ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 710 ประตูหยกขาว โบราณสถาณวังเทพ
ครั้งนี้เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสได้รุนแรงกว่าเดิม
หลังจากเขาตั้งใจแยกแยะก็พบว่า สิ่งที่ได้รับการดึงดูดไม่ใช่ร่างกายของตน แต่เป็นวังฝูงมังกร!
นี่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกหวั่นใจ ‘สิ่งที่ดึงดูดวังฝูงมังกร’
กระแสปั่นป่วนของมิติเวลากระเพื่อม แค่อึดใจเดียวทุกคนต่างกระจัดกระจายกันหมด
เยี่ยนจ้าวเกอหันกลับไปดูทิศทางที่โลงศพศิลาและตะเกียงประกายกาฬอยู่อีกครั้ง เห็นโจวฮ่าวเซิงพยายามเข้าใกล้ตะเกียงประกายกาฬ
ทว่าห้องเก็บศพเหมือนกับแยกออก กระจายไปในมิติ แม้แต่สุสานจักรพรรดิประกายกาฬที่อยู่รอบๆ ก็เหมือนกลายเป็นความว่างเปล่า
ด้านในมิติความมืด มีลำแสงมืดสลัวหลายสายพรั่งพรูขึ้นมาอีกครั้ง
ชายหนุ่มรู้ว่านี่เป็นเพราะความน่าอัศจรรย์ของสุสาน ซึ่งจักรพรรดิประกายกาฬอิ่นเทียนเซี่ยสร้างให้กับตัวเอง จึงสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระหว่างมิติได้
บางครั้งก็ดูเหมือนกับสุสานขนาดยักษ์ที่สร้างจากวัสดุที่มีรูปร่างจับต้องได้ แต่บางครั้งสุสานทั้งสุสานก็ยังสามารถเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ตัวตนได้อีก
สามารถสับเปลี่ยนกลับไปกลับมาระหว่างสองอย่างได้ ตัวควบคุมการเปลี่ยนแปลงบางทีอาจจะอยู่ที่ตะเกียงประกายกาฬนั่นก็ได้
โจวฮ่าวเซิงกับร่างความมืดสถิตที่อยู่ข้างเขา ยังพยายามเข้าใกล้ตะเกียงประกายกาฬอย่างต่อเนื่อง
เยี่ยนจ้าวเกอตั้งท่าร่างของตน แต่ว่าแค่เห็นการเปลี่ยนแปลงของมิติตรงหน้า ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ด้านในมิติแต่ละมิติ ความเร็วของเวลาก็ดูเหมือนจะแตกต่างกัน มีทั้งช้าทั้งเร็วเช่นกัน
นี่ทำให้กระแสปั่นป่วนของมิติเวลาที่อยู่ด้านหน้าสับสนกว่าเดิม เกิดเป็นความรู้สึกบิดเบี้ยวที่ซับซ้อน
เยี่ยนจ้าวเกอเรียกวังฝูงมังกรออกมา วังขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่กลางกระแสปั่นป่วนของมิติเวลา จู่ๆ ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
การสั่นไหวของวังฝูงมังกรในครั้งนี้รุนแรงเป็นพิเศษ เหมือนพร้อมถล่มได้ตลอดเวลา
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้น ก็ไม่ได้สะกดความคุมการเปลี่ยนแปลงของวังฝูงมังกร กลับเฝ้าดูอย่างสงบ ปล่อยให้วังฝูงมังกรเคลื่อนไหวเอง
ในความมืดมัว เหมือนกับมีอะไรบางอย่างกำลังเกาะเกี่ยววังฝูงมังกรให้พุ่งไปยังส่วนลึกของมิติทีละน้อย
ด้านหน้าพลันมีประกายแสงสว่างวาบขึ้น ลำแสงหลายสายและฝุ่นละอองลวงตารวมตัวกันด้านในประกายแสง
ตัวตนที่ว่างเปล่าเริ่มกลับเป็นของแข็ง สุสานจักรพรรดิประกายกาฬค่อยๆ โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง
พื้นดินท่านของเยี่ยนจ้าวเกอจับตัวกันใหม่ มีกำแพงแนวหนึ่งโผล่ขึ้นมารอบๆ
ตรงหน้าคือประตูศิลาที่ปิดอยู่บานหนึ่ง
เขาหมุนตัวไปมอง ทว่าเห็นแต่สีดำสนิท มองไม่เห็นพวกโจวฮ่าวเซิง และมองไม่เห็นตะเกียงประกายกาฬ
‘หลังจากจริงปลอมสับเปลี่ยน คนที่กระจัดกระจายไปอยู่คนละมิติก็ไปโผล่ในสถานที่ที่แตกต่างกันกันในสุสานหรือ?’ เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้ว ‘แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ดูเหมือนจะส่งผลต่อมิติด้านนอกสุสาน ทำให้ผนึกพิทักษ์ของสุสานจักรพรรดิทั้งหมดทำงานขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะเป็นการพาคนของสำนักแสงสว่างเข้ามาหรือไม่?’
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้าเล็กน้อย เขารู้ดีว่าคิดไปก็ไร้ประโยชน์ พุ่งความสนใจไปอยู่บนประตูศิลาตรงหน้าอีกครั้ง
หลังจากวังฝูงมังกรหดเล็กลง ก็ติดแน่นอยู่บนประตูศิลา และสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง
ส่วนประตูศิลาที่ปิดอยู่นั้น ยามนี้ถึงกับเริ่มขยับ
ชายหนุ่มจ้องมองประตูศิลา เห็นบนผิวประตูมีเส้นสายมากมายนูนขึ้นมา และเปล่งแสงเจ็ดสี
แสงเจ็ดสีนี้รวมกับประกายแสงที่มืดสลัวในสุสานมังกรกลายเป็นหนึ่งเดียว แยกจากกันไม่ออก
แต่ต่างฝ่ายต่างแฝงจิตของหลักการที่แตกต่างกัน เทียบกับแสงสว่างมืดสลัวที่กระจายอยู่ทั่วสุสานจักรพรรดิประกายกาฬแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกคุ้นเคยกับแสงเจ็ดสีนี้มากกว่า
เมื่อเห็นแสงสว่างนี้ และเห็นลวดลายอาคมอันลี้ลับบนผิวประตูศิลาอีกครั้ง เยี่ยนจ้าวเกอก็พึมพำกับตัวเอง “เป็นโบราณสถานของวังเทพจริงๆ ด้วย”
ประตูศิลานี้เกี่ยวข้องกับวังเทพบนสวรรค์ก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ในอดีต
วังฝูงมังกรของเยี่ยนจ้าวเกอใช้ศพของฝูงมังกรหลอมสร้าง โครงสร้างในตอนแรก คือนิ้วเก้ามังกร อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นต่ำชิ้นหนึ่ง
แต่ว่าแกนหลักที่อยู่ใจกลางของตัววัง รวมถึงเสาค้ำ ล้วนเป็นซากโบราณสถานของวังเทพในอดีตทั้งสิ้น
ประตูศิลาที่ปิดแน่นตรงหน้านี้ เป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับเสาระเบียงและคานของวังเทพ
เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสกับจิตของหลักการที่อยู่ด้านในอย่างละเอียด พลางเอื้อมมือออกมากดบนผิวประตูศิลา
ภาพตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไปมากมาย เงาร่างของคนจำนวนมากแวบขึ้นมาเหมือนกับโคมม้าวิ่งที่บันทึกภาพประวัติศาสตร์ไว้
ภาพที่หยุดลงในตอนสุดท้าย เป็นบุรุษที่มีรูปร่างใหญ่โต สวมอาภรณ์สีดำ ทับด้วยเสื้อคลุมสีขาว ผมดำคิ้วขาวผู้หนึ่ง นั่งหลับตาอยู่กลางความว่างเปล่า
เศษซากของสิ่งก่อสร้างจำนวนมากลอยขึ้นกลางอากาศ รวมกันรอบตัวเขา ค่อยๆ ประกอบกันเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ เหมือนวังและแท่นบูชา
‘นี่คือภาพการสร้างสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ หลังจากจักรพรรดิประกายกาฬสวรรคตแล้ว’ ม่านตาของเยี่ยนจ้าวเกอหดตัวลง ‘นั่นคือ…’
ภาพที่เขาเห็น คือประตูใหญ่ที่มีหยกขาวเป็นส่วนประกอบบานหนึ่ง รวมถึงศพของอิ่นเทียนเซี่ย ที่ถูกผนึกไว้ตรงใจกลางสุสานจักรพรรดิ
วัตถุดิบอื่นๆ เริ่มประกอบกันเป็นสุสานยักษ์ที่ยิ่งใหญ่อย่างเช่นตอนนี้ โดยมีสองสิ่งนี้เป็นศูนย์กลาง
ภาพตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอกลับเป็นดังเดิม ขณะมองประตูศิลาที่ปิดสนิทนั้น ชายหนุ่มก็พูดในใจว่า ‘ประตูหยกขาวนั้นคือเป้าหมายแรกของท่านหรือ? เช่นนั้นตอนนี้เกิดอะไรขึ้นอีกกัน?’
ขณะทำความเข้าใจ เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกได้ว่า ด้านหลังของประตูศิลาน่าจะเป็นมิติต่างแดนมิติหนึ่ง
หลังจากขบคิดอยู่สักพัก เยี่ยนจ้าวเกอก็พาดมืออีกข้างไว้บนวังฝูงมังกร
เฟิงอวิ๋นเซิง อาหู่ พ่านพ่าน และร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกต่างกระโดดออกมาจากด้านใน วังฝูงมังกรค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่าง กลายเป็นมังกรแสงตัวหนึ่ง
บนผิวของมังกรแสงตัวนี้มีแสงเจ็ดสีที่เหมือนกับประตูสว่างวาบเช่นกัน
ภายใต้การบังคับของเยี่ยนจ้าวเกอ มังกรแสงเริ่มรวมเข้ากับประตูยักษ์
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ในตอนที่ประตูศิลาซึ่งปิดสนิทขยับเล็กน้อย ทางเดินของสุสานพลันสั่นไหวขึ้นอีกครั้ง
แสงสว่างที่มืดสลัวสว่างเจิดจ้าขึ้นมาพร้อมกัน เยี่ยนจ้าวเกอตกใจ ‘นี่คือมีคนแตะตะเกียงประกายกาฬอีกแล้วหรือ?’
วินาทีถัดมา ประกายแสงก็หายไปทั้งหมด ความมืดไร้ขอบเขตเข้าปกคลุม
สุสานจักรพรรดิประกายกาฬกลายเป็นความว่างเปล่าอีกครั้ง เปลี่ยนเป็นมิติที่สับสน
เยี่ยนจ้าวเกอให้พวกเฟิงอวิ๋นเซิงอยู่ชิดกับประตูศิลา ประตูศิลาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด
ภายใต้การโคจรเคล็ดวิชาในคัมภีร์นภาไร้ขีดจำกัด ความมืดเบื้องหน้าต้านทานสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ไหว เขามองไปรอบๆ แล้วพลันเห็นว่าห่างออกไปไม่ไกล ตะเกียงไฟดวงหนึ่งยังคงตั้งอยู่บนโลงศพศิลาที่ถูกเปิด ลอยอยู่ในกระแสปั่นป่วนของมิติเวลา
ด้านในมิติความมืด มีธารแสงมืดสลัวหลายสายพรั่งพรูขึ้นมาอีกครั้ง
และบริเวณที่อยู่ใกล้โลงศพศิลาก็มีสองยอดฝีมือกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด!
คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีขาว บังคับความมืดไร้ขอบเขต
คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีดำ ขณะเคลื่อนไหวมีประกายแสงสาดออกมาทุกทิศ
คนหนึ่งคือโจวฮ่าวเซิงเจ้าสำนักความมืด อีกคนกลับเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเขา หลัวจื้อเทาเจ้าสำนักแสงสว่าง!
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น การเปลี่ยนแปลงก่อนหน้ายังไม่สามารถทำให้พวกเขาข้ามผนึกที่อยู่รอบนอก เข้ามาในสุสานจักรพรรดิได้
แต่หลัวจื้อเทาผู้นี้เป็นยอดฝีมือสำนักแสงสว่าง และมีของวิเศษที่ได้รับสืบทอดมาค่อนข้างมากเช่นกัน
สุดท้ายตะเกียงประกายกาฬทำให้สุสานเปลี่ยนแปลง กลับมอบประโยชน์ให้กับพวกเขา
ความได้เปรียบจากการนำหน้าของสำนักความมืดถูกลบออกไปมากกว่าครึ่ง
โจวฮ่าวเซิงสีนหน้าสงบนิ่ง ตอนแรกเขาไม่คิดจะแตะตะเกียงประกายกาฬ เฝ้ารออย่างอดทน แต่สุดท้ายพวกหลัวจื้อเทาไล่ตามมาถึง บอกได้แค่ว่า สำนักแสงสว่างกับสำนักความมืดถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องรบรากัน
อย่างน้อยในตอนนี้ ตะเกียงประกายกาฬก็ถูกเขาหลอมไปแล้วส่วนหนึ่ง เขายังคงนำหน้าอยู่ครึ่งก้าว!
หลัวจื้อเทาสบตาโจวฮ่าวเซิง ไม่คิดกล่าววาจา ลงมือทันที
ในวินาทีนี้ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอเพ่งตากวาดมองรอบๆ เห็นในมิติที่กระจัดกระจายอยู่ทั่ว ยอดฝีมือสำนักความมืดกับยอดฝีมือสำนักแสงสว่าง ต่างกำลังดิ้นรนออกจากกระแสปั่นป่วนของมิติ เข้าใกล้ตะเกียงประกายกาฬ
………………..