ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 216 การเปลี่ยนตำแหน่งของเยี่ยนจ้าวเกอ
สำหรับจอมยุทธ์กว่างเฉิงที่อยู่ที่วายุพิภพ การเปลี่ยนตำแหน่งของเยี่ยนจ้าวเกอกับบทบาทที่แสดงออกได้ ยังต้องสังเกตโดยตรงเพิ่มอีกสักหน่อยถึงจะรู้สึก
ตอนที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตอบโต้กลับ ชักเลื่อยช่วงชิงเกาะกานกับสำนักเขากว่างเฉิงไปมาก่อนหน้านี้ เป็นเวลาเดียวกับที่ทางภูผาพิภพส่งข่าวสารมาให้สำนักเขาไร้พรมแดน สำนักเขากว่างเฉิง และเมืองทะเลมรกตลงพอดี ทำให้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ประสงค์จะยึดดินแดนที่เสียไปกลับคืน จำใจต้องถอยกลับเกาะฉิน
เบื้องบนเบื้องล่างของสำนักเขากว่างเฉิง เบื้องบนถึงระดับเจ้าสำนักหยวนเจิ้งเฟิง เบื้องล่างจนถึงบรรดาผู้อาวุโส เนื่องจากการกระทำที่เขานิมิตเมฆมีความหมายต่อเขาอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เวลานั้นจึงยกย่องชมเชยเยี่ยนจ้าวเกอถึงที่สุด
การที่สำนักเขาไร้พรมแดนขัดใจกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์โดยตรง ส่งผลกระทบลึกซึ้งกว้างไกล ปรากฏให้เห็นในทุกๆ ด้าน
ในอีกแง่มุมหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอโจมตีด้วยวิชากำเนิดสายฟ้าที่เขานิมิตเมฆ ไกลโพ้นออกไปเป็นหมื่นลี้ ช่วยโจมตีการสู้รบของสำนักตนที่วายุพิภพได้เป็นอย่างมาก
คำที่จะกล่าวว่าใช้พลังของตนผู้เดียวก่อกวนแนวโน้มสถานการณ์ใต้หล้า ไม่ใช่ว่าจะพูดด้วยประโยคเดียวได้ง่ายดายเช่นนั้น
การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนสถานการณ์อันใหญ่หลวง อาจจะทำให้ลักษณะชัยภูมิของพื้นที่บางส่วน บังเกิดความเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินก็เป็นได้
ยิ่งไปกว่านั้นคือการเปลี่ยนแปลงที่มหาศาลขนาดนั้น บีบบังคับให้หวงกวงเลี่ยแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ออกฌานก่อนโดยตรง แม้ว่าจะมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์สองชิ้นในมือ ก็ทำได้เพียงใช้ยุทธศาสตร์ตั้งรับเท่านั้น
สถานการณ์ที่พลิกผัน และความคิดทัศนคติที่เปลี่ยนทิศทาง ก็กำลังค่อยๆ ซึมซับจนเกิดความเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัว ส่งผลกระทบต่อจุดยืนและการตัดสินใจของผู้คนด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกับที่เยี่ยนจ้าวเกอกำลังได้รับคำอวยพรจากเยี่ยนตี๋บิดาของตน ความสามารถของตนที่แสดงออกมานับวันยิ่งโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ ในทางกลับกันก็ทำให้ชื่อเสียงอิทธิพลของเยี่ยนตี๋ยิ่งแกร่งขึ้น
สงครามถังตะวันออก เยี่ยนตี๋ต่อสู้ข้ามระดับขั้น โจมตีพานป๋อไท่ ผู้อาวุโสเก่าแก่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ มหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรม อย่างทรงพลังจนพ่ายแพ้ ยิ่งทำให้นามกรเยี่ยนผู้ไร้เทียมทานลือเลื่องในระดับมหาปรมาจารย์อีกครั้ง
ปัจจุบันการแข่งขันชิงตำแหน่งเจ้าสำนักรุ่นถัดไปของสำนักเขากว่างเฉิง ในที่สุดสภาวะสมดุลแต่เดิมก็ค่อยๆ หายไป
แม้จะมาทีหลัง ทว่าชื่อเสียงและอำนาจของเยี่ยนตี๋เริ่มดังกว่าอย่างเป็นทางการแล้ว แซงหน้าฟางจุ่น ผู้เป็นศิษย์พี่ของตน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงของทะเลสาบปิดนภา ฟางจุ่นรับหน้าที่นำคณะ ทว่าผลลัพธ์กลับหวุดหวิด หากไม่ใช่เยี่ยนจ้าวเกอต่อสู้สุดชีวิต แต่ประตูนพยมโลกเปิดขึ้นมาจริงๆ ก็ยากจะคาดการณ์ผลที่ตามมาอย่างยิ่ง
ตัวฟางจุ่นเองไม่ได้มีความผิดแต่อย่างใด แต่เยี่ยนจ้าวเกอคือบุตรของเยี่ยนตี๋ ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างชัดเจนออกมาอยู่หลายส่วน
ผลลัพธ์โดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในแง่ดีและร้ายของทั้งสองฝ่าย ก็คือบุคคลระดับอำนาจชั้นกลางของสำนักเขากว่างเฉิงเริ่มจิตใจว้าวุ่น มีจุดยืนที่ไม่แน่วแน่ ทว่าไม่ได้ครอบงำความคิดกำลังคนฝ่ายฟางจุ่นแต่อย่างใด
ต่อให้ไม่เปลี่ยนคนสนับสนุน ท่าทีก็ค่อยๆ มีแนวโน้มคลี่คลายเช่นกัน วันนี้เหลือไมตรีไว้บ้าง วันหน้ายังพบหน้ากันติด
นี่ก็ทำให้ยามที่พวกเขาเผชิญหน้ากับเยี่ยนจ้าวเกอ ล้วนมีความเกรงอกเกรงใจมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
ถึงจะไม่ได้โจ่งแจ้งอะไรเช่นนั้น แต่ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงจุดนี้อย่างมาก
ทัศนคติของเขาเทียบกับก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรนัก ที่ควรคบค้าก็คบค้า ที่ควรเยี่ยมเยียนก็เยี่ยมเยียน
กระนั้นจุดมุ่งหมายของการเดินทางในครั้งนี้ คือซากวัตถุในมหาทะเลทรายแดนตะวันตก เยี่ยนจ้าวเกอจะไม่หยุดอยู่ตามรายทางนานมากจนเกินไปนัก พายุนิมิตทมิฬของทะเลทรายชายขอบฝั่งตะวัน ยามรุนแรงนั้นยาวนานกว่า ยามอ่อนกำลังก็มีจำกัด หากเวลาล่าช้าจนเสียการไป ก็ต้องคอยปีหน้าแล้ว
ถึงแม้ว่าจะมีแผนอยู่ในใจบ้างแล้ว แต่จะสามารถนำเสาหินท่อนนั้นออกมาจากทะเลทรายได้อย่างราบรื่นหรือไม่ ต้องใช้เวลาเท่าใดที่จะนำมันออกมา ตอนนี้เขายังไม่อาจรู้ได้
ตามความเคยชินของเยี่ยนจ้าวเกอ ต้องเตรียมเพิ่มเวลาอันเหลือเฟือให้ตนเอง
บริเวณชายแดนติดกับมหาทะเลทรายแดนตะวันตกของเกาะทราย ผู้ที่ยึดครองที่นี่ก็คือพรรคกระบี่วายุคำราม ขุมกำลังระดับหนึ่ง ที่แห่งนี้มีผู้อาวุโสคุมการณ์ของสำนักเขากว่างเฉิงรักษาการณ์อยู่เช่นกัน
ในขอบเขตการปกครองของพวกเขา มีกิจการของสำนักเขากว่างเฉิงเช่นเดียวกัน สถานที่ที่อยู่ใกล้กับมหาทะเลทรายแดนตะวันตกที่สุด คือคูเมืองสายหนึ่งนามว่าซู่โจว
เมืองซู่โจวคือจุดพักสุดท้าย ก่อนที่กลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอจะออกจากเกาะทราย และมุ่งหน้าไปยังมหาทะเลทรายแดนตะวันตก ถือได้ว่าเป็นพรมแดนสุดขอบตะวันตกในขอบเขตการควบคุมของสำนักเขากว่างเฉิงเช่นกัน
ที่นี่มีถนนการค้าขนาดใหญ่ ให้บรรดาคนของทะเลสาบชายขอบฝั่งตะวันตกเข้ามาค้าขายกัน
ถึงแม้ว่าทะเลทรายชายขอบฝั่งตะวันจะเต็มไปด้วยภัยอันตราย เช่นเดียวกันกับปฐพีพิภพ ทว่าก็ผลิตของสะสมล้ำค่าที่มีเฉพาะมากมายเช่นกัน ดึงดูดจอมยุทธ์ของโลกแปดพิภพให้มาเสี่ยงอันตรายที่นี่ จึงพัฒนาก่อเกิดการค้าขายอันเจริญรุ่งเรืองของเมืองซู่โจวออกมา
สำนักเขากว่างเฉิงมีผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแซ่หลี่อยู่ที่เมืองซู่โจว ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะต้นท่านหนึ่ง
ผู้อาวุโสหลี่ต้อนรับกลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความกระตือรือร้น เพียงแต่ว่ายามพบกันครั้งแรก ครั้นมองเห็นชายหนุ่มนั่งทับพ่านพ่านอยู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงงันอยู่บ้าง
มุมปากเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกชั่วครู่ “หากข้าจะบอกว่า ใช้หมีสยงเมาเป็นสัตว์พาหนะอาจจะไม่…”
เพียงแต่ว่า ตนเองคล้ายคิดมากไป หลังจากผู้อาวุโสหลี่ตรงหน้าหลุดจากภวังค์ ก็เปล่งเสียงจุ๊ปากชื่นชมความมหัศจรรย์ของมัน “นี่คือปี่เซียะในตำนานตัวนั้นกระมัง? คุณสมบัติดีดังคาด ไม่ธรรมดาเหมือนทั่วไป!”
เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอได้ยินเช่นนั้น ก็อดกลั้นปฏิกิริยากลอกตาของตนอย่างหนัก ก่อนจะกระโดดลงจากร่างพ่านพ่าน คารวะต่อผู้อาวุโสหลี่ “ครานี้รบกวนท่านแล้ว”
ผู้อาวุโสหลี่ยิ้มกล่าว “ไม่ลำบาก ไม่ลำบาก จริงๆ แล้วเจ้าก็มาที่นี่เพื่อเรื่องของสำนักโดยเฉพาะเช่นกัน ของที่ก่อนหน้านี้ส่งสารมาให้ตระเตรียมไว้ล่วงหน้า ก็เรียบร้อยทั้งหมดแล้ว”
หลังอาหู่ขยับมาตรวจสอบด้านหน้าแล้ว จึงพยักหน้าให้เยี่ยนจ้าวเกอ “คุณชาย ครบทั้งหมดแล้วขอรับ และทุกอย่างล้วนมีสองชุด”
“ลำบากท่านผู้อาวุโสหลี่แล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย
ผู้อาวุโสหลี่กล่าว “ถึงอย่างไรสภาพแวดล้อมของมหาทะเลทรายแดนตะวันตกก็พิเศษ เพื่อให้ดำเนินการได้สะดวก ข้าจะเข้าไปด้วย ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางไปพลางๆ ก่อน”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ในเมื่อทั้งหมดล้วนเตรียมพร้อมเหมาะสม ก็ไม่หยุดรออีกต่อไป ออกจากเมืองซู่โจวไปพร้อมกัน
บริเวณไกลออกไป ทะเลทรายอันเปล่าเปลี่ยวปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทุกคน ให้ความรู้สึกเลวร้ายน่ากลัว กว่าทะเลทรายที่เดินมาผ่านมาก่อนหน้านี้
ครั้นทอดสายตามองออกไปไกลๆ คาดไม่ถึงเลยว่ามหาทะเลทรายแดนตะวันตกจะดูเหมือนความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดได้ถึงเพียงนี้
บริเวณที่เขตแดนฟ้าดินจรดกัน ไม่ว่าตรงไหนก็ล้วนเป็นลมงวงสีดำที่น่าหวาดผวา เชื่อมกับท้องฟ้าเบื้องบน ลงสู่ปฐพีใหญ่ ทำลายล้างไม่หยุดยั้ง
นี่ยังเป็นฤดูกาลที่พายุนิมิตทมิฬอ่อนกำลังที่สุด ก็ยังคงมีสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ หากเป็นวลาที่รุนแรงที่สุด ล้วนไม่รู้จะกลายเป็นลักษณะเช่นไร
นอกจากตัวผู้อาวุโสหลี่แล้ว ยังมีจอมยุทธ์ใต้บัญชาของเขาอีกกลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วย ระหว่างเดินไปบนเส้นทาง นอกจากสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายแล้ว กลับไม่มีเรื่องอื่นใดที่เยี่ยนจ้าวเกอต้องพะวักพะวง
ทว่าเดินไปได้ครึ่งทาง เบื้องหลังพลันมีแสงสลัวส่องสว่างวาบ
หลังผู้อาวุโสหลี่แยกแยะครู่หนึ่งแล้ว จึงหันศีรษะกลับไปมองยังเยี่ยนจ้าวเกอ “เป็นของวิเศษคุ้มกายที่พรรคกระบี่วายุคำรามใช้เป็นประจำ น่าจะมีคนติดอยู่ที่นี่”
เยี่ยนจ้าวเกอมองดูโดยรอบ พายุสีดำทั่วท้องฟ้า ม้วนเอาผงทรายจำนวนมากขึ้นไป บดบังท้องฟ้าอำพรางดวงอาทิตย์
ลมดำอันหนาวสะท้าน ราวกับดาบโลหะอย่างไรอย่างนั้น หากไม่ได้เตรียมตัวไว้เป็นพิเศษ แม้แต่ปราณจิตราของจอมยุทธ์ปรมาจารย์ขั้นสุดยอดล้วนไม่อาจต้านทาน
“ของวิเศษคุ้มกายล้วนมีเวลาจำกัด หากไม่มีคนของพรรคกระบี่วายุคำรามมาก่อนที่จะใช้หมดไป พวกเขาก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยจนใจ “แต่ไรพรรคกระบี่วายุคำรามมีไมตรีจิตมิตรภาพต่อสำนักเรา ผู้อาวุโสจวินในพรรคก็เป็นสหายเก่ากับพ่อข้า คนในพรรคกระบี่วายุคำรามประสบภัย พวกเราช่วยได้สักนิดก็ช่วยเถิด”
พวกเขาเดินไปถึงบริเวณใกล้ๆ หนุนคนวัยเยาว์ไม่กี่คนให้หลบพายุ
หญิงสาวคนหนึ่งที่นำหน้าเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ ดวงตาพลันทอประกาย “ศิษย์พี่เยี่ยน!”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินแล้ว ก็เทียบรูปร่างหน้าตานางเข้ากับความทรงจำในสมอง “ลั่วลั่ว ไยไม่ระมัดระวังเช่นนี้?”
ผู้มาเยือนกลับเป็นคนคุ้นเคย ซึ่งก็คือธิดาคนสุดท้องของผู้อาวุโสจวินของพรรคกระบี่วายุคำรามท่านนั้น นับว่ามีมิตรภาพต่อเยี่ยนจ้าวเกออยู่บ้าง
จวินลั่วหัวเราะร่า พลางพูดกับคนวัยเยาว์ข้างกายทั้งสองว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าใคร่สงสัยว่าศิษย์พี่เยี่ยนเป็นคนเช่นไรมาโดยตลอดหรอกหรือ? ตอนนี้คนเป็นๆ ก็อยู่ตรงหน้าอย่างไรเล่า!”
คนวัยเยาว์ทั้งสองต่างก็เหม่อลอยอยู่บ้าง ราวกับอยู่ในฝัน ครู่ใหญ่ถึงได้หลุดออกจากภวังค์ รีบร้อนคารวะและกล่าวขอบคุณเยี่ยนจ้าวเกอ
“บุตรตระกูลเหลียนจากเกาะทราย เหลียนอิ๋ง ขอบพระคุณคุณชายกว่างเฉิงสำหรับบุญคุณช่วยชีวิต”
“บุตรตระกูลเหลียนจากเกาะทราย เหลียนเฉิง ขอบพระคุณคุณชายกว่างเฉิงสำหรับบุญคุณช่วยชีวิต”
…………………