ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 412 คนที่อยากฆ่าที่สุด
อิ่นหลิวหัวมองอาวุธวิญญาณ กระบี่วิญญาณมังกรมรกตที่อยู่บนมืออิงหลงถู รู้สึกอิจฉาจนมิอาจบรรยาย
นางสลัดความคิดของตนเองทิ้ง แล้วมองอิงหลงถู จากนั้นก็มองเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยหน้าตาปกติ สายตาซับซ้อนเล็กน้อย
‘ได้ยินมาว่าคนผู้นี้…ศิษย์พี่อิงผู้นี้เป็นคนที่ศิษย์พี่เยี่ยนเจอด้านนอก แล้วชักนำเข้าสำนักเช่นกัน’
‘ศิษย์พี่เฟิงเองก็เป็นเช่นนั้น…มิน่าล่ะพวกเขาถึงได้สนิทกับศิษย์พี่เยี่ยนมาก’
อิ่นหลิวหัวเบะปาก นิ่งเงียบไม่พูดจา
สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอจับอยู่บนดาบยาวสีดำในมือเฟิงอวิ๋นเซิง
นั่นเป็นอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่ง ในตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอเจอเฟิงอวิ๋นเซิงเป็นครั้งแรก ดาบยาวสีดำเล่มนี้ก็อยู่กับตัวนางอยู่แล้ว เป็นอาวุธติดตัวที่นางได้รับมาตอนยังอยู่ที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
ในตอนนั้นมันเป็นอาวุธวิเศษระดับล่างชิ้นหนึ่ง
สำหรับจอมยุทธ์ระดับหลอมกาย หรือจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ระยะต้น ย่อมเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยม
แต่ว่าหลังจากพลังฝึกปรือของเฟิงอวิ๋นเซิงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามเหตุผลก็ควรจะเลิกใช้มันได้แล้ว
กระนั้นดาบยาวสีดำเล่มนี้ก็ยังเป็นอาวุธติดตัวของเฟิงอวิ๋นเซิง
เยี่ยนจ้าวเกอสังเกตเห็นความพิเศษของดาบเล่มนี้มานานแล้ว เนื่องจากดาบสีดำเล่มนี้เลื่อนระดับพร้อมกับเฟิงอวิ๋นเซิง ปัจจุบันมันกลายเป็นอาวุธวิเศษระดับกลางแล้วเช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอเชื่อว่า หากเฟิงอวิ๋นเซิงเลื่อนเป็นปรมาจารย์ขั้นเคียงนภา ดาบเล่มนี้อย่างมากจะต้องเลื่อนเป็นอาวุธวิเศษชั้นยอดแน่
การค้นพบนี้ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอเกิดความสนใจ อาวุธที่อยู่ในมหาอำนาจแปดพิภพในปัจจุบัน ของที่มีลักษณะพิเศษคล้ายกันกับมัน ตามที่เยี่ยนจ้าวเกอทราบมีเพียงชิ้นเดียว
ซึ่งก็คือกระบอกไม้ไผ่สีเขียวขี้ม้าที่เยี่ยนจ้าวเกอสร้างขึ้นด้วยตัวเอง แต่ว่าของวิเศษชิ้นนี้มิอาจใช้ระดับของอาวุธวิญญาณ หรืออาวุธวิเศษไปวัดได้
เฟิงอวิ๋นเซิงไม่เข้าใจเช่นกัน ดาบเล่มนี้นางเป็นคนเลือกจากคลังอาวุธของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเอง ตอนนั้นนางเพียงรู้สึกว่าจับถนัดมือ มีอานุภาพโดดเด่นท่ามกลางอาวุธวิเศษชั้นล่างด้วยกัน แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีความพิเศษเช่นนี้
แต่ว่าอาวุธถนัดมือสามารถร่วมทางกับตนเอง และเติบโตไปพร้อมกันได้ เฟิงอวิ๋นเซิงย่อมดีใจ จึงชื่นชอบดาบสีดำเล่มนี้มากกว่าเดิม
นางมองกระบี่วิญญาณมังกรมรกตที่อยู่ในมืออิงหลงถู รู้สึกใจลอยเล็กน้อย ครู่ต่อมานางก็พลันเก็บดาบ
อิงหลงถูกับอิ่นหลิวหัวต่างคาดไม่ถึง ทุกครั้งที่เฟิงอวิ่นเซิงยืนประคองดาบ ล้วนใช้เวลานานแสนนาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดล้วนขัดขวางการฝึกของนางไม่ได้
เยี่ยนจ้าวเกอมองมา “เป็นอะไรไปหรือ”
เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าว “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้ามีความคิดบางอย่างต่อวิเคราะห์ด้วยตนเองสักหน่อย”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพราะข้ามอบอาวุธวิญญาณ กระบี่วิญญาณมังกรมรกตให้หลงเอ๋อร์หรือ หรือว่าเจ้าก็อยากได้อาวุธวิญญาณเช่นกัน แต่บอกไว้ก่อนนะว่าข้าไม่มีดาบระดับอาวุธวิญญาณเลย”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” เฟิงอวิ๋นเซิงส่านยศีรษะ “เพียงแต่ที่ท่านพูดถึงกระบี่วิญญาณมังกรมรกตเมื่อครู่ กระทบจิตใจข้าอยู่บ้าง”
เขาค่อยๆ เข้าใจนาง สายตาจริงจังขึ้น “เจ้าอยากจะออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านนอก เพื่อใช้การต่อสู้บ่มเพาะดาบเหมือนศิษย์น้องซือคงหรือ”
เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างเรียบเฉย “ข้าทราบดีว่าในฐานะสตรีจันทรา ทุกคนล้วนจับตามองข้า ถ้าหากเดินทางอยู่ด้านนอกโดยไม่มีการคุ้มกันที่มากพอ ย่อมต้องเจอกับการเล่นงานของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์”
“หากพลาดพลั้งขึ้นมา ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องความเป็นความตายเท่านั้น ยังกระทบถึงสถานการณ์ใหญ่ของสำนักด้วย”
สายตาของเฟิงอวิ๋นเซิงมองออกไปไกล “แต่ว่าวิธีการฝึกฝนเช่นการฝึกในสำนักไม่เหมาะกับข้าจริงๆ ข้ารู้สึกได้ว่าตั้งแต่การทดสอบแห่งจันทราเมื่อครั้งที่แล้วเป็นต้นมา การพัฒนาของข้าช้าลง การฝึกฝนยิ่งมายิ่งเจอคอขวดได้ง่าย”
นางเยาะเย้ยตัวเอง “หากลองยกตัวอย่างที่ไม่ค่อยเหมาะนัก ข้าคงเหมือนกับดาบหรือกระบี่ หินขัดดาบไม่อาจทำให้ข้าคมไปมากกว่านี้ได้แล้ว ข้าจำเป็นต้องปะทะกับอาวุธชิ้นอื่น หรือไม่ก็เลือดของอีกฝ่าย”
เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจเบาๆ “มิใช่เช่นนั้นหรอก เพราะเจ้ากดดันตัวเองมากไป ตั้งมาตรฐานสูงเกินไป”
เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้กล่าวอะไร
อิ่นหลิวหัวมักกลัวความลำบากในการฝึกฝน แต่ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอหรือเฟิงอวิ๋นเซิงล้วนไม่ดูถูกความคิดของนาง หรือรู้สึกผิดหวัง
นั่นเป็นเพราะว่า การใช้ระดับการฝึกฝนของเฟิงอวิ๋นเซิงกับคนอื่น ไม่สมเหตุสมผลนัก
ที่คนอื่นฝึกฝนโดยใช้ระดับการฝึกฝนของเฟิงอวิ๋นเซิงไม่ได้ มิใช่หมายความว่าพวกเขาทนลำบากไม่ได้ และจิตใจไม่แน่วแน่พอ หรือไม่มีความอดทนมากพอ แต่เป็นเพราะว่ายากเย็นเกินไป
ขีดจำกัดที่เกินความลำบากไปแล้ว ในบางระดับบอกว่าทำไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ หากทำได้ย่อมทำให้ทุกคนตกใจว่าไม่ใช่คน
ตามที่เยี่ยนจ้าวเกอทราบ หากไม่นับตนเองและคนรุ่นเดียวกัน ศิษย์ร่วมสำนักที่สามารถฝึกเช่นเดียวกับเฟิงอวิ๋นเซิงได้โดยไม่ทำให้ตัวเองพิการ หากคิดคำนวณอย่างละเอียดแล้วไม่มีเลยสักคนเดียว
คนที่ฝึกฝนในระดับใกล้เคียงกับเฟิงอวิ๋นเซิงได้มาก มีเพียงสามคนเท่านั้น ได้แก่ สวีเฟย ซือคงจิง อิงหลงถู
ดังนั้นแม้ว่าตนจะทนต่อไปได้ แต่เฟิงอวิ๋นเซิงกลับไม่อาจบังคับให้อิ่นหลิวหัวต้องทำตาม
ถ้าหากไม่ใช่เพราะอิ่นหลิวหัวเป็นสตรีจันทราเช่นกัน เฟิงอวิ๋นเซิงคงจะไม่พูดอะไรให้มากความ
หลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจสถานการณ์แล้ว ก็ได้แต่ลดผลลัพธ์ที่คาดหวังไว้ในแผนของตนเองที่มีต่ออิ่นหลิวหัวลง
แน่นอนว่ายิ่งมีอภิสิทธิ์และความสะดวกสบายเท่าใด ก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบและหน้าที่มากเท่านั้น
เมื่อผลลัพธ์ที่คาดหวังต่อตัวอิ่นหลิวหัวในแผนการลดลง ทรัพยากรและอภิสิทธิ์ที่นางจะได้จากสำนัก หรือระดับการช่วยเหลือล้วนต้องปรับปรุงให้เท่ากัน
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องดูว่าต่อจากนี้นางจะพัฒนาขึ้นได้หรือไม่
อย่างน้อย เยี่ยนจ้าวเกอก็ทราบว่า ต่อจากนี้อิ่นหลิวหัวต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบ เพราะฟู่เอินซูได้กลับมาแล้ว
ในฐานะคนบ้าฝึกฝนที่มีอายุเท่ากัน ที่ฟู่เอินซูให้ความสำคัญกับเฟิงอวิ๋นเซิงและซือคงจิงเป็นพิเศษ มิใช่ไม่มีเหตุผล
เยี่ยนจ้าวเกอแอบเบะปากไม่ให้ทุกคนรู้ตัว อาจารย์ป้าฟู่ผู้นั้นไม่ได้พูดจาดีเช่นนี้แน่ จุดมุ่งหมายที่นางยึดถือมาโดยตลอดก็คือ สิ่งที่ข้าทำไม่ได้ข้าไม่บังคับให้ลูกศิษย์ทำ แต่สิ่งที่ข้าทำได้ ลูกศิษย์ของข้าย่อมทำได้
เหมือนกับคำพูดเมื่อครั้งที่ฟู่เอินซูแนะนำอิ่นหลิวหัว ให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้จักเป็นครั้งแรกที่ทะเละตะวันออก ‘อวิ๋นเซิงมิใช่ว่ามาถึงระดับนี้ในเวลาแค่สามปีหรอกหรือ’
คำพูดนี้แฝงความคาดหวังและความเชื่อมั่นต่ออิ่นหลิวหัวในระดับเดียวกันเช่นกัน
หลักการเดียวกัน ในสายตาของนาง เฟิงอวิ๋นเซิงกัดฟันผ่านการฝึกฝนที่ยากลำบากได้ นางฟู่เอินซูก็ต้องทำได้ ซือคงจิงก็เช่นกัน
ในเมื่อมีคนทำได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งคน เช่นนี้อิ่นหลิวหัวย่อมสมควรทำได้
เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วมองอิ่นหลิวหัวแวบหนึ่ง
พูดถึงบิดาที่ไม่ค่อยมีเหตุผล ก่อนหน้านี้ได้คบหากันน้อยเกินไป สตรีนางนี้สมควรรู้สึกได้แค่ผลดีที่เกิดจากการเข้าข้างของฟู่เอินซู วันเวลาต่อจากนี้ ด้วยนิสัยของนางใช่ว่าจะลำบาก
หากผ่านไปได้ ย่อมได้รับการเปลี่ยนกระดูกผลัดขน ไม่เช่นนั้นต้องแย่แน่
ชายหนุ่มมองเฟิงอวิ๋นเซิง “การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่เจ้าพูด เหมือนกับการเดินทางของศิษย์น้องซือคงในตอนนั้น ความจริงตั้งใจหลีกเลี่ยงการคุ้มครองจากสำนัก ด้วยเหตุนี้จึงมีอันตรายมาก พูดอีกอย่างก็คือ สำนักเรารับการสูญเสียไม่ไหว”
“โดยเฉพาะหลังจากผ่านการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่ห้า เจ้าได้พิสูจน์ความสามารถของตัวเองแล้ว ในสายตาของยอดฝีมือระดับสูงจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น เจ้ามิใช่คนที่จะมีก็ได้หรือไม่มีอยู่บนโลกนี้ก็ได้อีกต่อไป และโดยเฉพาะ ในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักเรา ถ้าหากบอกว่าคนที่พวกเขาต้องการสังหารที่สุดเป็นข้า เช่นนั้นคนที่อยู่ในอันดับสองต้องเป็นเจ้าแน่”