด สายตาก็ทอดมองไปทางผิวทะเลสาบที่ไกลออกไป เขาพบว่าในทะเลสาบภายใต้บริเวณแสงสายฟ้าแลบสีแดงมากมายนั้น มีเงาร่างมหึมาของมังกรอสูรสีโลหิตผลุบๆ โผล่ๆ
เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังปราณชวนหวาดผวาที่สร้างความสับสนวุ่นวายต่อสติปัญญาและความคิดของตนแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมพูดพึมพำกับตัวเองว่า “เป็นมารชั่วร้ายแห่งนพยมโลกจริงๆ ด้วย”
………………..