ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 622 เลื่อนเป็นขั้นบรรลุธรรม ได้เห็นจุดกำเนิด
เสียงของเว่ยอวิ๋นเซิ่งทำให้เว่ยหลางสยิวกาย “พวกคนแซ่เยี่ยนบางทีอาจไม่ใช่คนของสำนักความมืด แต่พวกเขาเป็นพวกเดียวกันที่ตามหาสำนักความมืด อาจจะเป็นโจรกบฏ แม่ทัพหยางย่อมยินดีจับพวกเขา”
เว่ยหลางริมฝีปากสั่น “ท่านอาสอง ก่อนหน้านี้พวกเขาช่วยชีวิตข้า และเป็นเพราะเชื่อพวกเรา จึงมายังเมืองเหลาเฟิง…”
เว่ยอวิ๋นเซิ่งแค่นเสียงกล่าว “ตอนนี้ข้าก็กำลังช่วยชีวิตเจ้าอยู่เช่นกัน ช่วยชีวิตของพวกเราทุกคน”
“ในเมื่อเด็กน้อยแซ่เยี่ยนอยากช่วยคนขนาดนั้น คงยินดีจะช่วยพวกเราอีกสักครั้ง ด้วยชีวิตของพวกเขาไม่กี่คน สามารถช่วยคนในตระกูลเว่ยนับร้อยนับพันของเราได้ คุณธรรมใหญ่หลวง สมควรยินดี”
เว่ยหลางอ้าปาก หันไปมองบิดาของตนอย่างหวาดผวา
เว่ยอวิ๋นชางขมวดคิ้ว ตอนที่คิดจะกล่าววาจา ท่านปู่ตระกูลเว่ยที่อยู่ด้านข้างก็พูดอย่างเย็นชา “ที่เกิดเรื่องในวันนี้ ต่างเป็นผลลัพธ์จากการกระทำตามอำเภอใจของพวกเจ้าสองพ่อลูก”
ขณะที่พูด เงาคนหลายเงาปรากฏขึ้น เว่ยอวิ๋นชางมองแวบหนึ่ง จิตใจเคร่งขรึม คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้อาวุโส ปกติไม่ยุ่งเกี่ยว เพียงตั้งใจฝึกปรือพลังของตนเอง
สัตว์ประหลาดเหล่านี้มีพลังฝึกปรือไม่ต่ำกว่าตน อาหกตรงหน้าก็คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งในตระกูล
ตนถึงจะเป็นประมุขตระกูล แต่การคัดค้านของผู้อาวุโสจำนวนมาก ก็ทำให้เว่ยอวิ๋นชางรู้สึกกดดันอย่างรุนแรง
ผู้อาวุโสตระกูลเว่ยกล่าวเสียงทุ้ม “อวิ๋นชางเจ้าตอนนี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ? อวิ๋นเซิ่งได้ติดต่อกับแม่ทัพหยางแล้ว ไฉนข้ายังต้องถูกกดดันให้ออกฌานอีก ก็เพราะต้องการจับโจรกบฏเหล่านี้ด้วยตัวเอง!”
“ระหว่างพวกเราส่งคนออกไปเอง กับปล่อยให้อีกฝ่ายมาจับคน ย่อมมีผลลัพธ์คนละแบบโดยสิ้นเชิง”
ท่านปู่มองเว่ยอวิ๋นชาง ผ่อนคลายน้ำเสียงลง “วัวหายล้อมคอก ใช่ว่าจะสายไป”
เว่ยอวิ๋นชางเอ่ยเสียงทุ้ม “ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องประพฤติตนชั่วร้าย วันนี้ทั่วทั้งทะเลหวงเจียต่างต่อต้าน ข้าอนุญาตให้หลางเอ๋อร์ร่วมทางกับสำนักความมืด ย่อมเลือกฝั่งเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้อาหกกับน้องสองเหตุใดยังยืนข้างราชวงศ์ต้าเสวียอ๋องอีก? อีกทั้งยังขายคนของสำนักความมืดด้วย”
“วันใดที่ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องถูกโค่นจริงๆ พวกเราต้องถูกสำนักความมืดคิดบัญชี อีกทั้งยังต้องเจอความเจ็บปวดทรมานจากคนในสำนักความมืดยิ่งกว่าขุมกำลังอื่นที่ใกล้ชิดราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง”
เว่ยอวิ๋นชางกล่าวอย่างเจ็บปวดใจ “ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เดินทางเดียวกับสำนักความมืด ไฉนต้องฉีกหน้ากันถึงเพียงนี้? แค่ไล่พวกเขาออกไปก็พอ”
ชายชราแค่นเสียงคำหนึ่ง “ประมุขอย่างเจ้าเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ ที่ตระกูลมอบให้เจ้าเป็นคนคุมหางเสือ เห็นทีจะผิดพลาดไป”
“เจ้าก็เหมือนกับคนทั่วไป เพียงเห็นว่าราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องในตอนนี้ติดอยู่ในก้นเหว ไท่จู่เสวียนเหวินอ๋องผู้สร้างประเทศสวรรคต เสวียนมู่อ๋องในสมัยปัจจุบันไม่อาจสยบใต้หล้า กลับไม่คิดดูว่า ไท่จงเสวียนเฉิงอ๋องอยู่ที่ใด?”
เว่ยอวิ๋นชางงงงัน “เสวียนเฉิงอ๋องไม่ได้เสียชีวิตกว่าเสวียเหวินอ๋องหรือ?”
“การตายของเสวียนเหวินอ๋องเป็นเรื่องที่ยืนยันได้แล้ว แต่ไม่ทราบว่าเสวียนเฉิงอ๋องไปอยู่ที่ใด ต้าเสวียนอ๋องยิ่งใหญ่ล้ำลึก ความเป็นความตายขอพระองค์เป็นการคาดเดาของคนทั่วไป มีใครกล้าตบอกประกาศว่า เสวียนเฉิงอ๋องสวรรคตแน่นอนแล้ว?” ท่านอาหกกล่าว
เว่ยอวิ๋นชางขมวดคิ้ว “เสวียนเฉิงอ๋องมีพลังฝึกปรือสู้เสวียนเหวินอ๋องไม่ได้ ต่อให้เขายังอยู่ ก็ไม่แน่ว่าจะปกครองทะเลหวงเจียได้”
ชายชรากงโบกมือ “เสวียนเฉิงอ๋อง เสวียนมู่อ๋องสองพ่อลูกยังอยู่ ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องแม้จะชนะไม่ได้ แต่ก็แพ้ยากยิ่ง เพียงแค่พวกเขาไม่แพ้ สถานที่อื่นยังไม่ต้องพูดถึง เกาะหลวนเซียงยังเป็นแผ่นดินของต้าเสวียน ตระกูลเว่ยของเรายังเกิดขึ้นบนดินแดนของต้าเสวียน จะล่วงเกินพวกเขาได้อย่างไร?”
น้ำเสียงของเขาดุดันยิ่ง “อวิ๋นชาง เจ้าได้ทำข้อผิดพลาดใหญ่ ตอนนี้ตระกูลต้องรับความเสี่ยงด้วยกันกับพวกเจ้าสองพ่อลูก”
เว่ยอวิ๋นเซิ่งยามนี้เสริมด้านข้าง “ท่านอาหกได้โปรดระงับความโกรธ อย่ารีบร้อนลงมือ”
ชายชราตระกูลเว่ยเลิกคิ้วขาว “เจ้ากลัวว่าข้าจะจัดการเด็กน้อยไม่กี่คนไม่ได้หรือ? จอมยุทธ์มหาปรมาจารย์อายุน้อยเช่นนี้หายากจริงๆ แต่ต่อให้สูงส่ง แล้วจะสูงส่งได้สักเท่าใด? มหาปรมาจารย์รูปญาณหรือ?”
เว่ยอวิ๋นเซิ่งเอ่ย “ข้อแรก ระวังไปก็ไม่เสียหาย พวกเราถึงอย่างไรก็ไม่ทราบถึงเบื้องหลังของอีกฝ่าย และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมียอดฝีมือซุ่มอยู่นอกเมืองเหล่าเฟิงของพวกเราหรือไม่
“ข้อสอง ความหมายในคำพูดของพวกเขา คือต้องการติดต่อให้จอมยุทธ์สำนักความมืดคนอื่นมา ในสถานการณ์เช่นนี้ แม่ทัพแห่งหลวนเซียงคิดจับคนก่อนยังต้องค่อยๆ วางแผน พวกเราไม่รู้ถึงความคิดของเขา ทางที่ดีอย่าทำโดยพลการ
“สถานการณ์ข้าได้รายงานให้กับแม่ทัพแห่งหลวนเซียงตามจริงหมดแล้ว ยังรอคนของต้าเสวียนมาถึงค่อยตัดสินใจเถอะ พวกเราคุมคนไว้ที่นี่ก็พอ”
ท่านอาหกได้ยินก็ครุ่นคิดเล็กน้อย พยักหน้ากล่าวว่า “ตั้งใจจับตาดู…”
เขาหันไปมองเว่ยหลางที่หน้าซีดขาว “ถูกขังสำนึกผิดไปเถอะ”
เว่ยอวิ๋นเซิงจมลงสู่ความเงียบงัน ใบหน้าตึงเครียด
…
เยี่ยนจ้าวเกอแสดงความพอใจต่อสถานการณ์ในปัจจุบันของสำนักแสงสว่างที่จางเชียนซงอธิบายอีกครั้ง
ข้อมูลของผู้อาวุโสม่อเป็นเรื่องเมื่อร้อยกว่าปีแล้ว ได้แต่ทำความเข้าใจคร่าวๆ ทางจางเชียนซงกลับเป็นข้อมูลตามเวลาจริงมือแรก ใช้ประโยชน์ได้มากกว่า
จางเชียนซงถึงอย่างไรก็ได้รับบาดเจ็บ ทั้งติดต่อกับผู้อาวุโสในสำนักความมืด ทั้งสนทนากับเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่ทันไรก็รู้สึกหมดแรง
หลังจากเขาพักผ่อนอีกครั้ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ออกจากห้องของเขา ยืนอยู่บนลานบ้าน เงยหน้ามองก้อนเมฆสดใส ครุ่นคิดขึ้นมา
ข้อมูลที่จางเชียนซงพูดถึงเมื่อครู่ปรากฏขึ้นในห้วงสมองของเยี่ยนจ้าวเกอทีละอย่างๆ
‘หลัวจื้อเทา เจ้าสำนักแสงสว่าง เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อนหน้านี้เป็นยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงระยะท้าย ถึงแม้ว่าจะยังไม่เลื่อนเป็นขั้นเจ็ด เหยียบสู่ขั้นสะพานเซียน แต่เกรงว่าจะเหลือเพียงการก้าวเข้าประตูเท่านั้น หากบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลหวงเจีย สมควรไม่เกินเลย’
‘มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงกงจักรสุริยันจันทราคุ้มครองสำนัก แต่ว่าหลายปีก่อนหน้านี้ กงจักรจันทราได้รับความเสียหาย ไม่มีอานุภาพเหมือนในอดีต เป็นเหตุให้ความน่าเกรงขามของกงจักรทั้งสองลดต่ำลง แต่ยังคงเป็นของวิเศษทะลุฟ้าทะลุดินอยู่ดี’
เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิด ‘ลาผอมตายยังใหญ่กว่าม้า สุภาษิตโบราณว่าไว้ไม่ผิด สำนักความมืดถูกทำลายมาหลายปี แต่ยังคงมีรากฐานเหลือไว้’
ขณะครุ่นคิด ชายหนุ่มก็เงยหน้ามองธารดาวเหนือศีรษะ กลืนกินปราณวิญญาณในโลกซ้อนโลก พลันรู้สึกจิตใจเปิดโล่ง
ในวินาทีนี้ เขาเหมือนรู้สึกว่าฟ้าดินเบื้องหน้ากลับไปสู่ยุคก่อนมหาภัยพิบัติ
ในห้วงสติลวงตา กระแสเวลาราวกับปรากฏภาพคลื่นโหมกระหน่ำ
เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าตนคล้ายกับยืนอยู่ในปัจจุบัน มองเวลาอันยาวนานเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน
ความเข้าใจทั้งหมด ความรู้สึกทั้งหมด กระทบและชำระจิตใจของเขาพร้อมกัน
ปราณพิสุทธิ์หลายสายกระจายออกมา ครอบคลุมลานบ้านแห่งนี้ไว้ โลกภายนอกดูไม่ออกว่าคืออะไร
ภายใต้ปราณพิสุทธิ์แฝงไว้ด้วยปราณโกลาหลกลุ่มหนึ่ง ไม่มีคำว่าจุดเริ่มต้น ไม่มีคำว่าจุดจบ
จุดลมปราณทั่วร่างของเยี่ยนจ้าวเกอเปิดออก ลวดลายอาคมหลายสายลอยออกมาจากข้างใน จับตัวกันกลายเป็นค่ายกล ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ เกิดเป็นแท่นสักการะค่ายกลอาคมที่เหมือนกับเจดีย์และแท่นบูชา
บนแท่นสักการะ แสงสว่างนับไม่ถ้วนเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับเวลากำลังถอยหลัง ทุกอย่างกลับสู่ก่อนเปิดฟ้าผ่าแผ่นดิน กลับสู่ก่อนก่อนความขมุกขมัวจะหายไป
การดำรงอยู่ทั้งมวล สุดท้ายกลายเป็นความโกลาหล เหมือนกับกระจายอยู่ทั่วทุกทิศ แต่กลับเหมือนจับตัวกลายเป็นจุดหนึ่งจุดที่ยากจะบรรยาย
ขณะความโกลาหลเปลี่ยนแปลง มีเงาคนสายหนึ่งนั่งตัวตรงอยู่ด้านใน เดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฏ เพ่งตามองไป กลับเหมือนไม่คงอยู่โดยสิ้นเชิง
เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเล็กน้อย สงบนิ่งใจเย็น ‘วันนี้เลื่อนเป็นขั้นบรรลุธรรม ได้เห็นจุดกำเนิดครึ่งหนึ่ง’