ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 242 ความสามารถสูงส่ง
ฟ้าดินรอบข้างร้อนแผดเผาทั้งผืน คลื่นความร้อนโหมกระหน่ำทำให้ผู้คนแทบหายใจไม่ออก
หากแต่เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ กลับรู้สึกถึงความเยือกเย็นของผู้จู่โจม
หลังจอมยุทธ์บำเพ็ญกลายเป็นมหาปรมาจารย์ เหยียบย่างสู่ฟ้าดินใหม่ แปรรูปว่างเปล่าเป็นจิตวิญญาณ เปลี่ยนเท็จเป็นจริง ก็จะเริ่มเกี่ยวเนื่องสู่ความเป็นจริงของหลักการในโลกหล้าอย่างแท้จริง
ผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิต จากระยะแรกผ่านระยะกลางสู่ระยะท้าย บ่มเพาะดินวิเศษ ก่อเมล็ดพันธุ์วิเศษ หน่ออ่อนวิเศษงอกเงย ล้วนเป็นกระบวนการบ่มเพาะก่อตัวญาณวรยุทธ์
ครั้นถึงจุดสูงสุดของมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตแล้ว บ่มเพาะญาณวรยุทธ์ที่เป็นของตนเองออกมา ก็จะย่างก้าวสู่ระดับมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณ
ถัดมาเป็นการรวมกันของจิตวิญญาณและปราณจิตรา หลอมจิตราเป็นดั้งเดิม ปราณจิตรากลายเป็นปราณดั้งเดิม พลังความสามารถยกระดับแบบก้าวกระโดด
หัวหน้าค่ายชื่อหลิง ก็เป็นยอดฝีมือที่เหยียบย่างระดับมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณเช่นนี้ท่านหนึ่ง
ปราณดั้งเดิมทั้งร่างแผ่ออก กลายเป็นเพลิงลุกโชนจริงแท้ ลามทุ่งแผดเผาท้องฟ้า
เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาครั้งหนึ่ง ก่อนจะมองไปทางอาหู่อย่างไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง “ก่อนหน้าไม่รู้ได้อย่างไร ว่าเจ้าช่างปากไม่เป็นมงคลเสียจริง”
อาหู่หน้าเสีย พูดไม่ออก
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ เขาไม่ได้คิดจะงอมืองอเท้ารอความตาย รีบใช้ความคิด พลางกางปีกเซียนกระเรียนที่คลุมพาดอยู่ที่ไหลในบัดดล กลายเป็นปีกนกขนาดยักษ์สองข้าง
บนขนนกกระเรียนแต่ละเส้น ส่องแสงมหัศจรรย์พร่างพราว ประดุจผลึกหิน
บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอไม่มีเวลาวินิจฉัยประเภทชนิดแล้ว เพียงโกยหญ้าวิญญาณและสมุนไพรวิญญาณในแปลงไปกว่าครึ่ง
จากนั้นมืออีกข้างหนึ่งของเขาคว้าอาหู่ไว้ ปีกทั้งสองข้างเบื้องหลังพัดกระพือ พุ่งพรวดขึ้นสู่ท้องฟ้า เหินหนีออกไปไกลอย่างว่องไว!
ปีกเซียนกระเรียนมหัศจรรย์อย่างแท้จริง ต่อให้เพิ่มอีกคน ความเร็วในการเหินบินของเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงเร็วจี๋
ทว่าแสงเพลิงด้านหลังที่เหมือนกับคลื่นทะเลก็ไม่ได้แช่มช้าเช่นกัน ไล่ตามเบื้องหลังเขามาติดๆ
ภายในคลื่นเพลิงมีเสียงตะโกนก่นด่าของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงดังออกมา “เจ้าเด็กนอกคอกแซ่เยี่ยน วันนี้เจ้าจงชดใช้หนี้แทนเยี่ยนตี๋ บิดาของเจ้าเสียเถอะ!”
เยี่ยนจ้าวเกอไม่แม้แต่จะสนใจ มุ่งมั่นขับเคลื่อนปีกเซียนกระเรียนรุดหน้าไปไม่หยุด
เมื่อบินถึงท้องฟ้าสูง ตรงหน้ามีมวลไอเมฆเป็นกลุ่มๆ ก่อตัวเป็นทะเลเมฆ เยี่ยนจ้าวเกอตะบึงขวักไขว่อยู่ภายในนั้นไม่หยุดยั้ง
เพลิงใหญ่คุโชนเบื้องหลัง ม้วนสู่ภายในทะเลเมฆโดยพลัน ทะเลเพลิงตอดกินทะเลเมฆตลอดเวลา
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังโผบินอย่างเร็วรี่ คลื่นเพลิงด้านหลังพลันมีมังกรเพลิงสายหนึ่งพุ่งมาทางเขา
เขามุ่นคิ้วเล็กน้อย เบี่ยงกายเอนหลบไปด้านข้าง หลีกหนีแสงเพลิงนั้น
แสงเพลิงตกร่วงหล่น โถมเข้าสู่มวลทะเลเมฆกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ประหนึ่งคมกระบี่อันเฉียบแหลมเล่มหนึ่ง สับหั่นชั้นเมฆแยกออกจากกัน แล้วจมหายไปในทะเลเมฆไม่พบเห็น
ชั่วพริบตาถัดมา เสียง ‘โครม’ ก็ดังสนั่นหวั่นไหว ทะเลเมฆกว้างใหญ่เบื้องหน้าเยี่ยนจ้าวเกอลุกไหม้ขึ้นมาทั้งผืน กลายเป็นทะเลเพลิงสีแดงก่ำอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า
เมฆหมอกมหาศาลถูกเปลวเพลิงเผากลายเป็นไอน้ำจนหมดสิ้นในชั่วเสี้ยววินาที หากแต่เปลวเพลิงโชติช่วงกลับไม่เคยหายไป ขวางกั้นหนทางไปของเยี่ยนจ้าวเกอเอาไว้
ปีกทั้งสองข้างด้านหลังเยี่ยนจ้าวเกอแกว่งไกว ร่างกายลดระดับลงอย่างฉับไว หลบหลีกเปลวเพลิงที่ขวางทาง
ทว่าเมื่อทำเช่นนี้แล้ว ความเร็วจึงช้าลงอยู่บ้าง หัวหน้าค่ายชื่อหลิงเบื้องหลังพลันดึงระยะห่างเข้าใกล้
เยี่ยนจ้าวเกอนำพาอาหู่อยู่ ครั้นชายร่างใหญ่หันศีรษะมองกลับไปเบื้องหลัง ก็เอ่ยถามขึ้นมา “คุณชาย ท่านใช้เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ปรามเขาสักหน่อยไม่ได้หรือ?”
“ก่อนหน้านี้ต้านทานมังกรทมิฬพิฆาตในมหาทะเลทรายแดนตะวันตก ซ้ำยังประชันกำลังกับปีกเซียนกระเรียนอีก เศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าอยู่ระดับที่ไม่ได้ฟื้นฟูเต็มที่ตลอดเวลา สำแดงอานุภาพได้มากเพียงใด ยากจะเอื้อนเอ่ย” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวตอบ
“ต่อกรกับมหาปรมาจารย์ระดับหัวหน้าค่ายชื่อหลิงเช่นนี้ จำเป็นต้องขับเคลื่อนสายฟ้าชั่วพริบตา ลุกไหม้ทั้งหมดในครั้งเดียว มอบความเหี้ยมโหดให้เขาสักหน่อย”
ชายหนุ่มโผบินไปพลาง สังเกตรอบด้านทั้งสี่ทิศไปพลาง “อีกทั้ง ไม่เหมือนที่ทะเลสาบปิดนภาคราก่อน เป็นสิ่งของไร้ชีวิตที่โจมตีแล้วไม่เขยื้อนสิ่งหนึ่ง คิดโจมตีอัดอย่างไรก็โจมตีอย่างนั้น ข้าเดินเข้าไปอย่างแช่มช้าวางเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าบนศูนย์กลางค่ายกลมารนั่นล้วนใช้ได้ แต่เป้าหมายคราวนี้เป็นคนเป็นๆ ที่เคลื่อนไหวได้”
“แถมยังไม่ใช่คนเป็นๆ ทั่วไป มหาปรมาจารย์ระดับนี้ ความตื่นตัวสูง ตอบสนองฉับไว ความเร็วก็สูงเช่นกัน หากโจมตีเขาไม่ได้ในคราวเดียว เช่นนั้นก็เท่ากับสิ้นเปลืองกำลังไปเปล่าๆ แล้ว”
ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอยู่นั้น ร่างกายชะงักฉับพลัน แล้วจึงค่อยลอยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลบหลีกมังกรเพลิงที่โจมตีมาเบื้องหลังตัวหนึ่งอีกครั้ง
มิติต่างแดนที่ตนอยู่ในตอนนี้ ไม่เสถียรอย่างยิ่งแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอทอดมองไกลๆ ออกไป ถึงขั้นที่แลเห็นได้ว่าฟากฟ้าปรากฏริ้วเส้นสีดำมากมายขึ้น
นั่นไม่ใช่แสงสว่าง และก็ไม่ใช่สรรพสิ่งจำเพาะเจาะจงอะไรเช่นกัน
หากแต่เหมือนเป็นม้วนภาพที่สมบูรณ์ม้วนหนึ่ง พลันถูกฉีกออกจนเกิดรอยฉีกขาด
มิติต่างแดนกระบวนการสูญสิ้นของตัวมันเองแล้ว
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม แม้จะมีเปลวเพลิงที่กลายสภาพมาจากปราณดั้งเดิมของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงก็ตาม ทว่าฟากฟ้าก็ยังคงมืดสลัวอยู่เช่นกัน
ลมโหมพัดบ้าคลั่งไม่หยุดร้องคำราม พัดจนเยี่ยนจ้าวเกอล้วนไม่อาจขับเคลื่อนปีกเซียนกระเรียน และไม่อาจควบคุมร่างกายให้มั่นคงอยู่บ้าง
ผืนดินกว้างเบื้องล่างยิ่งเริ่มก่อเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ดินหินบนพื้นผิวดินแตกบิ่นเป็นเสี่ยงๆ ตลอดเวลา รอยแยกแตกถี่ยิบ ราวกับใยแมงมุมอย่างไรอย่างนั้น
เยี่ยนจ้าวเกอทอดมองไปด้านหน้า ประหนึ่งภาพฝันทิวทัศน์ลวงตาก็ไม่ปาน ทัศนียภาพเหลือหลาย ต่างเริ่มบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปอย่างคาดไม่ถึง
หัวหน้าค่ายชื่อหลังไล่ตามหลังมาติดๆ เขาเองก็รู้สึกได้ว่ามิติต่างแดนแห่งนี้กำลังจะดับสูญในไม่ช้าเช่นกัน
หลังล่วงรู้ข่าวคราวว่าเยี่ยนจ้าวเกออยู่ที่นี่ เขาก็เร่งรีบมาอย่างเร็วไว ครั้นตัดสินใจเสี่ยงภัยแล้ว ก็ต้องโจมตีสังหารชายหนุ่มให้ตายตกที่นี่ให้จงได้
ทันทีที่เห็นหายนะฟ้าดินหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับภาพวันสิ้นโลกฉากหนึ่ง หัวหน้าค่ายชื่อหลิงก็อดเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวไม่ได้ การรุกโจมตีระลอกหนึ่งต่อด้วยอีกระลอกที่ดุเดือดยิ่งกว่าเดิม ไล่ตามไปทางเยี่ยนจ้าวเกอ
ถึงแม้ว่าเขาจะมีนิสัยและอารมณ์รุนแรง ทว่าการโจมตีของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงก็ไม่ได้หน้ามืดตามัวแต่อย่างใด
เปลวเพลิงที่แผ่กระจายไปทั่วฟ้าดินทั้งสี่ทิศ บีบขอบเขตเคลื่อนไหวของเยี่ยนจ้าวเกอให้แคบลงตลอดเวลา ค่อยๆ แปรเปลี่ยนกรงขังเปลวเพลิงมหึมากรงหนึ่ง ที่ต้องการคุมขังเขาไว้ภายในนั้น
แสงเพลิงสุดลูกหูลูกตาเชื่อมต่อกันเป็นผืนหนึ่ง ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างมืดฟ้ามัวดิน แต่งเติมความโหดร้ายและสิ้นหวังให้กับทัศนียภาพวันสิ้นโลกบนท้องฟ้าของมิติต่างแดนในขณะนี้มากยิ่งขึ้น!
แววตาเยี่ยนจ้าวเกอสงบเยือกเย็น สีหน้าอารมณ์บนดวงหน้าปรากฏความหุนหันอยู่บ้าง การขับเคลื่อนปีกเซียนกระเรียนโผบินค่อยๆ สูญเสียลำดับขั้นไปบ้าง ราวกับไม่รู้ว่าจะเลือกเส้นทางอย่างไร
เพียงแต่บริเวณไกลออกไป ประตูบานหนึ่งที่ทอแสงสว่างไสววับวาบกลางอากาศได้ปรากฏอยู่ในสายตาแล้ว
นั่นคือประตูใหญ่ตอนท่เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่เข้ามายังมิติต่างแดนนั่นเอง บัดนี้มันยังคงตั้งตระหง่านด้วยการกระตุ้นจากค่ายกลวิญญาณ
ทว่าประตูแสงบานนี้ เห็นได้ชัดว่าสั่นกระเพื่อมไม่สงบเช่นกัน ราวกับเงาสะท้อนกลับหัวในน้ำก็ไม่ปาน ตามการพังทลายสูญสิ้นของมิติต่างแดนเอง
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นประตูแสงแล้ว ก็มุ่งไปทางนั้นอย่างรวดเร็วทันใด
กระนั้นหัวหน้าค่ายชื่อหลิงที่อยู่เบื้องหลัง บัดนี้ไล่กวดเข้ามาใกล้แล้ว ทั้งยังปล่อยหมัดหนึ่งไล่ตาม เพลิงคุโชนคลุมครอบเยี่ยนจ้าวเกอไว้โดยตรง
ในลูกตาดำของชายหนุ่มคล้ายมีแสงอสนีบาตสีม่วงอมน้ำเงินส่องแวบผ่านไปไม่แจ่มชัด
สายฟ้าหนุนเสริมอยู่บนปีกเซียนกระเรียน ความเร็วพลันสูงขึ้นขั้นหนึ่ง เปลี่ยนทิศฉับไว หลีกหนีการโจมตีไปได้อย่างเฉียดฉิว
หากแต่หัวหน้าชื่อหลิงก็ฉกฉวยโอกาสนี้แซงผ่านเยี่ยนจ้าวเกอ ใช้คลื่นเพลิงโหมกระหน่ำวนล้อมประตูแสงบานนั้นเอาไว้
เขาเองรักษาหนทางถอยของตนไว้ก่อน พร้อมกันนั้นยังปิดกั้นหนทางไปของเยี่ยนจ้าวเกอไว้เช่นกัน!
ปีกเซียนกระเรียนบนไหล่ทั้งสองของเยี่ยนจ้าวเกอสั่นไหว แสงดาบขนนกแต่ละเส้นพลันโจมตีไปยังทะเลเพลิงประดุจห่าฝนอย่างไรอย่างนั้น
เสียงหัวร่อเย็นชาของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงทอดส่งมาจากภายในทะเลเพลิง เพลิงลุกโชนโชติช่วงกลืนกินแสงดาบขนนกจมหายไป แปรเปลี่ยนเป็นเสียงโลหะกระทบกันดังแสบแก้วหู
เงาร่างผู้เฒ่าผมแดงคนหนึ่งปรากฏกายจากภายในเปลวเพลิง ประหนึ่งเทพมารควบคุมเพลิงก็ไม่ปาน
ในเวลาเดียวกันเยี่ยนจ้าวเกอก็เห็นชายชราผู้นั้นถลึงตาเข้ามา แสยะยิ้มเอ่ย “หนอนน้อย ดูสิว่าคราวนี้เจ้ายังจะบินไปทางไหน?”
—————————–