ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 569 มหาปรมาจารย์ขั้นเก้า ขั้นรูปญาณระยะท้าย
เยี่ยนจ้าวเกอพุ่งมาถึงเหนือวังที่อยู่กลางอากาศ แล้วกล่าวอย่างราบเรียบ “ข้าไม่คิดจะยึดครองไว้คนเดียว แต่ทั้งสองท่านก็อย่าคิดจะแย่งชิงกับข้าจะดีกว่า”
“ทั้งสองท่านน่าจะรู้ตัวได้แล้ว ว่าหลังจากข้าเก็บศพมังกร สุสานมังกรยิ่งมายิ่งปั่นป่วน มีความเป็นไปได้ที่จะปิดและพังทลายได้ตลอดเวลา”
“ทุกท่านใช้ความสามารถของตัวเองเถอะ เวลาเหลือไม่มากแล้ว”
หลินซื่อกับหลิวซั่วมองร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกที่สวมเกราะเหมันต์ทระนง จากนั้นก็มองวังที่กลืนกินทุกอย่างเหมือนกับสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งข้างใต้เยี่ยนจ้าวเกอ ทั้งสองต่างพากันถอนใจคำหนึ่ง
ทุกคนล้วนเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ดี ฝูงมังกรที่ก้นเหวมีทั้งแข็งแกร่งทั้งอ่อนแอ คิดเก็บศพมังกรย่อมต้องหาตัวที่ดีก่อน
ตำแหน่งที่หลินซื่อกับหลิวซั่วยึดครองเมื่อครู่คือใจกลางเหวลึก ซากมังกรที่อยู่ตรงนี้เป็นซากมังกรที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสิ้น แต่ว่าตอนนี้กลับถูกเยี่ยนจ้าวเกอยึดเอาไว้อย่างไม่เกรงใจ
เมื่อเห็นว่าไม่อาจฝ่าการขัดขวางของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก และสถานการณ์ในตอนนี้ยังมีเวลามีจำกัดเหมือนที่เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว ทั้งสองต่างจนปัญญา ได้แต่เก็บศพที่ค่อนข้างอ่อนแอซึ่งเผ่ามังกรทิ้งไว้ให้อยู่ห่างๆ
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย เขาก้มหน้าไปมอง เห็นวังด้านใต้ถูกเติมเต็มด้วยลมปราณของฝูงมังกรจำนวนนับไม่ถ้วน ยิ่งมายิ่งจับต้องได้ พลังยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง
ซากมังกรจำนวนมากไม่อาจหลอมได้ในเวลาสั้นๆ ส่วนใหญ่ถูกเก็บและผนึกไว้ก่อน
แต่มีส่วนหนึ่งที่ถูกวังหลอมอย่างต่อเนื่อง
‘เรียกวังนี้ว่าวังฝูงมังกรก่อนแล้วกัน’ เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย รู้สึกผ่านวังฝูงมังกรได้ว่าลมปราณปริมาณมาก ไหลเข้ามาในร่างของตนผ่านจุดลมปราณกลางฝ่าเท้าไม่หยุด
ลมปราณของซากมังกรน้ำแข็งที่ยังอยู่ในร่างกายเขาถูกกระตุ้นอีกครั้ง
ในระยะเวลามากกว่าครึ่งปีก่อนหน้าที่รอให้ประตูมังกรเปิด เยี่ยนจ้าวเกอแอบฝึกฝนอยู่ที่เขาหงส์วิเศษอย่างต่อเนื่อง
ในตอนนี้เมื่อได้รับการกระตุ้น จิตวรยุทธ์ที่ตกตะกอนจนเต็มเปี่ยมหลอมรวมกับลมปราณจนหมดสิ้น
อาคมหลายสายปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ รวมตัวกันกลายเป็นค่ายกลอาคมที่ลี้ลับมากมาย ค่ายกลอาคมทับซ้อนกัน จนสุดท้ายก็ค่อยๆ จับตัวกันกลายเป็นหนึ่งเดียว!
ขณะคนที่อยู่รอบๆ มองเหตุการณ์นี้ ต่างเกิดความรู้สึกชินชาและสั่นสะท้าน
“…แท่นอาคม!” ฟู่เอินซูพึมพำกับตัวเอง “มหาปรมาจารย์ขั้นเก้า ขั้นรูปญาณระยะท้าย!”
ถึงแม้ว่าจะตกใจเพราะเยี่ยนจ้าวเกอจนชินชาแล้ว แต่ในตอนนี้เมื่อเห็นคนหนุ่มที่สองสามปีก่อนยังเป็นแค่ปรมาจารย์ ในตอนนี้กลับมีพลังฝึกปรือเทียบเคียงกับตัวเอง ฟู่เอินซูยังรู้สึกเหม่อลอยเล็กน้อย
คนในโลกผืนสมุทรเห็นสิ่งที่คล้ายกับเจดีย์และแท่นบวงสรวงกำลังก่อตัว ต่างพูดอะไรไม่ออก
ครู่ต่อมา พวกหลินซื่อจึงค่อยได้สติ ถอนใจเงียบๆ ละวางความคิดสู้กับเยี่ยนจ้าวเกอ
หนึ่งปีในโลกผืนสมุทร เยี่ยนจ้าวเกอเลื่อนจากมหาปรมาจารย์ขั้นหก ขั้นรูปญาณระยะต้น กลายเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นเก้า ขั้นรูปญาณระยะท้ายในวันนี้ จอมยุทธ์บนโลกผืนสมุทรต่างก็ประจักษ์แก่สายตา ความน่าหวาดหวั่นยิ่งไม่ต้องพูดก็เข้าใจ
ในประวัติศาสตร์ของโลกผืนสมุทร เคยมีคนเช่นนี้ที่ไหนกัน?
มาตรว่าเนื่องจากความปั่นป่วนของการไหลของเวลาในสุสานมังกรเป็นเหตุ เวลาที่เยี่ยนจ้าวเกออยู่บนโลกผืนสมุทรจึงไม่ใช่แค่หนึ่งปี
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ความเร็วที่น่ากลัวนี้ยังทำให้คนตื่นตระหนกอยู่ดี
เกาเทียนจงกระซิบออกมา “ในสำนักพรรคใหญ่ ผู้สืบทอดที่โดดเด่นที่สุด เป็นอัจฉริยะในอัจฉริยะ เป็นปีศาจในปีศาจ หากเลื่อนเป็นปรมาจารย์ขั้นเก้า ขั้นเคียงนภาระยะท้ายในตอนที่มีอายุเท่าเขา ก็สามารถูกบันทึกในประวัติศาสตร์อย่างยิ่งใหญ่ได้แล้ว!”
ไม่พูดถึงมหาปรมาจารย์อย่างเกาเทียนจงและหลิวซั่ว ต่อให้เป็นราชาวังผลึกวารีหลินซื่อที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนี้ก็ยังจนปัญญา
พวกเขาไม่ใช่คนระดับเดียวกัน
นี่เป็นความคิดเพียงหนึ่งเดียวของหลินซื่อ
ยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์มีความตั้งมั่นแน่วแน่ ไม่ถูกสั่นคลอนโดยง่าย แต่ตอนนี้ในใจของหลินซื่อกลับเกิดความคิดเช่นนี้ อารมณ์ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย ทั้งยังสงบนิ่งเป็นพิเศษ ราวกับยอมรับเรื่องปกติเช่นนี้ ไม่ต่างจากปรากฏการณ์ตะวันขึ้นดวงจันทร์ลาลับ เหมันต์ไปวสันต์มา
เขารู้สึกว่าหากตนใช้สภาพจิตใจปกติเช่นนี้ในการรับมือเรื่องราวตรงหน้า ความจริงแล้วถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติเรื่องหนึ่ง แต่ขณะที่มองเยี่ยนจ้าวเกอ เขากลับไม่เกิดความคิดอย่างอื่นเลย
เยี่ยนจ้าวเกอมองแท่นค่ายกลอาคมเหนือศีรษะของตน พลางพึมพำว่า “พัฒนาขึ้นอีกก้าวแล้ว”
ชายหนุ่มมองซากมังกรในหุบเหวเหมันต์บรรพกาลเบื้องหน้าที่มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นก็ครุ่นคิดในใจ ว่าเหตุใดฝูงมังกรถึงได้ฝังกระดูกที่นี่
หลังจากศพมังกรลดจำนวนลง ก้นเหวก็ค่อยๆ มีประกายดาวสว่างขึ้น
“ดวงดารารวมกลุ่ม ฝูงมังกรลอดวารี หุบเหวเหมันต์บรรพกาล เกล็ดย้อนตะลึงจันทร์…” เยี่ยนจ้าวเกอมองประกายแสงของดวงดาว ทำความเข้าใจอย่างละเอียด เกิดความคิดขึ้นในใจ ‘เป็นรูปค่ายกลรูปหนึ่ง เหมือนมาจากหลักการดวงดารากระจายฟ้าก่อนมหาภัยพิบัติ’
ดวงดารารวมกลุ่มคือภาพค่ายกลนี้นี่เอง
ฝูงมังกรลอดวารีหมายถึงยอดฝีมือเผ่ามังกรที่สละชีวิตตัวเอง ใช้รูปค่ายกลนี้เป็นตัวสนับสนุน เพื่อใช้มรรคาแห่งการผนึกบางอย่าง
หุบเหวเหมันต์บรรพกาลเป็นสถานที่
เช่นนั้นเกล็ดย้อนตะลึงจันทร์ก็คือเป้าหมายของการผนึก!
ดวงตาของเยี่ยนจ้าวเกอลึกล้ำขึ้น “เกล็ดย้อนตะลึงจันทร์…เกล็ดย้อนเป็นสิ่งที่มังกรมี ผนึกในที่นี่กลับเกิดจากฝูงมังกร หรือว่าจะเกิดความขัดแย้งภายใน”
สิ่งที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสังเกตเห็นก็คือ ตัวตนที่ถูกผนึกอยู่ที่นี่หายไปนานแล้ว!
อีกฝ่ายหลุดไปตั้งนานแล้ว เหลือเพียงผนึกที่ยังอยู่ที่เดิม
ถ้าไม่ใช่เพราะสังเกตเห็นจุดนี้ เยี่ยนจ้าวเกอยังไม่กล้าเก็บซากมังกรอย่างเอิกเกริกถึงเพียงนี้
‘เป็นใครหรือเป็นอะไรกันแน่?’ ขณะที่กำลังครุ่นคิด เขาก็ทำความเข้าใจค่ายกลที่เกิดจากการวางตำแหน่งประกายดวงดาว เขาคล้ายมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น
หลังจากซากมังกรถูกเก็บ ผนึกก็ค่อยๆ พังทลาย มีพลังความร้อนไหลออกมาจากในผนึก
หมอกน้ำแข็งในหุบเหวเหมันต์บรรพกาลสลาย ทุกคนถึงกับรู้สึกได้ถึงความร้อน
เยี่ยนจ้าวเกอนึกในใจ ‘เป็นกลิ่นอายที่ถูกทิ้งไว้ มิน่าถึงได้เลือกหุบเหวเหมันต์บรรพกาลเป็นสถานที่ในการผนึก ต้องการใช้ภูมิประเทศของที่นี่ช่วยผนึกนี่เอง’
เสียงร้องของมังกรในอดีตคล้ายกับดังขึ้นข้ามผ่านมิติเวลาอันไร้สิ้นสุด ทั้งบ้าคลั่งทั้งเหี้ยมโหด ไม่กริ่งเกรงต่อสิ่งใดเฉกเช่นเพลิงผลาญ
ในห้วงสมองของเยี่ยนจ้าวเกอปรากฏแสงสีแดงสว่างวาบอยู่เลือนราง เหมือนมีตัวตนที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดจับจ้องเขาอยู่
นี่น่าจะเป็นกลิ่นอายที่ผู้ถูกผนึกหลงเหลือเอาไว้ แต่ว่าเพียงแค่กลิ่นอายสายเดียวกลับเหมือนกับมีเจตจำนงเป็นของตัวเอง
‘ตรา…ประทับ…ตะวัน…หรือ? ไม่เห็นมานานแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะได้พานพบกันในสภาพแวดล้อมเช่นนี้…”
กลิ่นอายนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น พวกเยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความรู้สึกแสบร้อนหายไป หุบเหวเหมันต์บรรพกาลเริ่มเย็นยะเยือกมากขึ้น!
ความเย็นที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ยังทนไม่ได้!
‘จริงด้วย ผู้ถูกผนึกหายไป ผนึกพังทลาย นี่เป็นเป้าหมายแรกเริ่มของหุบเหวเหมันต์บรรพกาล ไม่เช่นนั้นจะช่วยผนึกตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นนั้นได้อย่างไร?’ เยี่ยนจ้าวเกอเรียกฟู่เอินซูให้เข้าไปในวังฝูงมังกรด้วยกัน
หลังจากพวกหลินซื่อเก็บร่างมังกรเท่าที่จะทำได้เสร็จแล้ว ก็ไม่อาจทนความเย็นสุดขีดที่ยิ่งมายิ่งรุนแรงในหุบเหวเหมันต์บรรพกาล และสภาพแวดล้อมที่ไม่เสถียรขึ้นเรื่อยๆ ของสุสานมังกรได้อีก พากันหนีไปด้านนอก
เกาเทียนจงหันไปมองวังฝูงมังกร ที่หูมีกระแสเสียงของเยี่ยนจ้าวเกอส่งมา “เจ้าสำนักเกาโปรดดูแลศิษย์พี่และศิษย์หลานของข้าด้วย ข้าซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเราค่อยเจอกันวันหลัง”
“ท่านเยี่ยนไม่ต้องเกรงใจ ทั่วทั้งเขาหงส์วิเศษยินดีร้อนรับการมาของท่านอีกครั้งอย่างแน่นอน” เมื่อทราบว่าเยี่ยนจ้าวเกอมาจากโลกด้านนอกผืนสมุทร ครั้งนี้ต้องกลับไปยังโลกของตนผ่านสุสานมังกร พวกเกาเทียนจงซึ่งเป็นผู้นำระดับสูงก็คำนับอย่างจริงใจ ก่อนจะแข่งกับเวลา ผละจากหุบเหวเหมันต์บรรพกาลไป
ในวังฝูงมังกร เยี่ยนจ้าวเกอมองไปยังฟู่เอินซู กล่าวอย่างเชื่องช้า “ประตูทางเชื่อมเขตแดนอยู่กลางมิติที่ตัดสลับกันด้านบน
“พวกเราควรจะรีบไปได้แล้ว”