ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 324 มวลดอกไม้หอมรวมตัวกัน
เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอได้รับกระแสจิตของเซี่ยโยวฉาน สีหน้าอารมณ์ของเขายังคงไม่สะทกสะท้าน ทว่าแววตาทอประกายวับวาบเล็กน้อย
ตามกาลเวลาที่พ้นผ่านไม่หยุดหย่อน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งหกต่างทยอยมีสตรีแห่งจันทราเป็นของตัวเอง
ทว่าไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ได้ละทิ้งรากฐานที่กำลังบ่มเพาะสตรีแห่งจันทราที่มีอยู่ตอนนี้ แล้วไปหารากฐานใหม่เช่นกัน
หลักการหลักประกันสองชั้นทุกคนล้วนเข้าใจดี
เนื่องด้วยความต่างชั้นของพลังความสามารถเป็นเหตุ ระหว่างคนเก่าและคนใหม่ หากพรสวรรค์ใกล้เคียงกัน แน่นอนว่าผู้ที่เริ่มบ่มเพาะก่อนนั้นย่อมได้เปรียบ
ถึงกระนั้นคนใหม่ก็หาได้หมดโอกาสโดยสิ้นเชิงไม่ ตัวอย่างเช่นสตรีแห่งจันทราอาวุโสสองคนผ่านการต่อสู้ดุเดือดที่กำลังฝีมือสูสีกันครั้งหนึ่ง ผลคือบาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่ ต่างผลาญกำลังเกินไปมาก
แม้จะตัดสินผู้ชนะออกมาได้ ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ยากจะทนประลองอีกครั้งเช่นกัน ฉะนั้นคนใหม่ก็มีโอกาสแล้ว
หรือว่าใช้คนใหม่ค่อยๆ ผลาญกำลังสตรีแห่งจันทราของอีกฝ่ายให้ไม่เหลือ ครั้นแล้วก็จะสร้างโอกาสให้กับศิษย์สำนักเดียวกัน
เพียงแต่คนใหม่ ถึงอย่างไรก็เริ่มต้นช้าไป การที่อยากจะให้ได้เรื่องได้ราว ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายโดยแท้
จำนวนผู้คนในโลกแปดพิภพแม้จะมากมายมหาศาล ทว่าสตรีแห่งจันทรากลับมีเพียงน้อยนิด หนำซ้ำบางส่วนในนั้นอาจจะถูกฝังมิด ไม่ถูกค้นพบตั้งแต่แรกจนท้ายที่สุด หรือสิ้นเปลืองเวลาไปเปล่าๆ จนผ่านช่วงอายุทองในการเริ่มต้นฝึกยุทธ์ไปแล้ว ยามเมื่อถูกค้นพบ เลือดลมกลับเริ่มเสื่อมสลายลงไปแล้ว
ในด้านพรสวรรค์และศักยภาพ ระหว่างสตรีแห่งจันทราด้วยกันเอง ก็มักจะมีความแตกต่างอย่างมากเช่นกัน
เซี่ยโยวฉานเจาะจงเตือนเป็นพิเศษเช่นนี้ นั่นอธิบายได้ว่าสตรีจันทราคนใหม่ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ จะต้องมีส่วนที่เหนือกว่าคนอื่นเป็นแน่
‘จะว่าไปแล้ว ปฐพีพิภพก็ว่าไปอย่าง แต่นภาพิภพก็โดนสาปแช่งเช่นกันรึ?’ เยี่ยนจ้าวเกอเบะปากเล็กน้อย
ตอนนี้สำนักเราก็ได้สตรีแห่งจันทราสองคนเหมือนกัน…อืม นับว่าสองคนก่อนแล้วกัน ผลสุดท้ายนึกไม่ถึงว่าจะไม่มีสักคนที่มีฐานะเดิมนภาพิภพ
เยี่ยนจ้าวเกอใคร่ครวญคำนวณในใจ ‘ครานี้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ปล่อยนางออกมา เป็นเพราะมั่นใจว่าพลังความสามารถของนางอย่างน้อยสามารถเป็นตัวเสริมให้กับเมิ่งหว่านได้อย่างนั้นหรือ?’
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นไม่ว่าจะด้วยสาเหตุที่เหมือนกันหรือแตกต่างกัน ก็เป็นไปได้ที่จะจัดการทำนองเดียวกัน เฉกเช่นเยี่ยนจ้าวเกอกับสำนักเขากว่างเฉิงที่ยั้งเฟิงอวิ๋นเซิงเอาไว้ไม่ให้เข้าร่วมประลองจันทราการครั้งที่สี่
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด ก็คือสตรีแห่งจันทราของหอคลื่นโหม ฝานชิว
ยามเมื่อตอนการประลองแห่งจันทราครั้งที่สี่เกิดพลันปรากฏแนวทาง เข้าร่วมการประลองเป็นหนแรก ก็คว้าชัยได้สำเร็จ จนได้รับมงกุฎแห่งจันทรา
ถึงแม้ว่า ในนั้นจะมีคู่ต่อสู้ที่หนักหนาที่สุด กระนั้นเนื่องจากเมิ่งหว่านแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คิดใคร่ครวญระยะยาว จึงส่งผลกระทบต่อการสำแดงฝีมือขณะจวนตัว
ทว่านอกจากเมิ่งหว่านแล้ว ตำหนักอัสนีสวรรค์ สำนักเขาไร้พรมแดน และเมืองทะเลมรกตต่างก็มีคนในสำนักเข้าร่วมเหมือนกัน ล้วนเป็นสตรีแห่งจันทราที่ผ่านประสบการณ์มาสามหนแล้ว
เฉินซู่ถิง ศิษย์เมืองทะเลมรกตคือผู้ชนะในการประลองแห่งจันทราครั้งที่สอง เก็บมงกุฎแห่งจันทราเอาไว้หนึ่งปี พลังความสามารถคล้ายว่าล้ำเหนือคนในระดับเดียวอยู่กลายๆ และใช้เมิ่งหว่านเป็นเป้าหมายและศัตรูสมมุติตลอดเวลา
ทว่าท้ายที่สุด กลับเป็นฝานชิวแสดงความสามารถอันโดดเด่นออกมา ต่อสู้กับเมิ่งหว่าน ได้รับชัยชนะในที่สุด
เยี่ยนจ้าวเกอเคยชมร่องรอยกาลเวลาที่ผู้อาวุโสในสำนักส่งกลับมา ฝานชิวเป็นผู้สืบทอดหอคลื่นโหม เข้าสำนักมาไม่ใช่แค่ปีสองปี
หอคลื่นโหมบ่มเพาะฝานชิว ก่อนหน้าการประลองแห่งจันทรากายครั้งแรกนานแล้วเสียอีก กลับยั้งนางเอาไว้ต่อเนื่องถึงสามวาระ จนกระทั่งหลังจากค่อนข้างมีความมั่นใจกับพลังความสามารถของนาง ถึงได้ปล่อยออกมา ผลลัพธ์คือปกติไม่โดดเด่น พริบตาเดียวกลับน่าตื่นตะลึง
ชายหนุ่มพลางสืบเท้า พลางครุ่นคิด ‘เริ่มต้นเร็ว มีความได้เปรียบจริงๆ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ค้นพบความลับของมงกุฎแห่งจันทราเป็นคนแรก เริ่มวางแผนเป็นคนแรก เริ่มเสาะหาเป็นคนแรก เริ่มบ่มเพาะเป็นคนแรก ในด้านนี้ โดยรวมแล้วนำหน้าคนอื่นๆ อย่างแท้จริง’
นับเฟิงอวิ๋นเซิงที่เป็นคนแรกเข้าไปด้วย สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏสตรีแห่งจันทราที่พลังความสามารถไม่ธรรมดาแล้วสามคน
ประตูสำนักของหอคลื่นโหมอยู่บนเกาะหนึ่งกลางทะเลสาบ
บนหมู่เกาะมีทัศนียภาพงดงาม ระคนอยู่ด้วยความสวยงามแปลกตาและความเงียบสงบของหมู่บ้านริมน้ำหลายส่วน มองไม่เห็นลักษณะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีวรยุทธ์อันสง่าผ่าเผย
หอเล็กๆ ตั้งอยู่บนเกาะ ตรงนั้นก็คือที่ตั้งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีวรยุทธ์ที่ปกครองบึงพิภพ หอคลื่นโหม
เยี่ยนจ้าวเกอทอดสายตามองไปโดยรอบ เกาะหลักเกาะนี้เป็นเพียงเขตพื้นที่ศูนย์กลางของหอคลื่นโหม
รอบๆ เกาะกลางทะเลสาบเกาะนี้ ยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งแต่ละเกาะก็มีสิ่งปลูกสร้างเป็นของตนเอง
ศิษย์หอคลื่นโหม กับสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนหนึ่งในสำนัก กระจายแบ่งอยู่บนเกาะน้อยเหล่านี้
ทั้งหมดทั้งมวลดูแล้วสงบเงียบอีกทั้งยังงดงามประณีต ทำให้ผู้คนไม่อาจใจแข็งพอที่จะทำลายบรรยากาศและท่วงทำนองของที่นี่ได้
ทว่า หากคิดว่านี่เปราะบางอย่างมาก เช่นนั้นก็ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงแล้ว โดยรอบทั้งทะเลสาบใหญ่แห่งนี้ ล้วนคุ้มกันอยู่ด้วยมหาค่ายกลคุ้มกันสำนักของหอคลื่นโหม
ตอนนี้ดูเหมือนว่าสงบเงียบ แต่เมื่อมหาค่ายกลโคจรถึงที่สุดขึ้นมาแล้ว อาศัยพลังฟ้าดินอันมหาศาล จะมีพลังอำนาจน่าตื่นตะลึงราวกับจะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
ด้วยการนำทางของพวกเซี่ยโยวฉาน คณะของเยี่ยนจ้าวเกอก็ขึ้นมาบนเกาะหลัก มาถึงเบื้องหน้าหอนั้นพร้อมกัน
หอที่มองจากภายนอกแล้วมีขนาดเล็กและงดงามละเอียดลออ ภายในกลับมีสถานที่วิเศษอื่น มิติคล้ายกับถูกขยายออกไปบ้าง ถึงแม้จะมีคนจำนวนมากเข้าไปภายใน กระนั้นกลับไม่รู้สึกว่าเบียดเสียดคับแคบเลย
เยี่ยนจ้าวเกอกวาดสายตาผ่าน ก็เห็นว่าคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ตำหนักอัสนีสวรรค์ สำนักเขาไร้พรมแดน และเมืองทะเลมรกตต่างก็เดินทางมาถึงแล้ว
“เหนียนเล่ยแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ หลิงฮุ่ยแห่งสำนักเขาไร้พรมแดน เฉินซู่ถิงแห่งเมืองทะเลมรกต ส่วนสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มี…” เยี่ยนจ้าวเกอมองออกและจำได้ทีละคนๆ สายตาหยุดอยู่ที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตรงนั้นสักครู่
เทียบกับสองปีกว่าๆ ก่อนหน้านี้ รูปลักษณ์ของเมิ่งหว่านไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไร ยังคงมีองคาพยพทั้งห้าที่งามพริ้งไม่เว้นวาง และดวงตาอันราวกับกวางน้อยคู่หนึ่ง ในความปราดเปรียวปะปนอยู่ด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว กลับยังนุ่มนวลชวนให้ผู้คนเอ็นดู
กระนั้น เยี่ยนจ้าวเกอที่ไม่เคยคบค้าสมาคมกับนางด้วยตัวเองกลับกระจ่างชัด ว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่คนก่อเรื่อง
หากนับอย่างเข้มงวด การประมือผ่านจิตวิญญาณกระดูกมังกรน้ำแข็งคราวก่อน ทั้งสองไม่ได้พบกันอย่างแท้จริง
ปัจจุบันประจันหน้ากันเช่นนี้ ยังคงเป็นครั้งแรก
ครรลองสายตาของฝูงชนมองมาพร้อมกัน ตามกลุ่มของเยี่ยนจ้าวเกอเดินเข้ามา สายตาเมิ่งหว่านเฉียดผ่านร่างของเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิง สุดท้ายหยุดอยู่บนร่างเฟิงอวิ๋นเซิง จากนั้นก็กะพริบตาปริบๆ
สีหน้าเฟิงอวิ๋นเซิงไม่แปรเปลี่ยน หลังจากเข้ามาแล้ว สายตาก็มองไปทางเมิ่งหว่านเช่นกัน
ถึงแม้นี่จะเป็นการประลองแห่งจันทรา แต่เมื่อกลุ่มคนของสำนักเขากว่างเฉิงมาถึง ความสนใจของฝูงชนกลับอยู่ที่ร่างของเยี่ยนจ้าวเกอมากกว่า
ชายหนุ่มถูกสายตาฝูงชนมุงมอง กลับหน้าตาเฉยไม่สะทกสะท้าน สำรวจคนอื่นๆ ต่อไป
ครรลองสายตาของเขาย้ายจากร่างเมิ่งหว่าน ตกไปบนร่างของสาวน้อยข้างกายนางคนหนึ่ง
อายุอานามของอีกฝ่ายยังน้อยกว่าซือคงจิงอยู่บ้าง แม้เสื้อผ้าบนตัวจะเดินแถบสีทองอร่ามราวกับแสงตะวัน ทว่าทำให้คนที่เห็นกลับบังเกิดความเย็นยะเยือกในใจ
ถ้าหากพูดว่าซือคงจิงเย็นเยียบล่ะก็ เช่นนั้นสาวน้อยผู้นี้ก็คงเย็นยะเยือกเป็นน้ำแข็ง
รูปลักษณ์งามเพริศเป็นปกติ ทว่าพอยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนดั่งเช่นภูเขาน้ำแข็งตั้งตระหง่านอย่างไรอย่างนั้น
“สตรีแห่งจันทราคนที่สามของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ อวิ๋นซิ่วชิง…” ระหว่างทางเดินมาที่นี่ เยี่ยนจ้าวเกอได้รู้จักชื่อของอีกฝ่ายจากปากของเซี่ยโยวฉานแล้ว
แม้จะไม่แน่ใจถึงอายุและระดับพลังฝึกปรือที่แน่ชัด แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นปรมาจารย์เยาว์วัยอีกคนหนึ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอเพ่งพินิจอวิ๋นซิ่วชิงแวบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็ตกไปยังฝ่ายเจ้าภาพ ตรงนั้นมีสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ อายุใกล้เคียงกับเมิ่งหว่าน
นี่ก็คือสตรีแห่งจันทราของหอคลื่นโหม ฝานชิว
มองเพียงแค่องคาพยพทั้งห้า ฝานชิวมีรูปโฉมระดับกลางค่อนสูง หากแต่ทั่วทั้งกายปรากฏพลังชีวิตแผ่กระจายโดยรอบ ครั้นนางแลเห็นสายตาเยี่ยนจ้าวเกอมองมา ก็อดระบายยิ้มไม่ได้
รอยยิ้มนี้ เยี่ยนจ้าวเกอถึงได้ค้นพบ ว่านางมีฟันกระต่ายคู่หนึ่งที่ไม่ค่อยเด่นชัดนัก แต่ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียด กลับจะยิ่งทำให้นางดูคล่องแคล่วร่าเริงเสียด้วยซ้ำไป
‘ศิษย์พี่เยี่ยนกระมัง? ที่ทะเลสาบปิดนภาคราวก่อน โชคดีที่ได้ท่านช่วยเหยาเหยากับศิษย์พี่หร่วนเอาไว้’
เสียงกระแสจิตของอีกฝ่ายดังขึ้นข้างหูเยี่ยนจ้าวเกอ
……………..