ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 780.1 กระบี่พิฆาตสิบสี่
อู๋ซวงเจี้ยงถูกกักอยู่ในค่ายกลกระบี่ ทั้งเป็นนกในกรง แล้วก็ทั้งอยู่ในพื้นที่ไร้อาคมที่สามารถควบคุมผู้ฝึกลมปราณได้มากที่สุด คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะจัดวางค่ายกลเป็นด้วย ก่อนหน้านี้ร่วมมือกับใบหลิวท่อนนั้นของเจียงซ่างเจิน สามารถชิงโอกาสลงมือก่อนจากผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งได้ ทำให้อู๋ซวงเจี้ยงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
หมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่งที่ปล่อยประชิดตัวจากด้านหลัง หมัดและเท้าล้วนเหมือนการโจมตีของกระบี่บิน ไม่ว่าจะสำหรับผู้ฝึกตนบนยอดเขาคนใด น้ำหนักก็ล้วนถือว่าไม่เบาเลย
ระดับความแข็งแกร่งทนทานของเรือนกายผู้ฝึกลมปราณเป็นจุดอ่อนมาโดยตลอด เว้นเสียจากผสานมรรคากับฟ้าอำนวยดินอวยพรของขอบเขตสิบสี่ ถึงจะถือว่าเป็นการผลัดร่างเปลี่ยนกระดูกอย่างแท้จริง สามารถมองว่ามีชีวิตเป็นอมตะได้ เมื่อเทียบกันแล้ว ผสานมรรคากับคนสามัคคี ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นในด้านของพลังพิฆาตมากกว่า แสวงหาในจุดสูงสุด ก้าวเดินขึ้นไปบนบันไดก้าวใหญ่
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ระหว่างขอบเขตเก้าและขอบเขตสิบมีปราการธรรมชาติที่ยากจะข้ามผ่านได้กั้นขวางอยู่ ผู้ฝึกตนที่เดินขึ้นเขา ขอบเขตบินทะยานคิดจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่ก็ยิ่งยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์
อู๋ซวงเจี้ยงเก็บมือกระบี่ชุดเขียวที่ยืนคุมเชิงกับหนิงเหยามา ให้มายืนเคียงบ่ากับ ‘หนิงเหยา’ หนึ่งซ้ายหนึ่งขวายืนอยู่ข้างกายอู๋ซวงเจี้ยง อู๋ซวงเจี้ยงมอบกระบี่เซียนจำลองสี่เล่มให้กับพวกเขา ‘เฉินผิงอัน’ สะพายไท่ป๋าย ในมือถือว่านฝ่า ในกล่องกระบี่ของ ‘หนิงเหยา’ บรรจุเทียนเจิน ในมือถือเต้าจ้าง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับคำสั่งจากอู๋ซวงเจี้ยง พอหาโอกาสเจอก็จะทำลายฟ้าดินเล็กให้แหลกละเอียด อย่างน้อยที่สุดก็ต้องฝ่าพันธนาการฟ้าดินเล็กแห่งนี้ไปให้ได้
ส่วนค่ายกลกระบี่แห่งนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นอู๋ซวงเจี้ยงที่รับกระบี่ด้วยตัวเอง
เข้ามาอยู่ในดินแดนไร้อาคมแห่งหนึ่ง ทุกครั้งที่ร่ายวิชาอภินิหารก็ต้องถูกเผาผลาญปราณวิญญาณไป อู๋ซวงเจี้ยงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เพราะถึงอย่างไรการผสานมรรคาเหมือนอย่างป๋ายเหย่ที่ขอแค่ในใจมีบทกวีก็สามารถออกกระบี่ได้ไม่หยุด ก็น่าเหลือเชื่อเกินไป
กระบี่บินนับพันนับหมื่นเล่มกรูกันสาดยิงมาถึง
สองนิ้วของอู๋ซวงเจี้ยงประกบกันทำมุทรา ประหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนตระหง่าน ข้างกายมีดวงดาวมากมายลอยขึ้นมา เขาถึงกับเรียนรู้แล้วเอามาใช้ทันที คัดลอกภาพกลุ่มดาวของชุยตงซานมา กลุ่มดาวห้อมล้อม ระหว่างดาวแต่ละดวงมีเส้นใสผลุบๆ โผล่ๆ หลายเส้นคอยชักนำ ดวงดาวเคลื่อนโคจรอย่างเป็นระบบระเบียบ ปณิธานเปี่ยมล้น อู๋ซวงเจี้ยงใช้สองนิ้วชี้ไปที่ความว่างเปล่าอีกสองที ก็มีดวงตะวันจันทราเพิ่มมาสองดวง ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวจึงก่อเกิดเป็นวงโคจรที่ไม่ดับสลายนับแต่นี้ กลายมาเป็นค่ายกลใหญ่ที่ฟ้ากลมแผ่นดินเหลี่ยมแห่งหนึ่ง
กระบี่บินแน่นขนัดคล้ายผู้ฝึกกระบี่นับพันนับหมื่นคนจับมือกันขี่กระบี่เหยียบอากาศว่างเปล่าอยู่นอกฟ้า โจมตีอู๋ซวงเจี้ยงที่ราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มกระบี่บินนั้น
กระบี่บินโจมตีต่อเนื่องไม่ขาดสาย ดวงดาวมายาแต่ละดวงจึงพากันย่อยยับแตกสลาย ทว่าภายใต้การควบคุมของอู๋ซวงเจี้ยงก็กลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม อู๋ซวงเจี้ยงเงยหน้าขึ้น คงเพราะรู้สึกว่าไม่อาจสกัดขวางค่ายกลกระบี่นี้ไว้ได้ จึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง กลางฝ่ามือมีเมล็ดพันธ์ต้นไม้ดอกไม้กำใหญ่กองกันอยู่ เอียงฝ่ามือลง เมล็ดพันธ์ทั้งหลายก็หล่นลงมาจากฝ่ามือ ใต้ฝ่าเท้าของอู๋ซวงเจี้ยงและ ‘ข้ารับใช้ถือกระบี่’ สองคนมีลายริ้วสีเขียวมรกตชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา เมล็ดพันธ์พวกนั้นเหมือนหล่นลงน้ำ ส่งเสียงดังจ๋อมๆ ถึงกับสร้างริ้วคลื่นลมปราณกระเพื่อมเป็นวงสีทองวงแล้ววงเล่าอยู่ในสถานที่ไร้อาคมแห่งนี้ได้
เรื่องอย่างการสร้างฟ้าดินเล็กนี้ อู๋ซวงเจี้ยงทำได้ง่ายดายราวกับยกมือกวักเรียกก็มา มีต้นกุ้ยต้นหนึ่ง ดวงจันทร์กลมโตห้อยแขวนอยู่บนกิ่งกุ้ย ใต้ต้นไม้มีองค์เทพถือขวานทำท่าจามต้นกุ้ย นั่นคือทัศนียภาพของตำหนักดวงจันทร์ยุคบรรพกาล ต้นท้อต้นหนึ่ง บนกิ่งท้อแขวนว่าวกระดาษยันต์ไว้มากมาย แสงสีทองเอ่อท่วมท้น เป็นฝีมือของนักพรตบางคนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ ดอกบัวแต่ละดอกตั้งตระหง่านชูช่อ สูงต่ำไม่เท่ากัน ใหญ่เล็กมีความต่าง คือทิวทัศน์ในถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวา
หลังจากที่กระบี่บินทุกเล่มซึ่งจำแลงอยู่ในจันทร์ในบ่อแตกสลายไปก็มีตัวอักษรสีทองร้อยเรียงเป็นแถวยาวหยุดลอยอยู่ที่เดิม ล้วนเป็นตัวอักษรบนยันต์ที่ชุยตงซานเป็นผู้วาด บ้างก็เป็นบทกวีของอริยะปราชญ์ บ้างก็เป็นภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงของราชวงศ์ที่แตกต่างกัน บ้างก็เป็นภาพค้นภูเขาป๋ายเจ๋อที่รูปแบบแตกต่างกันไปในประวัติศาสตร์ ทุกครั้งที่กระบี่บินและยันต์บุกรุดไปเบื้องหน้าก็เหมือนกองทัพใหญ่ที่เหยียบย่ำเข้ามาในดินแดน ใช้ค่ายกลกระบี่เปิดทาง จากนั้นค่อยใช้ยันต์ปูเส้นทาง พุ่งชนฟ้าดินดวงดาวให้แหวกออกเป็นทางสายหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งไปอุดปะรูโหว่ระหว่างดอกบัวแต่ละดอก ส่วนกระดาษว่าวสีทองทุกชิ้นที่อยู่บนต้นท้อ หลังจากพลิ้วร่วงลงมาจากกิ่งไม้แล้วก็จะมีเรือนกายของนักพรตชุดเขียวที่ร่างล่องลอย ใบหน้าพร่าเลือนคนหนึ่ง ในมือถือแส้ปัดฝุ่นสีทองหนึ่งด้ามยืนลอยตัวอยู่กลางม่านฟ้า หนึ่งบุรุษสกัดขวางเป็นหน้าด่าน แส้ปัดฝุ่นกวาดหนึ่งทีก็สามารถหันปลายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนของแม่น้ำยาวค่ายกลกระบี่ให้พุ่งเข้าปะทะกับค่ายกลกระบี่ที่อยู่ด้านหลังได้แล้ว
บุรุษร่างกำยำที่อยู่ในท่าแม่ทัพเทพฟันต้นกุ้ยในตำหนักดวงจันทร์ผู้นั้นก็ยิ่งมีดวงตาเป็นสีทอง เส้นสายตาไล่มองไปทั่วสี่ทิศ แล้วก็จะคอยขว้างขวานในมือออกไปในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ไม่เพียงแต่ทำลายค่ายกลกระบี่ที่เป็นธารดวงดาวยิ่งใหญ่เกรียงไกรแต่ละแห่งให้แหลกเละ บางครั้งยังสามารถเปล่งวูบแล้วหายไป มองเมินการพันธนาการของค่ายกลกระบี่ไปได้อย่างสิ้นเชิง ตรงดิ่งเข้าหาร่างจริงของเฉินผิงอัน เฉินผิงอันค้นพบว่าแต่ละครั้งตนถึงกับหลบไม่พ้น จึงได้แต่เผยร่างกายธรรมที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสด ตัวสูงพันจั้ง ใช้ฝ่ามือตบขวานยักษ์นั้นให้แหลก
กระบี่บินมีมากเกินไปจริงๆ ค่ายกลกระบี่ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ลอยอยู่นอกฟ้าเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ประหนึ่งกองทัพใหญ่มารวมตัวกันตั้งท่าเตรียมพร้อมลงมือ อู๋ซวงเจี้ยงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเล่มหนึ่งในนั้นทำให้เฉินผิงอันยึดครองฟ้าอำนวยดินอวยพรไปได้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ว่าการบังคับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สอง เฉินผิงอันอยู่ในฟ้าดินเล็กบ้านตน แม้จะบอกว่าต้องเผาผลาญปราณวิญญาณไปมากเกิน แต่สำหรับความเสียหายที่สร้างให้กับจิงชี่เสินของผู้ฝึกตนคนหนึ่งย่อมไม่มีทางน้อยแน่นอน นี่หมายความว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงแต่อาศัยเรือนกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางเท่านั้น การฝึกตนบนภูเขา เรื่องของการขัดเกลาจิตแห่งมรรคาก็ไม่ได้ด้อยกว่าเช่นกัน ไม่อย่างนั้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งต้องบังคับกระบี่บินมากมายขนาดนี้ ป่านนี้ก็น่าจะเวียนหัวตาลายไปนานแล้ว
ขวานที่ฟันกิ่งกุ้ยเล่มนั้นพลังพิฆาตไม่มาก มีความมหัศจรรย์เพียงอย่างเดียวก็คือไม่เน้นในเรื่องพลังสังหาร เอาไว้ใช้ตามหาคนโดยเฉพาะ อันที่จริงคือยันต์ขวานหยกแผ่นหนึ่งที่อู๋ซวงเจี้ยงสร้างขึ้นมาเอง เป็นยันต์ใหญ่ที่ได้รับการยอมรับจากบนภูเขา ก็เหมือนมีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งอยู่ด้านในยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางแห่งขุนเขาสายน้ำ ยามที่อู๋ซวงเจี้ยงเข่นฆ่ากับคนอื่น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเช่นนี้ วิชาคาถาทุกบท แผ่นยันต์ทุกแผ่นล้วนหยุดแต่พอสมควร ‘ประหยัดมัธยัสถ์’ อย่างยิ่ง เต็มไปด้วยความหมายของการหยั่งเชิง ไม่เพียงแต่ตรวจสอบคาดคะเนความจริงอย่างแม่นยำ ที่ยากที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าเขาสามารถทำออกมาได้โดยไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เลย
อู๋ซวงเจี้ยงยืนอยู่บนใบบัวใบหนึ่งที่ใหญ่ราวกับนครแห่งหนึ่ง ฟ้าดินเล็กดวงดาวสูญเสียอาณาเขตไปแล้วเกือบครึ่ง เพียงแต่ว่าจุดศูนย์กลางค่ายกลใหญ่กลับยังสมบูรณ์แบบ ทว่าว่าวกระดาษต้นท้อนั้นถูกทำลายไปสิ้นแล้ว ดวงจันทร์บนต้นกุ้ยก็เริ่มหม่นแสง ใบบัวเกินครึ่งล้วนเอาไปใช้ชัดขวางค่ายกลกระบี่ จากนั้นค่อยถูกแม่น้ำกระบี่บินปั่นคว้านจนเละไปทีละใบ ท่ามกลางม่านฟ้า บทความตัวอักษรสีทองของอริยะปราชญ์แต่ละยุคสมัย ห้าขุนเขาตั้งตระหง่าน ภาพค้นภูเขาแต่ละภาพได้ยึดครองม่านฟ้าไปเกินครึ่งแล้ว
อู๋ซวงเจี้ยงไม่กังวลกับเรื่องนี้ อาศัยแค่ค่ายกลกระบี่และดินแดนไร้อาคมแห่งหนึ่ง คิดจะให้ลมปราณของเขาแห้งขอด หรือให้เขาปล่อยสมบัติอาคมออกมาจนหมดสิ้น อีกฝ่ายยังคิดเพ้อฝันเกินไปหน่อย
อู๋ซวงเจี้ยงยื่นมือข้างหนึ่งออกมา เก็บเอากระบี่จำลองไท่ป๋ายกลับมาจากด้านหลังของมือกระบี่ชุดเขียว ชั่งน้ำหนักเล็กน้อย ปณิธานกระบี่ยังเบาเกินไป
ครั้งนี้ได้ประลองวิชาคาถากับคนเหล่านั้น ต่างฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ ต่างฝ่ายต่างก็มอบความไม่คาดฝันให้อีกฝ่าย
พวกชุยตงซานสร้างฟ้าดินเล็กสะสมทับซ้อน อู๋ซวงเจี้ยงอาศัยโอกาสนี้ปรับปณิธานกระบี่ที่อยู่ในกระบี่จำลองสองเล่มอย่างเทียนเจินและไท่ป๋ายให้สมบูรณ์แบบ ขอแค่ได้ผลประโยชน์แม้เพียงเศษเสี้ยว ก็ล้วนถือเป็นผลเก็บเกี่ยวมหาศาลที่มิอาจประเมินค่าได้
ป๋ายเหย่ก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เหมือนกันไม่ใช่หรือ
เวทกระบี่ของป๋ายเหย่เป็นอย่างไร?
ศึกที่ฝูเหยาทวีป ศึกที่ลำน้ำใหญ่เมืองหลวงแห่งที่สองของแจกันสมบัติทวีป ทุกวันนี้ได้ถูกผู้ฝึกตนบนยอดเขามองเป็นจุดหักเหสองจุดใหญ่บนและล่างภูเขาของสงครามใหญ่ครั้งนั้นไปแล้ว
แม้ว่าอู๋ซวงเจี้ยงจะติดอยู่ในกับดักลึก อยู่ในค่ายกลกระบี่แห่งหนึ่งที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม จิตสังหารแฝงอยู่ทั่วทุกหนแห่ง แต่กระนั้นเขาก็ยังคงแบ่งดวงจิตสองส่วนออกมาว่ายวนอยู่ในถ้ำสถิตของฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์สองแห่ง ใช้เวทคัดลอกลายบนภูเขามาวาดม้วนภาพสองภาพ ก็คือภาพกลุ่มดาวของชุยตงซานและภาพค้นภูเขาตำราไท่ผิงของเจียงซ่างเจิน ฟ้าดินในม้วนภาพจะหยุดนิ่งอยู่ในชั่วเวลาหนึ่ง ประหนึ่งว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดลง ณ ตรงจุดนั้น อู๋ซวงเจี้ยงแบ่งสมาธิมาท่องเที่ยวอยู่ภายใน ภาพแรกนั้นหยุดอยู่ตรงด้านล่างกลุ่มดาวดวงที่เจ็ดทางทิศใต้ที่ชุยตงซานปรากฎตัว ใต้ฝ่าเท้าคือดาวเจิ่น เป็นช่วงเวลาที่ชุยตงซานเพิ่งจะใช้นิ้ววาดยันต์เขียนหกอักษรว่า ‘อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู’ เสร็จ ต่อจากนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชุดดำและเทพหญิงชุดเหลืองต่างก็ถือตัวอักษรไว้ในมือคนละหนึ่งตัว
อู๋ซวงเจี้ยงมายืนอยู่บนรถสวรรค์ที่ออกลาดตระเวนคันนั้น ยืนอยู่ข้างกายของขุนนางสวรรค์ชุดเหลืองคนหนึ่ง มองดูนางถือประคองอักษร ‘ซวง’ แบบโบราณไว้กลางฝ่ามือ อู๋ซวงเจี้ยงจมสู่ภวังค์ความคิด ความคิดแล่นอย่างว่องไว เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นเล่นตุกติกกับเรื่องโชคชะตาของตนอย่างนั้นหรือ? เจิ่นเป็นทั้งชื่อของดวงดาว และในการอธิบายตัวอักษรก็มีความหมายถึงความเศร้าโศกเสียใจ ในบท ‘เสวียนชือ’ ก็มีคำกล่าวที่ว่า ‘ลำดับของฤดูกาลทั้งสี่นั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการหมุนเวียนของฤดูกาลนั้นเป็นกฎของมัน’ ชุยตงซานเลือกจะใช้ดาวเจิ่นเป็นสถานที่ปรากฎกาย ต้องไม่ใช่การกระทำที่เป็นไปตามอำเภอใจอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าหากคิดจะอาศัยโชคชะตาฟ้าอำนวยแค่นี้มาเชื่อมโยงกับชะตาชีวิต คิดจะทำลายตบะและโชคชะตาคนสามัคคีของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง จะเป็นมดแดงที่คิดเขย่าต้นไม้เกินไปหน่อยหรือไม่? ซิ่วหู่ชุยฉานไม่มีทางคิดอ่านตื้นเขินเช่นนี้แน่นอน
อู๋ซวงเจี้ยงทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ดวงจิตเมล็ดงากลายร่างเป็นเรือนกายที่พลันทิ้งดิ่งลงมา ไม่รู้ว่ากี่พันกี่หมื่นลี้ มายืนอยู่ตรงตำแหน่งของชุยตงซานก่อนหน้านี้ อู๋ซวงเจี้ยงเงยหน้ามองไป ดูจากการแบ่งของบรรยากาศฟ้าและหลักเกณฑ์ดิน ใต้ฝ่าเท้าก็คือเส้นแบ่งเขตของดาวหนิวและดาวโต้วสองดวง ดวงดาวที่อยู่ข้างกันบนฟ้าก็คือดาวอี้และดาวเจิ่น อู๋ซวงเจี้ยงยืนอยู่จุดที่ห่างไปไกล เนิ่นนานก็ยังไม่ยอมขยับเท้า คล้ายกับว่ามีเบาะแสอยู่เล็กน้อย แต่กลับยากที่จะคว้าจับปลายเส้นนั้นขึ้นมาได้
ในถ้ำสถิตแห่งอื่น ดวงจิตเมล็ดงาอีกดวงหนึ่งของอู๋ซวงเจี้ยงยืนอยู่ข้างกายทูตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยักษ์ที่เท้าเหยียบอยู่บนภูเขา ในมือถือคันฉ่องกักมารตนนั้น หลังจากที่ม้วนภาพหยุดนิ่ง แสงกระจกก็เหมือนกระบี่บินที่สร้างรุ้งยาวสีขาวแข็งตัวเส้นหนึ่งลอยค้างอยู่กลางอากาศ หลังจากที่อู๋ซวงเจี้ยงคัดลอกคันฉ่องกักมารที่หายสาบสูญไปนานเสร็จแล้วก็ขยับเส้นสายตาออกไป ขยับเท้าเดินไปข้างกายของสตรีสวมเข็มขัดสีสันสดใสที่บนศีรษะมีสี่ใบหน้าคนนั้น มายืนอยู่บนเข็มขัดสีที่ใหญ่ราวกับลำธาร ก้มหน้าลงมองขุนเขาสายน้ำ
สำหรับผู้ฝึกตนที่มีขอบเขตอย่างพวกเขาแล้ว อะไรคือหมัดต่อยขุนเขาสายน้ำ พลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร อะไรคือสมบัติอาคมโจมตีมืดฟ้ามัวดิน ล้วนเป็นแค่วิถีเล็กๆ อย่างหนึ่งเท่านั้น
ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเซียนเหรินทั่วไปคนหนึ่งหรือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตเก้า หากได้มาอยู่ในการเข่นฆ่าครั้งนี้ก็ไม่มีโอกาสได้ลงมือเลยแม้แต่น้อย หรือควรจะพูดว่าลงมือไปก็ไร้ความหมายใดๆ
อู๋ซวงเจี้ยงขมวดคิ้วน้อยๆ โบกชายแขนเสื้อเบาๆ ปัดให้พันหมื่นภูเขาสูญเสียสีสันไปเกินครึ่ง ม้วนภาพลงสีเปลี่ยนมาเป็นภาพลายเส้นขาวดำ หลังจากที่โบกชายแขนเสื้อผลัดเปลี่ยนสีสันของภูเขาสายน้ำอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็เหลือไว้แค่ภูเขาสูงที่รากภูเขามั่นคงหลายลูก อู๋ซวงเจี้ยงมองอย่างละเอียด เจียงซ่างเจินแอบเล่นตุกติกจริงดังคาด เขากวาดร่องรอยส่วนใหญ่ทิ้งไป หลงเหลือไว้แค่ตัวของภูเขา ขณะเดียวกันก็หลอมภูเขาเป็นตราประทับ เหมือนตราประทับเปลือยที่ยังไม่ได้แกะสลักตัวอักษรลงไป อู๋ซวงเจี้ยงหัวเราะเสียงเย็น พลิกหมุนฝ่ามือคว่ำกลับหัวภูเขาทุกลูกที่เหลืออยู่ เจ้าตัวดี ภูเขาสองลูกในนั้นร่องรอยบางเบามาก สลักตัวอักษรแต่ไม่ใช้อักษรตัวใหญ่ที่เห็นได้ชัด อันตรายอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ตัวอักษรเป็นแบบบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวัน ยังร่ายเวทอำพรางตาไว้อีกหนึ่งชั้น หลังถูกอู๋ซวงเจี้ยงลบทิ้งไปก็เหมือนหินที่ผุดหลังจากน้ำลด แยกกันสลักเป็นคำว่า ‘ตำหนักสุ้ยฉู’ และ ‘อู๋ซวงเจี้ยง’
อู๋ซวงเจี้ยงถอนม้วนภาพค่ายกลค้นภูเขาออก สองมือเอื้อมคว้าประคองภูเขาสองลูกไว้บนฝ่ามือ ประหนึ่งถือหินประดับตกแต่งขนาดจิ๋วสองชิ้น จากนั้นจึงผสานดวงจิตในภาพดวงดาวรวมเป็นหนึ่ง แล้วโบกชายแขนเสื้อสลายดวงดาวที่เกินความจำเป็นทิ้งไป ย้ายภูเขาเปลี่ยนที่แล้วปล่อยภูเขาลงอีกครั้ง โบกมือเบาๆ ภูเขาเล็กจิ๋วสองลูกในมือก็ตั้งตระหง่านอยู่ในภาพค่ายกล จากนั้นอู๋ซวงเจี้ยงก็ยกมือจำแลงแม่น้ำเส้นหนึ่งขึ้นมา แล้วสร้างศาลาขึ้นอีกสองแห่ง เมื่ออู๋ซวงเจี้ยงใช้นิ้วแทนพู่กัน เขียนกรอบป้ายสองป้ายด้วยคำว่ากดนทีและตักขจี รากภูเขาและเส้นสายน้ำในบริเวณใกล้เคียงก็คล้ายถูกเซียนเหรินแต้มนัยน์ตามังกร พลันมีชีวิตขึ้นมา ทันใดนั้นแสงสนธยาเรืองรองก็สาดส่อง สกุณาโบยบิน ผืนน้ำฤดูใบไม้ร่วงผสานกับขอบฟ้า ทัศนียภาพงามจับตา ไม่เพียงเท่านี้ จิตของอู๋ซวงเจี้ยงขยับไหว สุดท้ายริมตลิ่งของแม่น้ำใหญ่ยังมีหอเรือนโอ่อ่าประดับประดาด้วยกระเบื้องแก้วใสสีเขียวมรกตแห่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าซิ่วหู่เลียนแบบผลงานของซูจื่อ เปลี่ยนตัวอักษรในกรอบป้ายสีทองให้กลายมาเป็นสามคำว่าหอกว้านเชวี่ย อู๋ซวงเจี้ยงก้าวออกไปหนึ่งก้าวมาหยุดอยู่ด้านล่างของขั้นบันไดหอเรือน เงยหน้าขึ้นมองไปก็เห็นว่ามีบุรุษเรือนกายพร่าเลือนคนหนึ่งยืนอยู่ คล้ายบุตรจักรพรรดิในหอเรือนที่กล่าวถึงในตำรา
ภาพดวงดาวบนฟ้า ค่ายกลค้นภูเขาบนพื้น
นั่นก็แสดงว่าต้องเป็นค่ายกลซานไฉ (คำเรียกรวมสามสิ่งคือฟ้า ดินและมนุษย์) ที่ฟ้าดินและคนรวมตัวกันครบถ้วนหรือ?
แล้วก็จริงดังคาด ก่อความเคลื่อนไหวมากมายขนาดนี้ ย่อมไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ต้องการทับซ้อนฟ้าดินที่มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยสีสันงดงามอย่างแน่นอน แต่เป็นซุกซ่อนความลี้ลับบางอย่างฝังเลื่อมอยู่ในตาค่ายกลของกันและกันบนตำแหน่งสำคัญบางอย่างของฟ้าดินเล็กสามแห่ง
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มอย่างรู้ทัน ค่ายกลนี้ไม่ธรรมดา จุดที่น่าสนใจที่สุดยังคงเป็น ‘คน’ ของซานไฉที่รวมฟ้าดินคนให้ครบถ้วน คนที่ว่านั้นก็คือตนนั่นเอง เกือบจะหลงกลเสียแล้ว เงามืดใต้โคมไฟโดยแท้
หากปล่อยให้สามคนนั้นไล่ตามเส้นสายนี้มา แล้วใช้เวทอำพรางตาซึ่งมีสารพัดวิธีไม่จบสิ้น สะสมข้อได้เปรียบทีละเล็กทีละน้อย ไม่แน่ว่าอู๋ซวงเจี้ยงอาจถูกผีบังตาอยู่ในนี้จริงๆ ก็เป็นได้ จากนั้นก็จะถูกถลกหนังดึงเส้นเอ็น ขัดเกลาตบะไปเยอะมาก
มิน่าเล่าเจียวน้ำที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแสงกระจกก่อนหน้านี้ถึงได้ถูกอำพรางเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่งของเจียงซ่างเจิน น่าเสียดายที่หลังจากถูกอู๋ซวงเจี้ยงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ มันจึงพยายามจะกัดชุดคลุมอาคมให้ขาดแต่กลับไม่เป็นผล ไม่อย่างนั้นหากถูกมันดูดเลือดไปแม้เพียงหยดเดียว คาดว่าบุตรจักรพรรดิในหอเรือนที่อยู่ใน ‘หอกว้านเชวี่ย’ แห่งนี้คงจะมีรูปโฉมที่ชัดเจนกว่าเดิมมาก และรูปโฉมก็จะใกล้เคียงกับตัวอู๋ซวงเจี้ยงเองมากขึ้น คนหนุ่มสามคนของใต้หล้าไพศาลนี้ใช้ทุกความพยายามทั้งหมดที่มีเพื่อให้บรรลุผลสูงสุด กล้าคิดกันจริงๆ แล้วก็ยิ่งกล้าทำเสียด้วย
ซิ่วหู่แห่งไพศาลครึ่งตัว เจ้าสำนักแห่งสำนักกุยหยกที่กอบกู้สถานการณ์ที่กำลังจะล้มลงของใบถงทวีป กับอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่
สมคำเล่าลือจริงๆ
ตนขึ้นชื่อว่าถือโอกาสชนะตอนที่ยังมีเวลา ซ้อมคนอื่นก็ยิ่งลงมือแต่เนิ่นๆ
บนเส้นทางการฝึกตน พอเจอกับเด็กรุ่นหลังคนใดที่พอจะมีอนาคตทั้งยังถูกชะตา ตนเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องขี้เหนียวน้ำลายไม่กี่หยด รีบให้คำแนะนำสองสามประโยค วันหน้าดื่มเหล้าก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มแล้ว
นักพรตซุนของอารามเสวียนตูพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อนก็จริง แต่ก็เคยเอ่ยประโยคสำคัญอยู่หลายประโยคเช่นกัน
——