ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 604 ข้าชอบเจ้าเช่นนี้
หลังจากบอกลาเยี่ยนตี๋ เฟิงอวิ๋นเซิงพลันทำท่าระบายลมหายใจ ถึงขั้นตอบอกของตัวเอง
เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ด้านข้างมองด้วยรอยยิ้ม เฟิงอวิ๋นเซิงสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา ย่อมรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ถึงอย่างไรก็เป็นเจ้าสำนักของเรา สภาวะพลังไร้รูปร่างนั้น อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์คนอื่นยังไม่อาจเทียบได้ ท่าทางของข้าปกติยิ่ง”
“โอ้” เยี่ยนจ้าวเกอไม่กล่าวอะไร เพียงแต่มองนางพลางหัวเราะไม่หยุด
เฟิงอวิ๋นเซิงจนปัญญา ไหล่ที่ยกขึ้นลดลงเล็กน้อย “ประเด็นคือ…เป็นบิดาของท่านนะ…”
ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ “สะใภ้ขี้เหร่สุดท้ายก็ต้องเจอแม่สามี”
“ข้าขี้เหร่หรือ?” เฟิงอวิ๋นเซิงหัวเราะเหอะๆ สายตามองเยี่ยนจ้าวเกอ
อีกฝ่ายทำท่าครุ่นคิด “ไม่ขี้เหร่ ย่อมไม่ขี้เหร่…”
หญิงสาวเพิ่งพยักหน้าอย่างพอใจได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอพูดต่อ “เพียงแต่ว่าหน้ากลมไปเล็กน้อย หูใหญ่ไปนิดหน่อย คิ้วก็หนาไปหน่อย แล้วก็เตี้ยไปบ้าง…”
“อืมๆ ใช่แล้วๆ” เฟิงอวิ๋นเซิงปรายตามองเยี่ยนจ้าวเกอ พยักหน้าอย่างไม่พอใจ
นางไม่ได้หน้าเรียวเหมือนเมิ่งหวานและซือคงจิง แต่มีใบหน้ารูปไข่ห่าน ถึงแม้จะไม่ได้หน้ากลม ทว่าก็ยังดูอิ่มเอิบอยู่บ้าง
เฟิงอวิ๋นเซิงชอบฝึกวรยุทธ์ รูปร่างได้สัดส่วน แต่ว่าใบหน้าของนางถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา ครั้นอ้วนขึ้นมา ใบหน้าจะเอิบอิ่มขึ้นก่อน
องคาพยพของนางอ่อนโยนและงดงาม มองไปครั้งแรกไม่ได้โดดเด่นเช่นเมิ่งหวานหรือซือคงจิง แต่เป็นชนิดที่ยิ่งมองยิ่งเพลิน มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
เพียงแต่คิ้วทั้งสองของนาง เมื่อเทียบกับสตรีคนอื่นแล้ว ดูเข้มและหนาไปเล็กน้อย บวกกับดวงตาแน่วแน่ของนาง ทำให้คนดูองอาจ ความงดงามของใบหน้าจึงจืดจางลงหลายส่วน
ส่วนที่ไม่สมบูรณ์เแบบอีกจุดหนึ่งอยู่ที่ หูของนางใหญ่ไปเล็กน้อย
เฟิงอวิ๋นเซิงปกติจะปล่อยผมประบ่าข้างหลัง บางครั้งจะปิดหูของตัวเองเหมือนตั้งใจเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
ถึงแม้นางจะเป็นคนเปิดเผย แต่ก็รักสวยรักงาม
ส่วนเรื่องความเตี้ยเป็นเยี่ยนจ้าวเกอตั้งใจหาเรื่องแล้ว
เฟิงอวิ๋นเซิงตัวสูง อยู่ในเกณฑ์ปานกลางค่อนไปทางสูงสำหรับสตรี แต่ว่าเทียบกับลูกศิษย์ของฟู่เอินซูแล้ว นางเตี้ยกว่าซือคงจิงและอิ่นหลิวหัวเล็กน้อย อีกทั้งยังเตี้ยกว่าฟู่เอินซูผู้เป็นอาจารย์อย่างเห็นได้ชัด
ในตอนนี้ถูกเยี่ยนจ้าวเกอนำมาหยอกล้อ เฟิงอวิ๋นเซิงจึงอดกลอกตาขาวไม่ได้
เยี่ยนจ้าวเกอมองนางด้วยรอยยิ้ม สุดท้ายเอ่ยว่า “…แต่ข้าชอบใครบางคนที่มีใบหน้าที่กลมนิด หูใหญ่หน่อย คิ้วหนา และเตี้ยไปบ้างเช่นนี้ ดูเข้ากันเป็นอย่างยิ่ง และไม่แย่แม้แต่น้อย”
เฟิงอวิ๋นเซิงแบมือเลียนแบบเยี่ยนจ้าวเกอ “ช่างโชคดียิ่งนัก ไม่เช่นนั้นคนในใต้หล้าคงไม่มีใครต้องการข้าแล้ว”
ชายหนุ่มหัวเราะขึ้น หยิบผ้าคาดเล็กยาวผืนหนึ่งออกมา แล้วเดินเข้าไปหาเฟิงอวิ๋นเซิง
อีกฝ่ายเซิงงงเล็กน้อย หลังจากนั้นเยี่ยนจ้าวก็ยื่นผ้าคาดไปด้านหลังศีรษะนาง เพื่อรวบผมของนาง
“ข้ามีของข้าอยู่แล้ว” ขณะที่เฟิงอวิ๋นเซิงพูดอยู่ เยี่ยนจ้าวเกอใช้พาดคาดนั้นมัดผมนางเป็นหางม้า
เยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยรอยยิ้มขณะที่มองหูสองข้างของเฟิงอวิ๋นเซิงที่โผล่ออกมา “ซ่อนไปก็ได้ไม่คุ้มเสีย เจ้ารู้หรือไม่ว่าหน้าตาของเจ้า เมื่อมัดผมไว้ด้านหลังแล้วดูงดงามกว่าเดิม หน้าเด็กกว่าเดิม ดูเหมือนกับวัยรุ่น คล้ายมีอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี”
หญิงสาวหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “ความหมายของท่านคือข้าเป็นสตรีมีอายุแล้วหรือ?”
หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอมัดผมเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบพูด “ข้าเพียงล้อเจ้าเล่น จอมยุทธ์อย่างพวกเราเมื่อฝึกปรือถึงระดับหนึ่งแล้ว ต่างมีวิชารักษาความเยาว์วัย เปลี่ยนจากชราเป็นเด็ก ตอนนี้เจ้าที่เป็นเช่นนี้ดูดีจริงๆ เห็นความโดดเด่นอื่นๆ ได้ชัดมากขึ้น เผยหูออกมาก็ไม่เห็นมีอะไรร้ายแรง”
นางมองเยี่ยนจ้าวเกอเงียบๆ เอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาอ่อนโยน เนิ่นนานให้หลังค่อยกล่าวยิ้มๆ “ก็ได้ ฟังท่านแล้วกัน”
เยี่ยนจ้าวเกอกอดเอวอีกฝ่าย พลางพิจารณาขึ้นลง สุดท้ายพูดด้วยรอยยิ้มพอใจ “อืม สมบูรณ์แบบ”
“ศิษย์…ศิษย์พี่เยี่ยน?” ยามนี้ ด้านข้างมีเสียงประหลาดใจและลังเลดังมา
ชายหนุ่มหันหน้าไปมอง เห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างทาง
“อ้อ ศิษย์น้องหลานหรือ?” ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันพักหนึ่ง แต่เยี่ยนจ้าวเกอยังจำได้ทันที ผู้มาเยือนเป็นสมาชิกหนึ่งในกลุ่มในตอนที่ตนพาลูกศิษย์อายุน้อยไปยังหุบเหวปราการมังกรที่อาณาจักรถังตะวันออก ชื่อว่าหลานเหวินเหยียน
ตอนที่อยู่อาณาจักรถังตะวันออก เพราะเขารักษาความเป็นธรรมแทนเยี่ยนจ้าวเกอ จึงถูกเยี่ยจิ่งทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส ดีที่หลังจากกลับสำนักมาพักฟื้น ในที่สุดก็ค่อยๆ หายดี
ผ่านไปหลายมี จอมยุทธ์ระดับหลอมกายในอดีตได้อยู่ในระดับปรมาจารย์แล้ว
หลานเหวินเหยียนเห็นเยี่ยนจ้าวเกอจำได้ พลันยินดีเหลือประมาณ มือที่กำกระบี่อดออกแรงมากกว่าเดิมไม่ได้
กระบี่เล่มนั้นกลับเป็นอาวุธวิเศษชั้นกลางชิ้นหนึ่ง จะว่าไปก็ได้มาจากเยี่ยนจ้าวเกอนี่เอง
หลังจากหลานเหวินเหยียนถูกเยี่ยจิ่งทำร้าย เยี่ยนจ้าวเกอเคยไหว้วานให้คนส่งโอสถให้เขา อีกทั้งยังมีคำพูดว่า ให้มอบอาวุธวิเศษชั้นกลางชิ้นหนึ่งให้เขาเก็บไว้ เมื่อใดที่เขาหลอมปราณเป็นจิตรา เลื่อนเป็นปรมาจารย์สำเร็จ ค่อยมอบอาวุธวิเศษชั้นกลางให้แก่เขา
อาวุธวิเศษชั้นกลางตามปกติแล้วต้องเป็นจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกถึงจะมี สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอไม่นับว่าเป็นอะไร แต่ว่าสำหรับหลานเหวินเหยียนที่เป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในแล้ว ดูแล้วถือเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย
และในสายตาของหลานเหวินเหยียน อาวุธชิ้นอื่นไม่อาจเทียบตำแหน่งของกระบี่เล่มนี้ได้
หลังจากหลานเหวินเหยียนคำนับเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงแล้ว เขาก็มองชายหนุ่มอย่างอึ้งๆ
ถึงเขาในตอนนี้ก็แตกต่างจากในอดีต แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอในปัจจุบันแข็งแกร่งกว่าเดิมร้อยเท่าพันเท่า
เยี่ยนจ้าวเกอในอดีตเป็นทั้งแบบอย่างและตัวอย่าง ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ที่โดดเด่นยิ่งกว่า
หลังจากนั้น ความสามารถอันน่าอัศจรรย์มากมายก็ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอข้ามการจำกัดทางด้านฐานะและอายุ เหล่าศิษย์ร่วมสำนักที่อายุใกล้เคียงไม่อาจมองเขาเป็นคนรุ่นเดียวกันได้อีก
ในสำนัก อำนาจของเยี่ยนจ้าวเกอสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นสมาชิกระดับกลยุทธ์หลักและผู้นำ
แต่มาถึงตอนที่ทำลายสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ตำหนักอัสนีสวรรค์ และสำนักแสงสว่าง เยี่ยนจ้าวเกอแทบจะกลายเป็นตำนานที่ยังมีชีวิตในโลกแปดพิภพ ทำให้หลานเหวินเหยียนที่เดิมทีต้องเงยหน้ามองอยู่แล้วต้องแสบตา
เมื่อครู่เขาตื่นเต้นจึงเอ่ยปากเรียก แต่ว่าตอนนี้เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอจริงๆ เพียงรู้สึกร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย ปากคอแห้งผาก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เยี่ยนจ้าวเกอมองเสื้อผ้าที่หลานเหวินเหยียนใส่ ด้านนอกเสื้อสีขาวคลุมไว้ด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงิน เลื่อนจากลูกศิษย์ธรรมดาเป็นลูกศิษย์อัจฉริยะแล้ว
“ใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินนั้นยากเย็น คิดจะปักขอบดำบนเสื้อคลุมน้ำเงินยิ่งต้องจ่ายความพยายามและความลำบากเหนือคนทั่วไป” เยี่ยนจ้าวเกอมองหลานเหวินเหยียน รู้สึกสะท้อนใจบ้าง พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “การให้กำลังใจคนโดยอาศัยของรางวัลไม่ดีจริงๆ แต่ว่าข้ารู้จักนิสัยของเจ้าอยู่บ้าง พวกเราสองคนนับว่ามีวาสนา
“เอาเช่นนี้ เหมือนครั้งก่อน ข้าขอมอบอาวุธวิญญาณชั้นกลางให้เจ้าเก็บไว้ เมื่อใดที่เจ้าเลื่อนเป็นมหาปรมาจารย์ อาวุธจะเป็นของเจ้า”
เฟิงอวิ๋นเซิงมองอยู่ด้านข้าง เพียงยิ้มอย่างเดียว ย่อมทราบว่าอาวุธวิญญาณชั้นกลางไม่ได้สำคัญ ต่อให้เป็นหลานเหวินเหยียนก็ไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ
ตอนนี้สิ่งที่เขารู้สึกได้ก็คือ ความเชื่อมั่นและกำลังใจที่เยี่ยนจ้าวเกอมีต่อตนเหมือนกับสัญญาของวิญญูชน
หลานเหวินเหยียนรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองหยุดสั่นแล้ว ยืดกายขึ้น พูดเสียงองอาจ “น้อมรับคำสอนของศิษย์พี่เยี่ยน ข้าจะต้องพยายาม”