ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 590 มองแวบเดียวเจ้าก็ตาย
เริ่มตั้งแต่แขนขา ไปจนทั่วร่าง ฉานเจิ้งเหมือนกับผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งที่ถูกบีบจนแหลกเหลว เลือดเนื้อเลอะเลือน กระดูกขาวขรุขระ
อิ่นหลิวหัวที่อยู่ในข่ายอาคมมองเหตุการณ์ทั้งหมด เกือบจะสลบไป
เมื่อครู่นี้ถึงแม้นางจะตอบโต้ฉางเจิ้น แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ ก็อดตกใจร่างกายสั่นระริกไม่ได้
บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอหันไปมองอิ่นหลิวหัวแล้ว
นางพลันส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัว “ศิษย์…ศิษย์พี่เยี่ยน ข้าสำนึกผิดแล้ว! ข้าเพียงเลอะเลือนไปชั่วขณะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ…ท่านอาจารย์! ท่านอาจารย์ ศิษย์สำนึกผิดแล้ว ท่านช่วยข้าที ศิษย์ไม่กล้าแล้ว!”
ฟู่เอินซูมองอิ่นหลิวหัวด้วยสีหน้าซับซ้อน “ฉางเจิ้นมีความผิด แต่คำพูดที่เขาพูดเกี่ยวกับเจ้าไม่ผิด ความผิดที่เจ้าทำในครั้งนี้แค่ตายยังไม่พอ…”
อิ่นหลิวหัวรู้สึกหนาวสั่นในจิตใจ ก่อนจะกรีดร้องอย่างไม่ยอม “ท่านอาจารย์ ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดร้ายต่อท่าน ไม่ได้เผยร่องรอยให้คนผู้นั้นทราบจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์!”
อาจารย์ฟู่เอินซูจ้องนางไม่ละสายตา “คำพูดนี้ข้าเชื่อ แต่ทุกอย่างหลังจากนั้นเล่า?”
“ข้าถูกพวกเขาข่มขู่ ไม่รู้ว่าท่านเป็นตายร้ายดีอย่างไร หายสาปสูญไป ตอนนั้นข้าตกใจจนเลอะเลือนแล้ว” อิ่นหลิวหัวพูดอ้ำอึ้ง
ฟู่เอินซูมองอิ่นหลิวหัว สายตาผิดหวังถึงขีดสุด “ตอนนั้นเจ้าตกใจจนเลอะเลือน ตั้งแต่กลับจากทะเลตะวันออกมายังสำนัก เวลานานถึงเพียงนั้นเจ้าเลอะเลือนตลอดเวลาเลยหรือ?”
“ฉางเจิ้นบอกว่าข้าไม่รู้จักเจ้า คำพูดนี้ถูกต้อง และไม่ถูกต้อง ข้าเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างของเจ้า แต่ก็มีบางสิ่งที่ข้าพบวันนี้และข้าไม่เข้าใจจริงๆ”
“จนกระทั่งถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าถึงได้เดินมาถึงขั้นนี้?”
นางทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า
สีหน้าของอิ่นหลิวหัวชะงัก สุดท้ายสายตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขาดสติ คลุ้มคลั่งขึ้นโดยไร้การควบคุม
จากนั้นนางหัวเราะเสียงเย็น พร้อมกับชี้ฟู่เอินซู กล่าวเสียงดังว่า “เหตุใดข้าถึงเดินมาถึงขั้นนี้หรือ? ท่านถามว่าเหตุใดข้าถึงเดินมาถึงขั้นนี้? หึ ท่านไม่รู้จริงๆ หรือ?”
“ตั้งแต่กลางวันถึงกลางคืนล้วนเป็นมงกุฎจันทรา การทดสอบแห่งจันทรา ตั้งแต่ข้าเข้าสำนัก พวกท่านก็เอาแต่จ้ำจี้จ้ำไชข้า พวกท่านชอบเอาสตรีผู้นั้นมาเปรียบเทียบกับข้า!”
อิ่นหลิวหัวชี้เฟิงอวิ๋นเซิง พูดด้วยน้ำเสียงโมโห “เหตุใดข้าต้องเหมือนกับนางด้วย?”
ฟู่เอินซูมองอิ่นหลิวหัวเขม็ง “ถ้าหากเจ้าไม่อยากทำจริงๆ คิดจะยอมแพ้จริงๆ ถึงข้าจะเสียดาย แต่ก็ไม่บังคับให้เจ้าไปต่อ”
“ท่านไม่พอใจข้าถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าข้าบอกยอมแพ้ พวกท่านไหนเลยจะไม่เหยียดหยามข้า ต่อจากนี้ข้าจะยืนอยู่ในสำนักได้อย่างไร?” อิ่นหลิวหัวแค่นเสียง
เยี่ยนจ้าวเกอมองอิ่นหลิวหัวพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย “อ้อ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
ครั้นเขาเอ่ยปาก ร่างกายของอิ่นหลิวหัวก็สั่นสะท้าน
ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ที่แท้ไม่ใช่แค่รังเกียจงานหนัก จิตใจไม่สู้เท่านั้น ในขณะที่ไม่อยากลงแรงพยายาม กลับไม่อาจละทิ้งสวัสดิการและตำแหน่งของสตรีแห่งจันทราในสำนักได้”
“อยากดื่มน้ำกลับไม่คิดแบกหาม”
เขาหันไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง “ไม่ใช่ความแตกต่างและความอิจฉาที่เกิดจากการเปรียบเทียบดีเลว ไม่ใช่จิตใจที่คิดแข่งขัน แค่คิดจะยึดครองไว้คนเดียว”
“เหนียนเหล่ยแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์กับหลิงฮุ่ยแห่งเขาไร้พรมแดนคงไม่ได้มอบแรงบันดาลใจให้เจ้าหรอกกระมัง?
“ถ้าหากไร้เฟิงอวิ๋นเซิง เช่นนั้นในสำนักก็จะเหลือเจ้าที่เป็นสตรีแห่งจันทราเพียงคนเดียว ต่อให้เจ้าไม่เอาไหนอย่างไร เกียจคร้านอย่างไร ตราบใดที่ยังไม่สูญเสียความหวังในการแย่งชิงมงกุฎจันทรา สำนักจะอดทนกับเจ้า เจ้าจะสามารถกินเปล่าโดยไม่ต้องลงแรงได้อย่างสบายใจต่อไป”
อิ่นหลิวหัวมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความโกรธและเครียดแค้น
นางเหมือนกับเทหมดหน้าตัก สายตาเคลื่อนไปมาระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิง “พวกท่านมีความสัมพันธ์กันอยู่แล้ว! ดังนั้นท่านจึงดูแลนางเป็นพิเศษ! มีของอะไรก็มอบให้นางก่อน!”
“ตัวข้าสู้นางไม่ได้อยู่แล้ว ท่านกลับเอาแต่เข้าข้างนาง ทำให้ระยะห่างระหว่างพวกเรายิ่งมายิ่งกว้างขึ้น ท่านคิดจะใช้ข้ามาทำให้นางโดดเด่นขึ้นแต่แรก!”
“ข้ายิ่งแย่เท่าไร ก็ยิ่งทำให้นางโดดเด่นเท่านั้น!”
เฟิงอวิ๋นเซิงนิ่วหน้า “เข้าข้างข้าอะไรกัน? นอกจากที่สำนักไม่มีหินกิเลนจริงๆ เจ้าก็ได้รับการชำระล้างจากน้ำพุสวรรค์ ส่วนข้าได้รับการชำระล้างจากน้ำพุกิเลน สิ่งที่ข้ามี เจ้าล้วนมี ที่เจ้าโกรธเป็นเพราะหินกิเลนก้อนเดียวหรือ?”
อิ่นหลิวหัวกรีดร้อง “โกหก วิชาเข็มแกนน้ำแข็งไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับได้ นั่นเป็นหนึ่งในเจ็ดมหาโทษทัณฑ์! ถ้าไม่ใช่เพราะเขาดูแลท่านเป็นพิเศษ ท่านจะอดทนได้อย่างไร?”
เฟิงอวิ๋นเซิงได้ยินพลันยิ้มขึ้นด้วยความโกรธ
อิ่นหลิวหัวแค้นกว่าเดิม “ท่านยังมีหน้ายิ้มอีก! แค่มองดูก็รู้แล้ว มีครั้งที่หนึ่งก็ต้องมีครั้งที่สอง นอกจากนี้แล้ว ยังไม่ทราบว่าเขาแอบมอบอะไรให้ท่านบ้าง ท่านอย่ามาทำอวดฉลาดแถวนี้!”
ในตอนนี้นางไม่ปิดบังอารมณ์ของตัวเองอีก ถลึงตามองเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างโกรธแค้น “นังแพศยา เจ้ารู้หรือไม่ ทุกครั้งที่เจ้าเสแสร้งมาทำเป็นห่วงข้า ทำให้ข้ารู้สึกขยะแขยงแทบอาเจียน!”
เฟิงอวิ๋นเซิงมองอิ่นหลิวหัว เหมือนกับเพิ่งรู้จักนางเป็นครั้งแรก
หลังจากจ้องมองอิ่นหลิวหัวครู่หนึ่ง เฟิงอวิ๋นเซิงค่อยๆ ส่ายหน้า สายตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดุดันข่มขวัญผู้คน
อิ่นหลิวหัวรู้สึกจิตใจเย็นเยียบ
เฟิงอวิ๋นเซิงไม่เคยใช้สายตาเช่นนี้มองนางมาก่อน สมควรบอกว่า เฟิงอวิ๋นเซิงแทบไม่เคยใช้สภาวะคุกคามเช่นนี้ต่อหน้าศิษย์ในสำนักช
เฟิงอวิ๋นเซิงที่ทะนุถนอมชีวิตในตอนนี้ จึงแสดงความอ่อนโยนเมื่ออยู่ในเขากว่างเฉิงมาแต่ไหนแต่ไร
จนอิ่นหลิวหัวมักจะลืมบ่อยๆ ว่ สตรีตรงหน้านี้เป็นคนที่แข็งแกร่งและทะนงตนถึงขีดสุดคนหนึ่ง
นางนึกขึ้นได้ว่า นางเคยเห็นเฟิงอวิ๋นเซิงเช่นนี้มาก่อน
เป็นเฟิงอวิ๋นเซิงที่แข็งกร้าว ดุดัน มีวรยุทธ์เหนือกว่าบุรุษในตอนที่สังหารศัตรู ในตอนที่เข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทรา
เฟิงอวิ๋นเซิงเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ข้าคิดมาโดยตลอดว่า หากไม่มีจ้าวเกอ ไม่มีท่านอาจารย์ ไม่มีเขากว่างเฉิง ก็ไม่มีข้าในวันนี้”
“กระนั้นทุกสิ่งที่ข้าได้มา ล้วนได้มาอย่างตรงไปตรงมาไม่ละอายต่อผู้ใด ไม่ได้ใช้วิธีการชั่วร้ายเต็มไปด้วยเลศนัย”
นางมองอิ่นหลิวหัว “สำหรับเจ้า เรื่องที่เจ้าทำไม่ได้ ข้าทำได้ เพราะข้าโกง?”
“เช่นนั้นตอนนี้ข้าขอบอกเจ้า ในโลกใบนี้มีเรื่องบางเรื่องที่ข้าทำได้ แต่เจ้าทำไม่ได้”
“ดังนั้น ข้าคือข้า เจ้าก็คือเจ้า”
“เจ้าไม่ชอบให้คนอื่นเอาข้ามาเปรียบเทียบกับเจ้า ข้าก็อยากบอกว่า อย่าเอาเจ้ามาเปรียบกับข้า มีเรื่องบางเรื่องที่เจ้าเทียบข้าไม่ได้จริงๆ”
น้ำเสียงของเฟิงอวิ๋นเซิงสงบยิ่ง แต่ยิ่งสงบเท่าไร ก็ยิ่งทำให้อิ่นหลิวหัวรู้สึกคับข้องเท่านั้น
นั่นเป็นครั้งแรกที่นางได้เผชิญหน้กับเฟิงอวิ๋นเซิงที่ดุดันขนาดนี้ ขณะมองอีกฝ่าย นางรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงเรื่อยๆ
ความรู้สึกนี้ทำให้นางเคียดแค้นแทบบ้า
อิ่นหลิวหัวไม่สนใจข่ายอาคมเบื้องหน้า กรีดร้องต้องการพุ่งเข้าไปหาเฟิงอวิ๋นเซิง
เยี่ยนจ้าวเกอมองฟู่เอินซู อีกฝ่ายมีสีหน้าโศกเศร้าที่หาได้ยาก อ้าปากคิดกล่าวบางอย่าง ทว่ากลับส่งเสียงไม่ออก สุดท้ายล้วนกลายเป็นการถอนใจ
นางพยักหน้าเบาๆ เยี่ยนจ้าวเกอมองอิ่นหลิวหัวที่พุ่งมาอย่างบ้าคลั่งด้วยอาการเฉยชา
เขาไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น เพียงมองแวบเดียว
การเคลื่อนไหวของอิ่นหลิวหัวค่อยๆ ช้าลง สุดท้ายก็หยุดนิ่ง
ผิวของนางกลายเป็นสีแดงเลือด คนเหมือนกับกุ้งที่โดนลวกสุก นี่เป็นเพราะว่าเส้นเลือดทั้งหมดทั่วร่างของนางต่างแตกออกแล้ว
อิ่นหลิวหัวคิดกล่าววาจา กลับพบว่าตนเปล่งเสียงไม่ออก
ผิวบนร่างของนางไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย แต่ว่าหลังจากนางอ้าปากขึ้นคิดกล่าวคำ รูขุมขนบนตัวของนางเริ่มมีเลือดพุ่งออกมา
จากด้านนอกไปด้านในล้วนเป็นเลือด
แค่เยี่ยนจ้าวเกอมองนางแวบเดียว นางก็กลายเป็นคนตายคนหนึ่ง