ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 429 สายเลือดชั้นสูงสุด!
เยี่ยนจ้าวเกอที่รับรู้ถึงคลื่นพลังที่ส่งมาจากด้านนอก กะพริบตาปริบๆ
ครั้งนี้เกาฟ่างกับบัณฑิตวัยกลางคนมองพวกเยี่ยนจ้าวเกอเหมือนกับมองคนตายและคนเสียสติ
ถึงแม้เยี่ยนจ้าวเกอจะไม่ได้พูดถึง แต่พวกเขาคาดเดาได้ว่าพวกเยี่ยนจ้าวเกออาจจะล่วงเกินสำนักเมฆาโลหิตเข้าแล้ว
พวกเขาพลันรู้สึกขุ่นเคือง หากรู้ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ เหตุใดต้องกลุ้มใจด้วยว่าจะกำจัดพวกเยี่ยนจ้าวเกออย่างไร ขอแค่รายงานการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มให้สำนักเมฆาโลหิตทราบ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นประเทศฟู่หรานหรือดินแดนขนาดใหญ่รอบๆ ล้วนเป็นอาณาเขตของสำนักเมฆาโลหิตทั้งสิ้น
การหาเรื่องสำนักเมฆาโลหิตที่นี่ จะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไร
เกาฟ่างกับบัณฑิตวัยกลางคนรู้สึกยินดียิ่ง คล้ายกับเห็นจุดจบที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอสิ้นชีวิตแล้ว
แต่ในขณะที่ยินดีอยู่นั้น ทั้งสองก็รู้สึกวิตกเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาตกอยู่ในกำมือเยี่ยนจ้าวเกอ ต่อให้ชายหนุ่มถูกสำนักเมฆาโลหิตฆ่า พวกเขาก็ต้องตายไปด้วย แกว่งเท้าหาเสี้ยนแท้ๆ
บัณฑิตวัยกลางคนหันมามองเกาฟ่างแวบหนึ่ง ดวงตาเต็มไปด้วยความแค้นเคือง ‘ตาเฒ่าเจ้าไม่ตรวจสอบรายละเอียดของอีกฝ่ายให้ดีก็ลงมือ ลากข้าลงน้ำมาด้วย’
สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอยังคงผ่อนคลาย เขาหิ้วท้ายทอยของพ่านพ่านจากในอ้อมอกของเฟิงอวิ๋นเซิงมาด้านหน้า “พวกท่านดูนี่ มันนับว่าอยู่ในชั้นใด”
เกาฟ่างตอบอย่างเซื่องซึม “ปี่เซียะภูเขาถูกพูดถึงในเรื่องเล่าก่อนมหาภัยพิบัติเท่านั้น ข้าเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ดังนั้นตอนนี้จึงบอกไม่ได้ว่าเป็นชั้นใด ต้องศึกษาสักครั้งถึงจะแน่ใจ แต่ว่าตามเรื่องเล่าก่อนมหาภัยพิบัติ อย่างน้อยก็อยู่ในสามชั้นสูง”
เยี่ยนจ้าวเกอถามด้วยรอยยิ้ม “ชั้นแรกที่สูงที่สุดมีตัวอะไรบ้าง”
บัณฑิตวัยกลางคนตอบ “ชั้นแรกที่สูงที่สุด ไม่นับที่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ นับแค่สัตว์ปีศาจที่ยังมีชีวิตอยู่ มีด้วยกันห้าตัว”
“ราชสีห์วิเศษซวนหนี[1]เลือดผสม พญาปักษาชิงเหนี่ยว[2] ลูกหลานเลือดผสมของชิงหลวน[3] วานรทองเลือดบริสุทธ์ มังกรไร้เขาชิงชือหนึ่งตัว และอีกาอัคคีหนึ่งตัว”
เยี่ยนจ้าวเกอกะพริบตา “มีสัตว์จำพวกมังกรแท้ กิเลน หรือนกทองหรือไม่”
บัณฑิตวัยกลางคนตอบ “นี่กลับไม่มี ล้วนเป็นเรื่องเล่าก่อนมหาภัยพิบัติทั้งสิ้น”
ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะโยนพ่านพ่านกลับไปให้เฟิงอวิ๋นเซิง ใช้ภาษามหาอำนาจแปดพิภพกล่าวว่า “สายเลือดของเจ้าตัวขี้เกียจนี่ ในสายเลือดที่จอมยุทธ์โลกลอยน้ำเจอได้ นับว่าเป็นตัวตนชั้นสูงที่สุด”
“ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเลือดผสม แต่สัตว์ร้ายกลายพันธุ์ของที่นี่ก็มีมากว่าโลกเรา ถึงว่าเหตุใดจอมยุทธ์ธรรมดาจึงไม่ประสบผลสำเร็จ ต้องเปลี่ยนมาฝึกเส้นทางสายเลือดสัตว์ปีศาจแทน”
ระหว่างที่พูดกันอยู่ ตัวเรือนด้านนอกก็พังทลายลง ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง ฝุ่นผงตลบอบอวลไปทั่ว
มีเพียงแต่คนที่อยู่ในห้องโถงเท่านั้นที่เหมือนได้รับการปกป้องจากพลังอันไร้รูปร่าง ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
พลังปีศาจด้านนอกทะลักทลาย เกิดเป็นริ้วคลื่นกระเพื่อมเล็กน้อย
มีเสียงเย็นชาดังมา “เจ้าโจรโง่เง่า รีบออกมามอบตัว ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องเสียใจ!”
เยี่ยนจ้าวเกอหันไปมองพวกเกาฟ่าง ถามยิ้มๆ “นี่คือผู้บัญชาการทัพง้าวแดงกระมัง?”
พวกเกาฟ่างพยักหน้า “มิผิด ผู้บัญชาการทัพง้าวแดง เหลียงฮั่น ในเมืองสินธุเสถียรนี้นับเป็นยอดฝีมือที่ถูกจัดอยู่ในห้าอันดับแรก ฝึกฝนสายเลือดชั้นสูงสุดในชั้นสามกลาง สายเลือดของอินทรีทองตาสีชาด กองทัพที่อยู่ในบัญชาการของเขาส่วนใหญ่ล้วนฝึกฝนสายเลือดอินทรีทองตาสีชาดทั้งสิ้น ใช้กระบวนทัพง้าวยักษ์ปีกสีชาดได้”
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวอย่างเรียบเฉย “ผู้บัญชาการเหลียงใช่หรือไม่? ข้าว่าท่านเชิญองค์ราชาที่กำลังเข้าฌานของท่านมาจะดีกว่า สถานการณ์ในตอนนี้ท่านรับผิดชอบไม่ไหวแน่”
เสียงของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ดังมาก แต่กลับชัดเจนจนทำให้ทุกคนได้ยินอย่างแจ่มชัด
ด้านนอกห้องโถง ตัวเรือนกลายเป็นซากปรักหักพัก หลังจากฝุ่นหายไปแล้ว บุรุษวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ สวมเกราะสีแดง มีใบหน้าเคร่งขรึมผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ บุรุษสวมเกราะแดงก็เอ่ยอย่างเย็นชา “ในเมื่อดื้อดึงถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ฆ่าทันทีมิต้องไต่สวน”
พูดจบ เขาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น คิดจะฟันลงด้านล่าง เหล่าแม่ทัพซึ่งสวมเกราะดำ มือถือง้าวยักษ์สีแดงที่อยู่รอบๆ ล้วนตรียมจู่โจม
แต่ว่ามือของบุรุษสวมเกราะแดงผู้นั้นพลันชะงักกลางอากาศ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปอีกฝั่งหนึ่ง
ที่นั่น คนกลุ่มหนึ่งมิได้ถอยไปเพราะความน่าเกรงขามของกองทัพง้าวแดงเหมือนคนอื่น กลับยืนมุงดูอยู่ตรงนั้น
คนที่นำหน้าเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใส่เสื้อผ้าหรูหรา มิได้แต่งกายเหมือนคนในประเทศฟู่หรานผู้หนึ่ง
ชายหนุ่มเห็นสายตาของบุรุษสวมเกราะแดงมองมา อดยิ้มขึ้นไม่ได้ “ผู้บัญชาการเหลียงเชิญต่อเถอะ เราดีใจยิ่งที่ได้เห็นเรื่องสนุกเช่นนี้ในตอนที่มายังเมืองคั่งเหอ”
บุรุษเกราะแดงเหลี่ยงฮั่นรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เป็นมกุฎราชกุมารของประเทศจื่ออวี๋ ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน
ประเทศฟู่หรานกับประเทศจื่ออวี๋ไม่ลงรอยกันเท่าไรนัก มักเกิดสงครามระหว่างกันอยู่บ่อยครั้ง
ชายหนุ่มตรงหน้านี้เป็นศัตรูคู่อาฆาตขององค์รัชทายาทแห่งฟู่หราน คนทั้งสองสู้กันตั้งแต่เล็กจนโต ครั้งนี้สำนักเมฆาโลหิตรับลูกศิษย์ พวกเขาจึงกลายเป็นคู่แข่งกัน
ถึงแม้เหลียงฮั่นจะไม่ลงรอยกับองค์รัชทายาทแห่งฟู่หรานนัก แต่ว่าองค์รัชทายาทแห่งจื่ออวี๋เบื้องหน้านี้ ยิ่งไม่ลงรอยกันมากกว่า
“คนที่อยู่ด้านในเป็นคนของประเทศจื่ออวี๋หรือพะยะค่ะ” เหลียงฮั่นถามอย่างเย็นชา
องค์รัชทายาทแห่งจื่ออวี๋หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะกล่าวว่า “มิใช่ แต่ตอนนี้้เราชื่นชมพวกเขานัก”
เหลียงฮั่นยังไม่ทันพูด เสียงหนึ่งก็ดังมาแต่ไกล “อีกเดี๋ยวพวกเขาก็จะกลายเป็นศพแล้ว”
องค์รัชทายาทแห่งจื่อวี๋แค่นหัวเราะเสียงเบา จากนั้นก็เห็นฝูงชนเปิดทาง คนกลุ่มหนึ่งที่มีชายหนุ่มหน้าตาชั่วร้ายเป็นคนนำมาถึงด้านหน้าทุกคน
เหลียงฮั่นหยุดครู่หนึ่ง ทำความเคารพ “ผู้อาวุโสหรง องค์ชายรัชทายาท”
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าชั่วร้ายเป็นองค์รัชทายาทแห่งฟู่หราน ที่ด้านข้างเขามีชายชราผู้หนึ่ง ดูเหมือนมีอายุพอสมควร แต่ไม่ว่าจะเป็นองค์รัชทายาทแห่งฟู่หราน หรือเหลียงฮั่นล้วนมีท่าทีเคารพนบน้อมชายชราผู้นี้ยิ่ง เขาก็คือผู้อาวุโสสำนักเมฆาโลหิตที่มาจัดงานประชุมใหญ่ในครั้งนี้
องค์รัชทายาทแห่งจื่ออวี๋ทำความเคารพด้วยรอยยิ้มบาง “ผู้อาวุโสหรง”
ผู้อาวุโสหรงพยักหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็มองห้องโถงใหญ่ที่พวกเยี่ยนจ้าวเกออยู่ ถามองค์รัชทายาทแห่งฟู่หรานว่า “ลูกน้องของท่านรายงานว่า อีกฝ่ายสามารถควบคุมพลังปีศาจมายาที่กลายเป็นเชือก ลากคนเข้าไปด้านในได้หรือ”
องค์รัชทายาทแห่งฟู่หรานตอบ “ถูกต้อง”
ผู้อาวุโสหรงถามหยั่งเชิง “เป็นลูกศิษย์สำนักกระเรียนหิมะหรือ? ข้าคือหรงจื้อแห่งสำนักเมฆาโลหิต”
เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ในห้องโถงได้ยินคำว่า ‘สำนักกระเรียนหิมะ’ ในใจอดสั่นไหวไม่ได้
สวีเฟยที่อยู่ด้านข้างหันหน้ามามองเขา
ชายหนุ่มครุ่นคิดครู่หนึ่ง ด่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม “มิใช่”
ด้านนอกเงียบงันลง เยี่ยนจ้าวเกอมองพวกเกาฟ่าง แล้วถามว่า “สำนักกระเรียนหิมะมีความเป็นมาอย่างไร”
พวกเกาฟ่างมองหน้ากัน เกาฟ่างเป็นฝ่ายตอบว่า “เป็นสำนักที่ค่อนข้างแปลก เพิ่งเปิดสำนักได้ไม่เกินสิบกว่าปี คนในสำนักมิได้ฝึกฝนพลังแห่งสายเลือด แต่ฝึกฝนลมปราณและร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งถูกพิสูจน์ว่าเป็นไปไม่ได้ไปแล้ว”
“แต่ว่าเจ้าสำนักกระเรียนหิมะคล้ายมีวิธีการในการฝึกปราณโดดเด่นอยู่หลายส่วน มีพลังฝึกปรือแข็งแกร่งมาก น่าเสียดายที่ลูกศิษย์ในสำนักด้อยกว่า ดังนั้นสำนักจึงไม่เติบโต”
“กระนั้น บุตรีของเจ้าสำนักกระเรียนหิมะแต่งงานกับบุตรของเจ้าสำนักเขามังกรเขียว หนึ่งในสี่สำนัก สำนักทั้งสองจึงเกี่ยวดองกัน ไม่มีใครกล้าตอแยกสำนักกระเรียนหิมะ”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ฟังสถานการณ์ของสำนักกระเรียนหิมะ ดวงตาทอประกายเล็กน้อย “โอ้”
……………………………………….
[1] ซวนหนี (狻猊) บุตรคนที่ 5 ของมังกร ตามตำนานจีน
[2] ชิงเหนี่ยว (青鸟) นกยักษ์ที่คอยนำอาหารมาถวายเจ้าแม่หวังมู่ ตามตำนานจีน
[3] ชิงหลวน (青鸾) พาหนะของหลี่ว์ต้งปิน (吕洞宾) หนึ่งในแปดเซียนตามตำนานจีน