ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 340 โชค
ในช่วงเวลาอันยาวนาน ไม่รู้ว่าเตากลืนดินดูดกลืนไอเย็นของเส้นลมปราณแกนน้ำแข็งไปมากน้อยเพียงใดแล้ว
ค่ายกลที่โคจรและแสงสีแดงเพลิงที่ส่องสว่าง มืดสลัวลงไปมากแล้ว
ธารแสงสีฟ้าเบื้องหน้าเยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่ บัดนี้ก็ปรากฏความเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้วเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
ระดับการเปลี่ยนแปลงน้อยนิดอย่างยิ่ง ทว่ากลับสามารถทำให้รู้สึกได้จริงๆ
เยี่ยนจ้าวเกอมองดูภาพฉากนี้ รำพึงรำพันกันตัวเองว่า “ระลอกต่อไปนี้ ความเคลื่อนไหวจะค่อนข้างรุนแรง หวังว่าแถวนี้จะไม่มีคนกระมัง แต่ความเสี่ยงส่วนนี้จำเป็นต้องแลก”
เขานำกระสวยเบิกดินแดนออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็เข้าไปด้านในพร้อมกับอาหู่ แล้วขับเคลื่อนกระสวยเบิกดินแดนทะลุผ่านชั้นน้ำแข็งและดินเยือกแข็ง กลับขึ้นมายังผิวดิน
หลังจากกลับขึ้นมาบนผิวดินได้ไม่นาน ทั้งสองก็รู้สึกได้ทันทีว่าพื้นดินใต้เท้ากำลังสั่นสะเทือนไม่หยุด
ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปมอง บนทุ่งหิมะของแดนเหนือคล้ายกับกำลังเกิดแผ่นดินใหญ่เฉพาะส่วน
ชั่วขณะถัดมา ผิวดินก็แตกร้าวเป็นแนวยาวอย่างรุนแรง!
ไม่ใช่เพียงแค่ผิวดินแตกร้าวเท่านั้น ดินหินเป็นแผ่นๆ กับก้อนน้ำแข็งล้วนกำลังถล่มลงมาพร้อมกัน ใต้ดินคล้ายกับปรากฏโพรงขนาดมหึมาออกมาโพรงหนึ่ง
หลุมใหญ่ที่ลึกจนไม่เห็นก้นบึ้งปรากฏอยู่บนทุ่งหิมะหลุมหนึ่ง กินพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล อีกทั้งด้านล่างยังส่งทอดแรงสั่นสะเทือนอย่างหนักออกมาเป็นพักๆ อีกด้วย
เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ยืนอยู่ริมขอบหลุมยักษ์ มองลงไปเบื้องล่าง เห็นเพียงความมืดมิดไปทั่วบริเวณเท่านั้น
ครานี้ไม่จำเป็นต้องใช้กระสวยเบิกดินแดน ทั้งสองกระโดดลงไปด้านล่างจากริมหลุมโดยตรง ตลอดทางลงไปด้านล่างล้วนมีแต่มืดมน จนถึงก้นแล้วถึงเห็นมีลำแสงสีฟ้าน้ำแข็งทอประกายอยู่รำไร
“คุณชายขอรับ สำเร็จแล้วหรือ?” อาหู่พลางเดินพลางเอ่ยถาม
ชายหนุมมองไปโดยรอบ “เมื่อครู่เป็นผลจากการที่แก่นน้ำแข็งใยดินถูกแตะต้องในที่สุด แต่ว่า ต้องใช้การเปลี่ยนแปลงของแก่นน้ำแข็งใยดินของแห่งนี้ ส่งผลกระทบไปยังแก่นเพลิงใยดินของแดนใต้ที่อยู่ไกลออกไป และยังจำเป็นต้องใช้เวลาต่อไปอีกระยะหนึ่ง”
เมื่อถึงภายในโพรงน้ำแข็งที่ก้นหลุม ก็เห็นว่าค่ายกลยังคงกำลังโคจรอยู่เงียบๆ และแก่นน้ำแข็งใยดินที่ราวกับไหลมาบรรจบกับแสงสีฟ้าก็ยังคงรินไหลเงียบเชียบ
เตากลืนดินยังคงกำลังดูดกลืนไอเย็นหมอกน้ำแข็ง และแก่นน้ำแข็งใยดินเข้าไปอย่างมหาศาล
เยี่ยนจ้าวเกอแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า แลดูลำแสงที่ตกลงมา ราวกับกำลังมองปากบ่อจากก้นบ่อลึกอย่างไรอย่างนั้น
“ปากหลุมใหญ่จนเกินไปแล้ว ยากที่จะถมกลบอำพราง ไม่เช่นนั้นแล้วหากดินหินตกลงมา อาจจะส่งผลต่อค่ายกลในนี้” เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจด้วยความเสียดาย “หลุมใหญ่ขนาดนี้อยู่บนทุ่งหิมะสะดุดตาเกินไป โชคดีที่น้อยคนจะมายังสุดขอบแดนเหนือ หวังว่าจะไม่มีคนเข้ามาใกล้ที่นี่กระมัง”
“ความเสี่ยงบางอย่าง ไม่แลกไม่ได้” เยี่ยนจ้าวเกอมายังข้างๆ เตากลืนดิน แล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง อาหู่เองก็มานั่งอยู่ข้างๆ เช่นกัน
ทั้งสองคนมองดูใยดินแกนน้ำแข็งกับเตากลืนดินที่อยู่ตรงหน้าด้วยความอดทน
หากแต่เยี่ยนจ้าวเกอค้นพบว่าโชคของตนเอง บางครั้งก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น
ภายในลูกตาดำขวา ฉายประกายแสงอัสนีสีม่วงแกมน้ำเงินเล็กน้อย เยี่ยนจ้าวเกอแหงนหน้าขึ้นมอง บริเวณสุดครรลองสายตาของเขามองไม่เห็นอะไร ทว่าด้วยการช่วยเหลือของดวงตาราชันสายฟ้า ก็ทำให้รู้ได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้อยู่รางๆ
สีหน้าอาหู่พลันเคร่งขรึมขึ้นมา “คุณชาย มีคนมาหรือขอรับ?”
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “ไม่ผิด อีกทั้งยังมีระดับพลังฝึกปรือไม่ต่ำต้อย อย่างน้อยๆ ก็น่าจะเป็นจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณคนหนึ่ง”
ร่างของอีกฝ่ายค่อยๆ ปรากฏอยู่ในครรลองสายตาเยี่ยนจ้าวเกอ
เช่นเดียวกันกับผู้มาเยือน ก็สามารถเห็นรูปลักษณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอได้อย่างแจ่มชัด
ทีแรกอีกฝ่ายยังคงเพียงแค่สงสัย ทว่ารอจนเห็นรูปร่างหน้าตาเยี่ยนจ้าวเกอจนชัดแล้ว สีหน้าของเขาก็พลันดุร้ายขึ้นมาอยู่บ้าง
ลมพายุสีดำอันน่าพรั่นพรึงกำลังโอบล้อมอยู่ทั่วร่างของเขา แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ไปทั่วทั้งโพรงน้ำแข็ง
“ครั้งสำนักเขานิมิตทมิฬประสบกับการล่มสลาย กับสงครามเดือดกว่างเฉิงก่อนหน้านี้ ทั้งสองคราที่ผ่านมาก็น่าจะตายกันไปหมดแล้ว บัดนี้ยังมียอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณที่ยังมีชีวิตแข็งแรงอยู่หรือนี่?” แววตาเยี่ยนจ้าวเกอทอประกายเล็กน้อย เมื่อแยกแยะภูมิหลังของอีกฝ่ายได้ “ดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่เหลือรอดที่พึ่งพาสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กลุ่มนั้น มีบางคนไม่ได้มุ่งหน้าไปเขากว่างเฉิงเพื่อร่วมสงคราม นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอกันที่แดนเหนือ”
สีหน้าท่าทางเยี่ยนจ้าวเกอสุขุมเยือกเย็น คอยท่าอยู่ข้างเตากลืนดินไม่ขยับเขยื้อน มองจ้องผู้มาเยือนเงียบๆ
สายตาอีกฝ่ายเพ่งมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างเยียบเย็นเช่นเดียวกัน ทว่าหลังจากสบตากันพักหนึ่งแล้ว พายุสีดำบนเรือนกายพลันสงบลง จากนั้นคนก็ถอยร่นออกไป
สีหน้าอารมณ์อาหู่กลับไม่เห็นความผ่อนคลายแต่อย่างใด “คุณชาย เขาจะหาคนอื่นมาช่วยหรือไม่?”
ปัจจุบันชื่อเสียงของเยี่ยนจ้าวเกอก็นับว่าลือเลื่องเช่นกัน ก่อนอื่นไม่พูดถึงพลังความสามารถที่แกร่งกล้า ส่วนที่สำคัญก็คือ ผู้คนใต้หล้าต่างรู้ดีว่าเขามีเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่กับตัว มีพลังที่โหดเหี้ยมอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าผู้มาเยือนจะเป็นยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ชั้นที่สี่ ขั้นรูปญาณระยะต้น กระนั้นก็ไม่มีความมั่นใจที่จะแบกการบุกต่อสู้กับเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าได้เช่นกัน
อีกฝ่ายรับรู้ถึงความยากจึงถอยไปย่อมดีที่สุด หากแต่ด้วยความแค้นและบุญคุณระหว่างสำนักเขากว่างเฉิงกับสำนักเขานิมิตทมิฬ ทำให้ยากจะเชื่อว่าจะยอมวางมือลงด้วยดีเช่นนี้
สุดขอบแดนเหนือในขณะนี้ มีจอมยุทธ์ตำหนักอัสนีสวรรค์จำนวนไม่น้อยอยู่
หากจอมยุทธ์สำนักเขานิมิตทมิฬรู้เบื้องลึกเบื้องหลัง จอมยุทธ์ตำหนักอัสนีสวรรค์เหล่านี้ต่างสามารถเป็นกองหนุนและผู้ช่วยได้
เยี่ยนจ้าวเกอมองเตากลืนดินแวบหนึ่ง “ยังต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง…”
“ระหว่างสำนักเขานิมิตทมิฬกับตำหนักอัสนีสวรรค์ไม่ใช่สำนักเดียวกัน หากต้องการติดต่อสื่อสาร ถือเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง หากเขาไปขอกำลังสนับสนุน เดินทางไปกลับ ก็น่าจะต้องใช้เวลานานถึงจะถูก อย่างไรเสียในตอนที่คนของตำหนักอัสนีสวรรค์ล้อมเข้ามาทางฝั่งนี้ พวกเราก็เร่งหนีไปนานแล้ว”
ชายหนุ่มนั่งอยู่กับพื้นไม่ได้ไหวติง เอื้อนเอ่ยด้วยความลังเลว่า “อาหู่ ข้าจะอยู่ดูตรงนี้ต่อไป เจ้าไประวังภัยรอบนอกสักหน่อย”
อาหู่ตอบรับแล้วจึงออกไป ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง นำเครื่องหยกที่สลัวลงบ้างแล้วออกมาวางไว้บนฝ่ามือ
…
ยอดฝีมือมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณของตำหนักอัสนีสวรรค์คนหนึ่ง พาจอมยุทธ์ของสำนักจำนวนมาก ห้อตะบึงมุ่งหน้าไปอย่างว่องไว
หลินโจวอยู่ข้างกายเขา
ชายวัยกลางที่มีพลังฝึกปรือระดับมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณคนนี้มองหลินโจวด้วยความไม่พอใจอยู่บ้าง “เจ้าควรจะหยุดอยู่ที่ร่องรอยนั่นมากกว่า ข้ารู้ว่าการตายของผู้อาวุโสหลินทำให้เจ้าเกลียดเขากว่างเฉิงเข้ากระดูก แต่สำหรับสำนักเราแล้ว ร่องรอยยังคงสำคัญยิ่งกว่า”
หลินโจวเอ่ยเสียงเรียบ “ตั้งพลังเฝ้าป้องกันที่ร่องรอยนั่นไว้ก็เพียงพอแล้ว คนที่ต้องการจะเปิดร่องรอย สุดท้ายแล้วก็เป็นคนของสำนักเขากว่างเฉิง ผู้อาวุโสเจิ้งไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลนัก ตอนนี้ข้าใจเย็นอย่างยิ่ง”
ผู้อาวุโสเจิแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง ก่อนจะไม่พูดอะไรต่อไปอีก สายตามองไปทางผู้อาวุโสที่นำอยู่หน้าสุด “คนของสำนักเขานิมิตทมิฬน่าจะเชื่อใจได้ แต่เยี่ยนจ้าวเกอนั่น หากไม่ไปที่ร่องรอยของจอมยุทธ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แล้วจะดั้นด้นไปที่อื่นทำอะไร?”
หลินโจวไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงแค่เร่งเดินทางให้เร็วขึ้นอีก
มีบางเรื่องที่เขาหมดทางอธิบายให้คนอื่นเข้าใจกระจ่างชัดได้ ยกตัวอย่างเช่น เขามักจะรู้สึกว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีบางอย่างผิดปกติ
ถึงแม้จะไม่เหมือนเช่นสถานการณ์พิเศษของเขาเอง ทว่าก็ต่างจากคนทั่วไปเช่นกัน เพียงแต่รายละเอียดในเรื่องนั้น เหมือนกับยลดอกไม้ในหมอก ทำให้มองไม่ชัดเจน
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มาด้วยตัวเองสักครั้ง หลินโจวก็วางใจไม่ลงตั้งต้นจนจบ
ผู้อาวุโสเจิ้งซั่วผู้จงรักภักดีของสำนักเขานิมิตทมิฬที่นำทางอยู่ด้านหน้า มีสีหน้าอึมครึมเช่นเดียวกัน
เขาไม่ได้มีความสนิทสนมอะไรกับตำหนักอัสนีสวรรค์ ทว่าศัตรูของศัตรูก็คือมิตร
ระหว่างสำนักเขานิมิตทมิฬกับสำนักเขากว่างเฉิง แม้แต่คำว่า ‘ความแค้นหยั่งลึกดุจสมุทร’ ก็ไม่พอให้บรรยายความแค้นและบุญคุณในนั้นแล้ว
เป็นเพราะก่อนหน้านี้เจิ้งซั่วเข้าฌาน จึงไม่สามารถรีบไปร่วมสงครามกว่างเฉิงได้ทัน การที่ได้เห็นสำนักเขากว่างเฉิงทำลายภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตจนสูญสิ้น และต้านทานสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์ได้ นั่นทำให้เจิ้งซั่วรู้สึกเพียงขุ่นมัวไม่อาจปล่อยวาง
เขาปรารถนาเพียงชีวิตนี้ได้เห็นวันที่สำนักเขากว่างเฉิงดับสูญ
ถ้าหากไม่อาจได้เห็น เช่นนั้นเมื่อมีโอกาสทำลายคนรุ่นเยาว์ที่ล้ำเลิศที่สุดของเขากว่างเฉิง เขาก็นอนตายตาหลับแล้ว
…………….