ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 933 เซียนจริงแท้ไร้ช่องโหว่
ทวนพระอังคารไม่จำเป็นต้องจงใจแสดงพลัง เพราะเพียงแค่ปรากฏตัวก็กลายเป็นจุดศูนย์กลางของบริเวณรอบๆ ทันที
ทุกคนบ้างยำเกรง บ้างสนใจ ต่างแลมองพิจารณา
เพียงแต่เมื่อพวกเขาเลื่อนสายตาไป ก็รู้สึกเหมือนกับอีกฝ่ายกำลังจับจ้องตนอยู่
ถึงจะอยู่ใต้การคุ้มครองของประมุขปฐวีหรือเรือนภาบัวแดง ทว่าทุกคนก็รู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วร่าง อวัยวะภายในเหมือนมอดไหม้ คล้ายอยู่ในนรกเพลิงผลาญก็ไม่ปาน
คนส่วนใหญ่ความจริงล้วนรู้สึกประหลาดใจ
แม้ว่ากษัตริย์ดินและกษัตริย์เร้นลับในสามกษัตริย์ ซึ่งเป็นยอดฝีมือผู้สูงส่งบนโลกซ้อนโลก จะเคยเป็นราชันพระเสาร์กับราชันพระเกตุในเก้านพเคราะห์เมื่อครั้งอดีต แต่ฉายาเก้านพเคราะห์ที่แล้วมาเป็นเรื่องเล่าขาน ช่างดูแปลกหน้าและอยู่ห่างไปไกลแสนไกล
ทุกคนเคยชินกับโครงสร้างอันสูงส่งของสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิ แต่บัดนี้กลับเกิดยอดฝีมือที่เทียบได้กับจักรพรรดิคนหนึ่ง ย่อมทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจเป็นธรรมดา
และสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ นี่ไม่ใช่ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ผลักเปิดประตูเซียน แต่เป็นอาวุธชิ้นหนึ่ง!
อาวุธที่มีความรู้สึกนึกคิด และเคลื่อนไหวได้เองชิ้นหนึ่ง
แต่อาวุธชิ้นนี้กลับเป็นอาวุธของราชันพระอังคาร หนึ่งในเก้านพเคราะห์
ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจ และเปี่ยมไปด้วยสีสัน
สายธารประวัติศาสตร์ที่ค่อยๆ เงียบงันลง สุดท้ายก็เหมือละอองคลื่นที่พลิกขึ้นมาอีกครั้ง
และยอดฝีมือที่โผล่มาอย่างกะทันหันผู้นี้ กลับนัดสู้กับจักรพรรดิแพรงาม ก่อเกิดเป็นการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือระดับจักรพรรดิที่ไม่เคยปรากฏมานานกว่าพันปี
นี่ไม่ใช่เพียงการแลกเปลี่ยนกระบวนท่าเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสงครามที่ใช้ดาบจริงหอกแท้ มันจึงย่อมดึงดูดสายตาของคนบนโลกซ้อนโลก
ในตอนนี้ทวนพระอังคารมาถึงแล้ว ทุกคนต่างเริ่มคาดหวังให้อีกฝ่ายที่นัดสู้มาถึงด้วยเช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอประสานมือคารวะเถาอวี้ด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้ข้าได้มาสัมผัสเรื่องยิ่งใหญ่ด้วยตัวเอง รู้สึกโชคดียิ่ง ขอขอบคุณความใจกว้างของพรรคท่านมา ณ ที่นี้ด้วย”
“ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในสถานบำเพ็ญหลีเฮิ่นน้อย ข้ายังไม่ได้พบจักรพรรดิแพร รู้สึกเสียดายมาโดยตลอด หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ถ้าหากจักรพรรดิแพรมีเวลาว่าง หวังว่าจะได้ไปคารวะสักครั้งตามความตั้งใจของข้า รบกวนเทพธิดาเป็นผู้ส่งต่อแล้ว”
ว่าแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็บอกลาและลงเรือนภาบัวแดงทันที
เถาอวี้มองเงาหลังของเยี่ยนจ้าวเกอ จากนั้นก็มองทวนพระอังคารที่อยู่ห่างออกไป สุดท้ายได้แต่ถอนใจอย่างอับจนหนทาง
เยี่ยนจ้าวเกอพอลงเรือก็เห็นว่าห่างออกไปมีเงาคนสายหนึ่งปรากฏขึ้น และเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
เป็นฟู่ถิงนั่นเอง
หลังจากไปคารวะประมุข และทราบว่าคนจากยอดเขาอัศจรรย์ที่นำกลุ่มมาควบคุมสถานการณ์ของจักรพรรดิแพรในครั้งนี้เป็นเถาอวี้ นางก็จิตใจเต้นระทึก
ตามมารยาทแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอในเมื่อมาถึง ย่อมต้องไปคารวะคนจากยอดเขาอัศจรรย์ที่เป็นผู้ดูแล
พอคำนวณเวลาดู เยี่ยนจ้าวเกอสมควรขึ้นเรือไปแล้ว ฟู่ถิงต่อให้คิดจะห้ามปรามก็ไม่ทันกาล
หลังจากนางเข้าใกล้เรือนภาบัวแดงแล้ว นางก็หยุดเดิน
พอเห็นเยี่ยนจ้าวเกอลงมาจากเรือนภาบัวแดง นางถึงค่อยก้าวเท้าอีกครั้ง
ไม่ใช่เพราะนางต้องการให้เยี่ยนจ้าวเกอเผชิญกับเถาอวี้คนเดียว ตรงกันข้าม เยี่ยนจ้าวเกอหากเข้าพบเถาอวี้คนเดียว เรื่องราวยังคงมีพื้นที่ให้หลบเลี่ยง เถาอวี้สามารถหาโอกาสทอดบันไดให้ลง
สำหรับอาจารย์อาผู้นี้ของตน ความจริงฟู่ถิงมีความรู้สึกซับซ้อนเช่นกัน แน่นอนว่านางรู้จักนิสัยของเถาอวี้เป็นอย่างดี
ถ้าหากฟู่ถิงอยู่ด้วย เถาอวี้อาจจะดื้อรั้นถึงที่สุด
เยี่ยนจ้าวเกอเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของฟู่ถิง เขาก็พลันเข้าใจ กล่าวในใจว่า ‘เป็นคนหลักแหลมคนหนึ่ง’
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นัก ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณชายเยี่ยนโปรดให้อภัยด้วย” ฟู่ถิงพอพบหน้าก็พิจารณาเยี่ยนจ้าวเกออย่างละเอียด ครันเห็นท่าทีชายหนุ่มคล้ายไม่เหมือนคนที่โดนเล่นงานมา นางก็ผ่อนลมหายใจ
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร เทพธิดาสสารกำเนิดไม่ใช่คนไม่รู้จักหนักเบา”
“เมื่อครู่ข้าเห็นศิษย์พี่มู่จากเขาโถงทอง คุณชายเยี่ยนต้องการไปสบทบกับเขาหรือไม่” ฟู่ถิงเอ่ยถาม
“กำลังคิดเช่นนี้อยู่พอดี” เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ
ฟู่ถิงประสานมือคารวะเขา จากนั้นก็ขึ้นเรือนภาบัวแดงไป
ไม่ว่าจะต้องรับมือกับเถาอวี้หรือไม่ การต่อสู้ที่กำลังจะเริ่มขึ้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของคนจากยอดเขาอัศจรรย์
เยี่ยนจ้าวเกอเหาะไปบนกลีบดอกบัวแดงกลีบหนึ่ง มู่จวินกำลังมองเขาพร้อมกับยิ้มกว้าง พอเห็นเขามาถึง อีกฝ่ายก็ชูนิ้วโป้ง “จ้าวเกอเป็นคนไม่ธรรมดาจริงๆ ทุกคนล้วนกล่าวกันว่าศิษย์น้องฟู่แห่งยอดเขาอัศจรรย์เป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในยุคใหม่ของโลกซ้อนโลก เหนือกว่าอัจฉริยะในอัจฉริยะ สูงส่งกว่าบุคคลที่ร้ายกาจในบุคคลที่ร้ายกาจ”
“แต่ดูจากวันนี้ เกรงว่าจ้าวเกอจะเหนือกว่าศิษย์น้องฟู่แล้ว”
“เต๋าเปรียบได้กับทะเลไร้ชายฝั่ง ต้องค่อยๆ เสาะหา” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หลังจากเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ถามขึ้นว่า “ท่านมู่ ก่อนหน้านี้ประมุขประจิมเข้าฌาน ตอนนี้เขาออกฌานแล้ว อีกทั้งยังสมรู้ร่วมคิด ร่วมมือกันกับประมุขทักษิณ ไม่ทราบประมุขอาคเนย์รับมืออีกฝ่ายได้หรือไม่”
ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างประมุขประจิมกับจักรพรรดิแพรก็เป็นมิตรเช่นกัน
หากคิดจะเกลี้ยกล่อมไม่ให้จักรพรรดิแพรสู้กับจักรพรรดิเอกภพกำเนิด ไม่สนับสนุนประมุขทักษิณ เช่นนั้นก็หยุดคิดได้เลย
แต่ในทางตรงกันข้าม หากเขาร่วมมือกับประมุขทักษิณจวงเซิน รับมือกับประมุขอาคเนย์เฉาเจี๋ย จักรพรรดิแพรก็ไม่อาจฝืนสะกดได้เช่นกัน
“ตอนนี้ยังยากจะบอก หากผ่านไปสักระยะ สถานการณ์น่าจะชัดเจนขึ้น” คำกลาวของมู่จวินระมัดระวังยิ่ง ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ทั่วทั้งเขาโถงทองในตอนนี้กำลังวางแผนอยู่ ยากจะคาดถึงผลลัพธ์
โชคดีที่ในตอนนี้จักรพรรดิเอกภพกำเนิดไม่ได้อยู่บนโลกซ้อนโลก และจักรพรรดิแพรงามกลับมาเพราะนัดสู้กับทวนพระอังคารพอดี ทำให้ประมุขทักษิณจวงเซินไม่กล้าวู่วามชั่วคราว
หากประมุขประจิมสู้กับประมุขอาคเนย์เฉาเจี๋ยเพียงฝ่ายเดียว จะไม่ได้รับความได้เปรียบใดๆ
คนทั้งสองทางหนึ่งคุย ทางหนึ่งรอคอยการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงอย่างสงบ
แต่หลังจากเวลาผ่านไป จักรพรรดิแพรงามก็ยังคงไม่ปรากฏตัว บรรยากาศรอบๆ จึงคล้ายผนึกแข็งขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
‘ผู้อาวุโสท่านนี้คงไม่ได้มีธุระ มาตามนัดไม่ได้อีกกระมัง’ เยี่ยนจ้าวเกออดคร่ำครวญไม่ได้
พวกผู้สืบทอดจากยอดเขาอัศจรรย์อย่างฟู่ถิงและเถาอวี้ที่อยู่บนเรือนภาบัวแดง ย่อมเป็นกังวลที่สุด
ครู่ต่อมา ทวนพระอังคารที่รออย่างสงบนิ่งมาโดยตลอดก็พลันโพล่งขึ้นว่า “ถึงเวลาแล้ว”
ฟู่ถิงกับเถาอวี้ต่างมีใบหน้าขื่นขม
ชายชราผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากในโลกรูปทรงรี ที่กะพริบแสงสีเหลืองเข้มซึ่งอยู่ไกลออกไป
เขามีผมสีขาวโพลน องคาพยพเต็มไปด้วยริ้วรอย ดูชราภาพยิ่ง
แต่พอเขาเผยตัวตร ก็มีลมปราณที่เหมือนกับมังกรดินหลายสายซัดโหมกระจัดกระจาย แผ่ไปทั่วมิติ
กลับเป็นประมุขปฐวี หนึ่งในประมุขทั้งสิบของโลกซ้อนโลก ผู้คุมเขตมหานภากลาง
หน้าตาของคนผู้นี้ดูธรรมดา แต่พลังกลับเหนือกว่าพวกประมุขอาคเนย์เฉาเจี๋ย และประมุขทักษิณจวงเซิน!
เขาคือลูกศิษย์ที่กษัตริย์ดินถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง เมื่อพูดถึงวัยวุฒิและคุณวุฒิแล้ว เขานับว่าเป็นคนที่มีอยู่จำนวนน้อยนิดบนโลกซ้อนโลก
เพียงแต่ว่าเมื่อเผชิญกับทวนพระอังคารในตอนนี้ เขากลับไม่แสดงบารมีออกมา
มู่จวินทอดสายตามองไปไกล ก่อนจะถอนใจเสียงเบา “ผู้เป็นจักรพรรดิไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้”
“นั่นย่อมแน่นนอน ไม่เช่นนั้นจะเรียกว่าเซียนจริงแท้ไร้ช่องโหว่ได้อย่างไร” เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าสงบนิ่ง
จอมยุทธ์เมื่อได้ผลักเปิดประตูเซียน ก้าวสู่ระดับเซียน มวลมนุษย์ก็ไม่อาจแตะต้องได้อีก
เมื่อข้ามผ่านภัยพิบัติเซียน ทั่วทั้งล่างจะสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ ดังนั้นจึงเรียกว่าเซียนจริงแท้ไร้ช่องโหว่
คำว่าไร้ช่องโหว่ ความจริงหมายถึงสรรพสิ่งในโลกไม่อาจทำอันตรายเขาได้อีก
ในความเป็นจริงแล้วสามารถทำได้ เพราะทุกสิ่งในโลกยากจะทำร้าย ดังนั้นจึงเรียกเป็นเซียน
จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับประมุข ร่างมนุษย์เซียน แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ก้าวข้ามการขวางกั้นระหว่างมนุษย์กับเซียน
สถานการณ์ของหลงเสวี่ยจี้มีตัวอย่างให้เห็นน้อยยิ่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ก็คือ จักรพรรดิคนหนึ่งสามารถบดขยี้การร่วมมือกันของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับประมุขได้!
………………..