ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 888 ร่างของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสิบ ขั้นมนุษย์เซียน
- Home
- ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี
- บทที่ 888 ร่างของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสิบ ขั้นมนุษย์เซียน
สงครามระหว่างเขตตะวันอาคเนย์กับเขตเพลิงทักษิณในครั้งนี้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะอยู่ที่ตัวประมุขอาคเนย์เฉาเจี๋ยกับประมุขทักษิณจวงเซิน
ทว่าสัญญาณมากมายก่อนหน้านั้นได้แสดงให้เห็นว่า จักพรรดิเอกภพกำเนิดที่ยืนอยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะสอดมือเข้ามาในเรื่องนี้
ดังนั้นประมุขทักษิณจวงเซินกับเขตเพลิงทักษิณ จึงมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ก่อให้เกิดสงครามระหว่างสองเขตแดน
และถ้าหากประมุขอาคเนย์เฉาเจี๋ยถูกจักรพรรดิเอกภพกำเนิดสะกดไว้ ไม่อาจเข้าร่วมการต่อสู้ได้ เช่นนั้นเขตตะวันอาคเนย์ก็ไร้ผู้คนป้องกันประมุขทักษิณจวงเซิน
หากยึดตามสถานการณ์ใหญ่โดยรวม กลับไม่เป็นผลดีต่อเขตตะวันอาคเนย์ และเยี่ยนจ้าวเกอกับเขากว่างเฉิงที่อยู่ในทะเลหวงเจียเท่าใดนัก
นี่ไม่ส่งผลต่อการมาข่มเหงถึงสำนักของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง และการเอาคืนอย่างดุดันของเยี่ยนจ้าวเกอและเขากว่างเฉิง
แต่หลังจากทราบถึงปัญหาทางราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็จำเป็นต้องพิจารณาการคุกคามที่อาจจะมาถึง
การศึกษาหาวิธีทำลายบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ เป็นเรื่องหนึ่งในนั้น
การทำลายบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ ไม่ได้เป็นการตัดทางลอยขึ้นมาของจอมยุทธ์จากโลกเบื้องล่าง
เพียงแต่ว่าเป็นการตัดทางไม่ให้จอมยุทธ์ที่ยังมีระดับไม่ถึงจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ อาศัยสิ่งของวิเศษบางอย่างมายังโลกซ้อนโลก
ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการตัดเส้นทางที่ยอดฝีมือในโลกซ้อนโลกจะใช้ลงไปยังโลกเบื้องล่างด้วย
คนไร้ความกังวลไกลย่อมมีความกังวลใกล้ ถ้าหากว่าเขตเพลิงทักษิณได้ชัย ยึดครองทะเลหวงเจียสำเร็จ เช่นนั้นขณะที่เขากว่างเฉิงบนโลกซ้อนโลกต้องย้ายที่ทาง บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ในดินแดนจิตคุณธรรมก็จะเกิดปัญหาเช่นกัน
บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์บนดินแดนหลวนเซียงซึ่งเชื่อมไปยังโลกผืนสมุทรยังพอทำเนา ถึงอย่างไรโลกผืนสมุทรก็ไม่ได้เชื่อมกับโลกแปดพิภพโดยตรง
ทว่าบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ที่ดินแดนจิตคุณธรรมกลับเชื่อมไปยังโลกแปดพิภพโดยตรง
เขากว่างเฉิงบนโลกซ้อนโลกหากย้ายที่อยู่ จะต้องไม่ทิ้งที่นี่เหลือไว้ให้ศัตรู
แน่นอนว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีการเตรียมการสองอย่าง นอกจากจะศึกษาวิธีการผนึกบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์แล้ว เขาก็กำลังรวบรวมวัตถุดิบเพื่อเร่งสร้างของวิเศษประเภทหยกข้ามสวรรค์อยู่
เพียงแต่ว่าของวิเศษชนิดนี้หายาก อีกทั้งยังมีปริมาณที่ต้องการยังสูง ดังนั้นจึงเกิดช่องว่างใหญ่ยิ่ง
เพราะว่าหยวนเจิ้งเฟิงไปที่เขตแดน เขากว่างเฉิงเองก็จับตาดูสงครามทางเขตแดนอยู่ในระดับสูง ข่าวจึงถูกส่งกลับมาเร็วมาก
เพียงแต่ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอได้รับข่าว ภาพของฟ้าดินตรงหน้าก็พลันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเลือนราง
การหมุนเวียนของปราณวิญญาณระหว่างฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เกิดสภาวะสับสนอลหม่านขึ้น
เยี่ยนจ้าวเกอออกจากห้องสงบใจที่ตนอยู่ ยืนมองเขตแดนของเขตตะวันอาคเนย์กับเขตเพลิงทักษิณที่อยู่ทางตะวันตกของเขากว่างเฉิง
ท้องฟ้าทางทิศเหนือถึงกับเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง
คลื่นความร้อนรุนแรงพุ่งมาปะทะหน้าไม่หยุดยั้ง
อาหู่ที่อยู่ด้านข้างปั้นสีหน้าเคร่งเครียด “คุณชาย ประมุขทักษิณเข่นฆ่ามาถึงเร็วขนาดนี้เลยหรือ”
เยี่ยนจ้าวเกอมองทิศตะวันตก “ไม่ใช่ เขาเพิ่งจะถึงชายแดน แต่ว่าครั้งนี้ประมุขทักษิณจวงเซินออกโรงด้วยตัวเองจริงๆ แล้ว”
ชายร่างกำยำอ้าปากตาค้าง “แม้ว่าพวกเราจะอยู่ห่างจากชายแดนไม่ไกล แต่ว่าถึงอย่างไรก็ยังมีดินแดนเพิงหินโม่กับดินแดนสุทธทัศน์คั่นอยู่ พวกเรายังมองเห็นการเคลื่อนไหวถึงเขตแดนของเขาได้อีกหรือนี่”
“ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นเจ้าว่าจะเป็นอย่างไร” เยี่ยนจ้าวเกอตอบอย่างไม่นำพา “จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสิบ เป็นประมุขในหมู่คน ไม่ใช่เป็นการกล่าวมั่วซั่ว แต่เป็นตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมนุษยชาติ ก้าวข้ามการขวางกั้นระหว่างมนุษย์กับเซียน ปีนขึ้นสู่ระดับเซียน”
“เช่นนั้นไฉนจึงเรียกประมุขเล่า”
อาหู่เกาศีรษะ หดคอโดยสัญชาตญาณ
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็หัวเราะขึ้น “ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ จะเรียกยอดฝีมือที่เลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสิบว่ามนุษย์เซียน หรือไม่ก็เซียนปลอม หมายความว่าขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะเป็นเซียนที่แท้จริง”
“ในการฝึกปรือของพวกเราจอมยุทธ์ ถ้าได้ทลายนภาเห็นเทวะสำแดง หลอมจุดลมปราณเป็นเทวะ ยิ่งมีจุดลมปราณกลายเป็นเทวะและประสานเสียงกับดวงดาวในจักรวาลที่แท้จริงมากเท่าไร ก็ยิ่งมีพลังแข็งแกร่ง มีระดับสูงส่งมากเท่านั้น”
“เมื่อสูงส่งถึงระดับหนึ่ง หลังจากเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด ก็นับว่าพอจะเห็นเงาของประตูเซียนได้จุดหนึ่ง ก้าวขึ้นสู่สะพานเซียน ดังนั้นจึงเรียกว่าเป็นขั้นสะพานเซียน”
ชายหนุ่มชี้ท้องฟ้าที่กลายเป็นสีแดงเพลิงทางทิศตะวันตก “ส่วนระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสิบ คือระดับโดยสมบูรณ์ที่แท้จริง บ่งชี้ว่าจอมยุทธ์ได้หลอมจุดลมปราณทั้งหมดของตัวเองให้กลายเป็นเทวะ ประสานเสียงกับดวงดาวทั้งหมด พอถึงขั้นนี้ จักรวาลในร่างของจอมยุทธ์ก็แทบจะไม่ต่างจากจักรวาลที่แท้จริง”
ในระดับหนึ่ง ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสิบก็เทียบได้กับยืนอยู่ปลายสุดของสะพานเซียน ตรงหน้าคือประตูเซียน
หากผลักประตูนี้ออกได้ ก็จะสามารถตัดคำว่า ‘มนุษย์’ ที่อยู่ด้านหน้าคำว่ามนุษย์เซียนออกได้
ขณะมองอาหู่ที่เริ่มเข้าใจ เยี่ยนจ้าวเกอก็กล่าวต่ออีกว่า “จุดลมปราณทั้งหมดกลายเป็นเทวะ ประสานเสียงกับดวงดาว จักรวาลในร่างแทบจะกลายเป็นของจริงโดยสมบูรณ์ มอบการเปลี่ยนแปลงชนิดเปลี่ยนกระดูกผลัดเส้นเอ็นให้แก่จอมยุทธ์ นี่ความจริงแล้วเป็นการเตรียมตัวสำหรับการผลักประตูเซียน”
แม้ว่าจะยังมีจุดลมปราณจุดหนึ่งที่ไม่ได้หลอมกลายเป็นเทวะ แต่ก็มีความแตกต่างด้านคุณสมบัติกับการเปลี่ยนทั้งหมดกลายเป็นเทวะ ดังนั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้ากับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสิบจึงแตกต่างกันมาก
มีความแตกต่างมากกว่าปรมาจารย์ขั้นเก้ากับปรมาจารย์ขั้นสิบ และมหาปรมาจารย์ขั้นเก้ากับมหาปรมาจารย์ขั้นสิบ
ด้านบนคือเซียน ด้านล่างคือมนุษย์ ดังนั้นจึงเรียกว่ามนุษย์เซียน
คำกล่าวที่ว่าประมุขในหมู่คน ก็ได้มาจากสาเหตุนี้เอง
เยี่ยนจ้าวเกอว่า “ร่างกายมนุษย์มีจุดลมปราณที่เร้นลับมากมาย คิดจะประสานเสียงกับดวงดาวจึงเป็นเรื่องยากลำบากยิ่ง ดังนั้นยิ่งฝึกฝนไปถึงด้านหลังเท่าไรก็ยิ่งลำบากมากเท่านั้น มียอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า ขั้นสะพานเซียนระยะท้ายอยู่จำนวนหนึ่งที่ขาดแค่จุดลมปราณไม่กี่จุดที่ยังไม่ได้หลอม แต่ว่าจุดลมปราณเหล่านี้มักจะอยู่ห่างกันราวฟ้ากับเหว ยากดุจปีนป่ายสวรรค์ก็ไม่ปาน”
อาหู่ถามอย่างเคร่งเครียด “คุณชาย เช่นนั้นจะเกิดเรื่องขึ้นกับท่านเจ้าสำนักคนเก่าหรือไม่”
เยี่ยนจ้าวเกอขยับตัวมุ่งหน้าไปยังวิหารหลักของสำนักบนยอดเขานภากาศ เดินไปพลาง พูดไปพลางว่า “เรื่องย่อมไม่เกิด ราชากระบี่ภูผาเงากับยอดฝีมือในเขตตะวันอาคเนย์ที่เหลือน่าจะตัดสินใจถอนทัพ ขอแค่ท่านอาจารย์ปู่ผละมาพร้อมกับทุกคน ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
คนสนิทเริ่มคลายใจ “คุณชาย ในนี้ใช่มีความลับอะไรหรือไม่?”
ชายหนุ่มแตะนิ้วกับริมฝีปาก “ประมุขอาคเนย์จวงเซินฝึกฝนม้วนคัมภีร์ร่างหงส์อมตะ แข็งแกร่งนั้นแข็งแกร่งจริงๆ แต่ก็มีข้อจำกัดมากมาย”
“เนินต้นจักรพรรดิไม่มีเคล็ดวิชาเมฆาคุณธรรม ยังไม่ต้องพูดถึง”
“ประมุขทักษิณใช้คลื่นบุญบารมีได้หรือไม่ข้าเองยังไม่แน่ใจ ถ้าหากใช้ได้ เช่นนั้นเขาก็ต้องควบคุมตัวเองไม่ให้ทำเรื่องอาศัยแข็งแกร่งข่มเหงอ่อนแอ”
“เขาฝึกฝนปราณขาวกุศลซ่อน พลังชีวิตของตัวเองจะต้องไม่อาบรังสีฆ่าฟันตลอดเวลา แต่ในทางกลับกัน สำหรับคนอื่นแล้ว เขาจำเป็นต้องไว้หน้า ไม่อาจฆ่าฟันจนหมดสิ้น”
ครั้นพูดถึงตรงนี้ เขาก็เบะปากเล็กน้อย “แน่นอนว่าไม่ใช่จะทำไม่ได้จริงๆ เพียงแต่ไม่ส่งผลอะไรต่อการฝึกปรือของตัวเอง หากทำเยอะก็อาจจะเกิดอันตราย เป็นเหตุให้พลังฝึกปรือหยุดชะงักหรือถอยหลัง นอกจานี้การพัฒนาในวันหน้าจะยังลำบากด้วย”
“ส่วนท้ายที่สุดแล้วจะทำเรื่องที่ขัดต่อห้าจริยะหรือไม่ จะทำมากน้อยเท่าใด ทำถึงขั้นไหน ต้องให้ตัวผู้ฝึกวัดระดับตัดสินใจเอง”
อาหู่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “ถ้าหากราชากระบี่ภูผาเงากับท่านเจ้าสำนักคนอื่นไม่ใช่ถอยร่นเพราะไม่คิดสู้ตาย แต่ต้องการประมือกับประมุขทักษิณจนถึงที่สุด เช่นนั้นประมุขทักษิณก็ไม่อาจลงมือโดยอำมหิตได้”
เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอไปถึงประตูวิหารหลักบนยอดเขานภากาศ เขาก็หันหน้าไปมองทางตะวันตก
เส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันตกกลายเป็นสีแดงเพลิงโดยสมบูรณ์ ทั้งยังลามมาด้านนี้อย่างรวดเร็ว
เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “สำหรับข้าแล้ว เขาลงมือได้แน่”
………………..