ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 261 ผู้ได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก
ครั้นได้ยินหยวนเจิ้งเฟิงตัดสิ้นใจเข้าฌานตีฝ่าขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนพลันรู้สึกหนักใจ
ผู้อาวุโสเหอ ยอดฝีมือหญิงอันดับหนึ่งของเขากว่างเฉิงในปัจจุบัน ทั้งยังเป็นผู้อาวุโสสูงสุดรุ่นเดียวกับหยวนเจิ้งเฟิง ผู้มองหยวนเจิ้งเฟิงพลางเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก อาการบาดเจ็บเดิมของท่าน…”
สีหน้าท่าทางหยวนเจิ้งเฟิงไม่ยินดียินร้าย “ยื้อมานานนักแล้ว เวลานี้หากไม่พยายามสักตั้ง บางทีหลังจากนี้อาจจะไม่มีอะไรให้พยายามแล้ว”
“ตลอดมานี้ สถานการณ์ส่วนนอกช่างเคร่งเครียดยิ่งนัก ทำให้ข้าแม้จะอยากพยายามดูสักครั้ง ทว่าก็ไม่กล้าปลีกตัวเข้าฌานง่ายๆ”
“สถานการณ์ปัจจุบันนับว่าดีที่สุดตลอดหลายปีมานี้แล้ว ยามนี้หากยังไม่กล้าลงมือ เช่นนั้นก็ไม่ต้องลงมือแล้วเช่นกัน”
“แน่นอนสาเหตุที่เป็นหัวใจสำคัญยิ่งกว่าคือหากข้าไม่ประสบความสำเร็จ แต่หวงกวงเลี่ยแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ประสบความสำเร็จ สถานการณ์ที่พลิกกลับได้ไม่ง่ายนัก ชั่วพริบตาเดียวก็พลิกผันกลับฉับพลัน อีกทั้งจะเป็นความเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำได้เพียงฝากฝังวาดหวังไว้กับหอคลื่นโหมที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับพวกเราเช่นกัน หาไม่แล้วเจ้าและข้าจะพูดคุยเล่นอย่างมั่นคงปลอดภัยอยู่ที่นี่ได้หรือไม่ ล้วนกลายเป็นคำถาม”
หยวนเจิ้งเฟิงถอนใจแผ่วเบาครั้งหนึ่ง “ตอนนี้ ไม่มีท่านอาจารย์คอยปกป้องลมฝนให้กับพวกเราแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอคือศิษย์เยาว์วัยเพียงผู้เดียวท่ามกลางบรรดาผู้คนในเหตุการณ์ เขาฟังพวกของหยวนเจิ้งเฟิงพูดคุยอย่างเงียบๆ
อาจารย์ของหยวนเจิ้งเฟิง อาจารย์ปู่ของเยี่ยนตี๋ อาจารย์ทวดของเยี่ยนจ้าวเกอ ซึ่งก็คือเจ้าสำนักเขากว่างเฉิง จ่านตงเก๋อ ผู้สะเทือนสวรรค์ในภายหลัง และจ่านซีโหลว บุรุษเทียมสวรรค์นั่นเอง
นับอันดับอาวุโส จ่านตงเก๋อก็คืออาจารย์ทวดของเยี่ยนจ้าวเกอ อาจารย์ลุงของพวกเยี่ยนตี๋และสือเถี่ย
ทว่า เนื่องด้วยอิทธิพลพิเศษของบุคคลในตำนานทั้งสองท่านนี้ เริ่มตั้งแต่รุ่นของเยี่ยนตี๋และสือเถี่ยเป็นต้นมา ก็คุ้นชินกับการเรียกขานว่าอาจารย์ปู่สะเทือนสวรรค์และอาจารย์ปู่เทียมสวรรค์
การเรียกเช่นนี้ สืบเนื่องจนมาถึงศิษย์สำนักเขากว่างเฉิงที่เยาว์วัยยิ่งกว่า
จ่านซีโหลว ผู้สะเทือนสวรรค์ จนถึงตอนนี้ก็เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ท่านสุดท้ายที่ปรากฏในสายกว่างเฉิงเช่นกัน
นับแต่เขาร่วงโรยลง เขากว่างเฉิงก็ไม่ปรากฏจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อีกเลย หยวนเจิ้งเฟิงและซินตงผิงที่เดิมทีต่างก็ถูกมองว่ามีแนวโน้มที่ดีที่จะย่างเหยียบขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ทว่าทั้งสองล้วนติดขัดอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของระดับมหาปรมาจารย์ชั้นบรรลุธรรม
ข้างกายผู้อาวุโสเหอ ผู้อาวุโสจาง ผู้อาวุโสเก่าแก่สำนักเขากว่างเฉิงอีกท่านหนึ่ง สายตาของเขามองยังซินตงผิง “ศิษย์พี่ซินเล่า?”
ซินตงผิงนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ตอบกลับอย่างเรียบง่าย “ระดับความรู้ลึกซึ้งได้ที่ยังมาไม่ถึง”
ผู้อาวุโสเหอและผู้อาวุโสจางต่างก็ทอดถอนใจ
หยวนเจิ้งเฟิงกล่าว “ข้าตัดสินใจแน่วแน่จะเข้าฌานแล้ว เข้าฌานครานี้ ดีหรือร้ายยากคาดเดา ระยะเวลาสั้นหรือยาวยังไม่รู้ได้ ฉะนั้นจำต้องมีคนแบกภาระหน้าที่ของข้าชั่วคราวในช่วงที่ข้าเข้าฌาน ข้าจึงจะสามารถวางมือไขว่คว้า บุกฝ่าขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เต็มกำลัง”
สายตาเขากวาดผ่านซินตงผิง ผู้อาวุโสเหอ และยังมีผู้อาวุโสจาง “ช่วงเวลาที่ข้าเข้าฌาน หวังว่าศิษย์น้องทั้งสาม จะสามารถช่วยเหลือคนผู้นี้ ปรับปรุงแก้ไขสำนัก รุดหน้าอย่างมั่นคง”
ซินตงผิงผงกศีรษะเงียบๆ “ได้”
หลังผู้อาวุโสจางและผู้อาวุโสเหอพึมพำไตร่ตรอง ต่างก็ผงกศีรษะเช่นกัน “ศิษย์พี่เจ้าสำนักในเมื่อตัดสินใจแล้ว ข้าก็รอคอยรับฟังปฏิบัติตาม”
หยวนเจิ้งเฟิงตั้งใจเข้าฌานบุกทะลวงขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์นานแล้ว เพียงแต่ด้วยเหตุผลต่างๆ นานาจึงไม่สามารถเริ่มต้นได้มาโดยตลอด ไม่ว่าอย่างไรทุกคนก็นับว่ามีการเตรียมใจแล้วเช่นกัน
ปัจจุบันสถานการณ์ภายนอกค่อนข้างปลอดภัย หากแต่ด้วยหยกม่วงพิสุทธิ์เป็นเหตุ อำนาจคุกคามที่ซ่อนไว้ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งคับขันขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างก็รู้ดี หยวนเจิ้งเฟิงเข้าฌานครานี้นับเป็นความจำเป็นอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว
แม้จะบอกว่าเป็นการแบกภาระชั่วคราว ทว่าแท้จริงแล้วนั้นแทบจะเป็นการตัดสินคัดเลือกผู้ที่จะเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ในอนาคต
หากหยวนเจิ้งเฟิงล้มเหลวโรยรา กระนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยให้มากความ เจ้าสำนักคนใหม่รับช่วงต่อโดยอัตโนมัติ การจัดการของเขาในตอนนี้จึงคล้ายกับฝากฝังก่อนสิ้นลมไปโดยปริยาย
หยวนเจิ้งเฟิงประสบความสำเร็จเลื่อนขั้นขึ้นอีกก้าว หลังจากออกฌานเกินกว่าครึ่งจะเปลี่ยนผ่านตำแหน่งเหมือนเช่นหวงกวงเลี่ยแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ตนเองจะใช้เวลากับการบ่มเพาะมากยิ่งขึ้น มุ่งทะลวงขึ้นอีกขั้น ไม่ใช่มุ่งปฏิบัติงานในสำนักอีกต่อไป
สิ่งที่ค่อนข้างเป็นจุดสำคัญของที่นี่คือ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มกันสำนักเขากว่างเฉิง เสื้อคลุมนภา
ทั่วไปต่างยอมรับโดยดุษณี ว่าเสื้อคลุมนภาควบคุมโดยยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนัก มีพลังแก่กล้า เหมาะต่อการช่วงชิงชัยชนะกับสุดยอดยอดฝีมือคนอื่นๆ
ถ้าหากว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งเข้าฌานหรือออกเดินทางภายนอก เช่นนั้นโดยทั่วไปจะเป็นเจ้าสำนักมาควบคุม
ก็หมายความว่า ผู้ที่รับตำแหน่งเจ้าสำนักชั่วคราว จะได้รับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชุดลุมนภาเช่นกัน
นอกจากนี้แล้ว อำนาจควบคุมที่สำคัญที่สุดของสำนักเขากว่างเฉิงในการปกป้องรักษามหาค่ายกล ก็จะเป็นคนผู้นี้รับช่วงต่อเช่นกัน
สายตาของหยวนเจิ้งเฟิง ยามนี้ตกอยู่บนร่างทั้งสามคนคือเยี่ยนตี๋ ฟางจุ่น และสือเถี่ย
แววตาสือเถี่ยลุ่มลึกยิ่งใหญ่ ไม่ไหววูบแม้แต่น้อย เขากล่าวชัดว่าตนเองจะไม่รับตำแหน่งเจ้าสำนักต่อนานแล้ว
แววตาฟางจุ่นหยั่งลึก ประหนึ่งสมุทรลึกก็ไม่ปาน ไม่เห็นคลื่นซัดแม้สักนิด
แววตาเยี่ยนตี๋เงียบสงบ ราวกับท้องฟ้าสีครามเข้มสุดลูกหูลูกตา ยิ่งใหญ่สูงไกล จิตใจฮึกเหิมขึ้นมาฉับพลัน
เยี่ยนจ้าวเกออยู่ข้างกายเยี่ยนตี๋ สีหน้าสงบเงียบเช่นเดียวกัน จับจ้องการมาถึงในชั่วขณะสุดท้ายอย่างเงียบเชียบ
เส้นสายตาของหยวนเจิ้งเฟิงกวาดผ่านอยู่แค่ที่ร่างของกลุ่มเยี่ยนตี๋ทั้งสามคนเพียงครั้งเดียว ไม่ได้ลังเล แล้วกล่าวอย่างกระชับชัดเจน “เยี่ยนตี๋ ถึงเจ้าจะเป็นศิษย์ปิดสำนักที่อายุน้อยที่สุดของอาจารย์ แต่ภาระหน้าที่นี้ อาจารย์ตัดสินใจวางไว้บนบ่าเจ้า เจ้ายินดีจะแบกรับไว้หรือไม่?”
เยี่ยนตี๋สีหน้าไม่เปลี่ยน ผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วจึงคุกเข่าลงคารวะอยู่ตรงหน้าหยวนเจิ้งเฟิงเชื่องช้า “ศิษย์จะทุ่มเทสติปัญญาเเละความสามารถ ตราบจนชีวิตหาไม่ จักไม่ทรยศท่านอาจารย์และผู้ที่เชื่อมั่นของสำนักเป็นแน่”
ฟางจุ่นที่อยู่ข้างๆ ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
สายตาของตงซินผิง จ้องมองเยี่ยนตี๋ที่อยู่ตรงหน้าหยวนเจิ้งเฟิงเงียบๆ
หยวนเจิ้งเฟิงมองเยี่ยนตี๋พลางกล่าว “ถึงแม้เจ้าจะรับตำแหน่งเจ้าสำนักชั่วคราว แต่ผู้คนทั่วหล้าล้วนจะต้องรู้ ว่าอาจารย์ต้องเข้าฌานบุกทะลวงขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์”
“สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะคิดเช่นไรไม่สำคัญ ไม่ว่าพวกเราหรือพวกเขาล้วนรู้ดีแก่ใจ ว่าเป็นการแข่งเวลาซึ่งกันและกันอยู่”
“แต่ข่าวแพร่ออกไป เขาไร้พรมแดนกับเมืองทะเลมรกตจะคิดอย่างไร นั่นกลับยากคาดเดา”
หยวนเจิ้งเฟิงเอ่ยปลุกใจ “ในช่วงเวลานี้ สถานการลึกซึ้งลุ่มลึก ยึดกุมอย่างไร ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”
เยี่ยนตี๋กล่าวอย่างใจเย็น “ท่านอาจารย์วางใจ ศิษย์และท่านอาจารย์อา ท่านอาจารย์ลุงทุกท่าน ยังมีศิษย์พี่ทุกท่าน จะกระทำการอย่างระมัดระวัง”
หยวนเจิ้งเฟิงพลันระบายยิ้ม มองเยี่ยนจ้าวเกอวูบหนึ่ง “ครานี้จ้าวเกอสร้างความชอบอีกครั้ง ด้วยระดับพลังฝึกปรือของเขา ถึงขั้นที่แทบจะไม่มีรางวัลอะไรให้บำเหน็จได้แล้ว”
“ก็ให้โลกภายนอกคิดเสียว่า บำเหน็จรางวัลนี้เป็นพ่อรับแทนลูกก็แล้วกัน”
ทุกคนในเหตุการณ์ต่างยิ้มหัวเราะ บางทีคนภายนอกบางคนอาจจะนึกว่าเยี่ยนจ้าวเกอช่วยเยี่ยนตี๋กู้หน้าจริงๆ แล้ว ทว่าการตัดสินใจให้เยี่ยนตี๋รับช่วงต่อเจ้าสำนักชั่วคราว แน่นอนว่าจะไม่เพียงเนื่องด้วยเหตุผลเช่นนี้
กระนั้น ฝูงชนไตร่ตรองถี่ถ้วนดูแล้ว ก็รู้สึกได้เช่นกันว่าในอีกแง่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอผู้นำโชคมาให้เยี่ยนตี๋จริงแท้
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ผลงานของเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ คนรุ่นเยาว์ทั่วทั้งสำนักเขากว่างเฉิงไม่มีผู้ใดสามารถทัดเทียมเขาได้
ก่อนเหตุเขตยุทธ์เมฆาที่เกาะทราย เยี่ยนจ้าวเกอได้ถูกบ่มเพาะโดยมองว่าจะเป็นผู้รับช่วงต่อรุ่นถัดๆ ไป ราวกับไม่เหนือความคาดหมายนัก เป็นไปได้อย่างยิ่งที่เขาจะกลายเป็นผู้กุมหางเสือรุ่นใหม่ของสำนักเขากว่างเฉิงในอนาคต
หยวนเจิ้งเฟิงมองทางเยี่ยนตี๋ “ตามอาจารย์มา”
เขาลุกขึ้นเดินไปทางหลังตำหนักใหญ่ เยี่ยนตี๋ตามอยู่เบื้องหลังเขา
พวกเยี่ยนจ้าวเกอส่งศิษย์อาจารย์ทั้งสองจนลับสายตาไป รู้ดีว่านั่นเป็นการไปเชื่อมต่อเสื้อคลุมนภากับมหาค่ายกลกว่างเฉิง
ในตำหนักใหญ่เงียบสงบลง ไม่มีผู้ใดพูดคุยอีกแม้สักคน
สายตาของผู้อาวุโสเหอและผู้อาวุโสจาง วาดผ่านสือเถี่ยและฟางจุ่นสองคน สุดท้ายหยุดอยู่บนร่างฟางจุ่น
————————-