ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 1 บัณฑิตตกอับ (1)
รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบหก สุยอวิ๋นประสงค์สอบเคอจวี่ ออกจากเจียงเซี่ยตามใจปรารถนา มุ่งหน้าสู่เจี้ยนเย่
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
หนานฉู่ รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบหก แผ่นดินตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน ทว่าสถานการณ์กระจ่างชัดขึ้นมากแล้ว หนานฉู่ได้ครอบครองแผ่นดินส่วนใหญ่ทางตอนใต้ของแม่น้ำฉางเจียง แผ่นดินเหนือแม่น้ำกลายเป็นใต้หล้าของต้ายง เจียงเซี่ยกลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับป้องกันการโจมตีของต้ายง และจวนเจิ้นหย่วนโหว[1] กลายเป็นกองกำลังสำคัญในการปกปักษ์เจียงเซี่ย ด้วยเหตุนี้จึงมีการป้องกันแน่นหนาอยู่ตลอด
ตัวข้าในฐานะอาจารย์ แม้ตำแหน่งไม่ต่ำต้อย ทว่ายังต้องก้มหน้าฟังคำสั่งอย่างว่าง่าย เพียรซ่อนตัวอยู่ในห้องหนังสือ พยายามไม่ออกไปด้านนอก หลีกเลี่ยงมิให้ตนหาเรื่องใส่ตัว
ข้าพลิกตำราพลางคำนวณว่ายามใดจึงจะได้ทานข้าว ช่วยไม่ได้ เจิ้นหย่วนโหวลู่ซิ่นเป็นขุนนางฝ่ายการทหารที่สำคัญผู้หนึ่ง ตามกฏประเพณีของหนานฉู่ ครอบครัวเขาล้วนต้องรั้งอยู่ที่เจี้ยนเย่ มีเพียงลู่ช่านวัยสิบห้าผู้ครองตำแหน่งซือจื่อ[2] ผู้เดียวที่ลู่ซิ่นมอบตำแหน่งองครักษ์ให้เขาหมายรั้งไว้ข้างกาย ซึ่งราชสำนักก็อนุญาต
แม้ลู่ช่านติดตามเล่าเรียนอักษรกับข้า ทว่าลูกหลานตระกูลแม่ทัพย่อมต้องศึกษาการทหารด้วยเช่นกัน วันนี้คือวันที่ลู่ซิ่น แม่ทัพใหญ่แห่งเจียงเซี่ยเรียกประชุมทหาร ในฐานะที่ลู่ช่านเป็นองครักษ์ย่อมถูกพาไปฟังด้วย ข้าทำได้เพียงรอเขาอยู่ในห้องหนังสือ เดิมทีนัดหมายไว้แล้วว่าจะทานอาหารด้วยกัน ไม่นึกว่าเลยยามเที่ยงไปแล้ว การประชุมทางการทหารในวันนี้ก็ยังไม่จบ มิหนำซ้ำผู้ที่เข้าร่วมการประชุมทั้งหมดล้วนมิได้ทานอาหาร หากข้าที่เป็นเพียงอาจารย์ตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งวิ่งไปกินข้าวเสียเอง ยามเมื่อลู่ช่านกลับมาจะต้องริษยาจนตะโกนโวยวายเป็นแน่ จากนั้นก็จะหาโอกาสลอบวางแผนร้ายใส่ข้า เช่นนั้นให้ข้ารอทานพร้อมเขาเถิด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ท้องอันแบนราบของข้าก็ส่งเสียงถอนใจออกมาอย่างปลงอนิจจัง
ท่านว่าเหตุใดสองพ่อลูกจึงได้แตกต่างกันเพียงนั้น ลู่ซิ่นเปิดเผยใจกว้าง ลู่ช่านกลับชอบคิดเล็กคิดน้อย คราวที่แล้วเขาถูกท่านโหวลู่ทำโทษ ข้าแอบยิ้มอย่างอดไม่อยู่ ไม่ทันไรก็ถูกเขาพบ วันต่อมาก็หลอกให้ข้าออกไปเดินผ่อนคลายข้างนอก กล่าวว่าข้าไว้ทุกข์มาสามปีแล้วอันใดนั่น สมควรออกไปเดินเล่นเสียหน่อย ผลกลับกลายเป็นว่าหลอกข้าไปยังหอเยียนเยว่ หากมิใช่ว่าข้ามีไหวพริบว่องไว คงถูกฉุดไปเป็นครั้งแรกแล้วกระมัง
ข้าคิดฟุ้งซ่านพลางพลิกตำราอย่างเบื่อหน่าย เฮ้อ แม้ห้องหนังสือของจวนเจิ้นหย่วนโหวจะไม่เลว ทว่าสามปีมานี้ คล้ายว่าข้าจะอ่านหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ถึงอย่างไรก็เป็นตระกูลแม่ทัพ ส่วนใหญ่จึงเป็นตำราที่พบหาได้ง่าย ข้าเดาว่าคงให้ร้านขายตำราส่งตำราทั้งหมดมาให้กระมัง มิเช่นนั้นเหตุใดจึงมีกระทั่งปฏิทินโหราศาสตร์ แต่กลับไม่มีของล้ำค่าแท้จริง
ขณะที่ข้ากำลังคำนวณเวลาจากเงาอาทิตย์อยู่ที่นั่น ลู่จงองครักษ์ของลู่ช่านก็เดินเข้ามา กล่าวกับข้าว่า การประชุมทหารเสร็จสิ้นแล้ว ลู่ซิ่นเชิญผู้ใต้บังคับบัญชาไปเฉลิมฉลอง ให้ลู่ช่านติดตามไปด้วย บอกว่าข้าไม่ต้องรอแล้ว
ข้าตอบกลับไปอย่างยินดี ลงมือรับประทานอย่างตะกละตะกลามโดยมิสนใจว่าอาหารเย็นชืดหมดแล้ว
ขณะกำลังกินอย่างเบิกบานใจ จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายระลอกหนึ่งดังแว่วมาจากห้องโถงด้านหน้า แรกเริ่มข้ายังมิใคร่ใส่ใจ ทว่าภายหลังเสียงกลับดังยิ่งขึ้น ได้ยินเพียงเสียงตะโกนว่า “จับมือสังหาร จับมือสังหาร” ดังสะท้านจนหูแทบหนวก
ข้าใจสั่น แย่แล้ว มีมือสังหารมาที่นี่ แปดเก้าส่วนย่อมหมายลอบสังหารเจิ้นหย่วนโหวเป็นแน่ ยามนี้เขาคือภูผาที่พึ่งพิงของข้า มิอาจถูกฆ่าตายไปเช่นนี้ได้
ข้ารู้ว่าตนไม่มีความสามารถปกป้องคุ้มครองเจิ้นหย่วนโหว ซ่อนตัวไว้ย่อมเป็นการดี ทว่าในใจยังรู้สึกไม่สงบ จึงหยิบหน้าไม้อันประณีตลงมาจากชั้นหนังสือ
นี่คือหน้าไม้ที่กรมโยธาธิการแห่งหนานฉู่ตั้งใจสร้างขึ้นมา ยิงไกลถึงระยะร้อยก้าว ยิงต่อเนื่องได้ถึงห้าดอก เดิมที นี่คือของขวัญที่ลู่ซิ่นมอบให้ลู่ช่าน ทว่าลู่ช่านมิชอบที่หน้าไม้ไม่เปิดเผยตรงไปตรงมา จึงไม่อยากใช้ กลับยกผลประโยชน์ให้ข้าแทน ผู้ใดใช้ให้ข้าไม่เป็นวรยุทธ์เล่า ดังนั้นย่อมใช้ธนูไม่เป็นแน่นอน หน้าไม้นี่จึงเป็นของที่ข้ารักที่สุด
เมื่อขึ้นลูกดอกเรียบร้อยแล้วจึงแย้มหน้าต่างมองออกไปด้านนอก ห้องหนังสือที่ข้าอยู่มิได้ห่างจากห้องโถงด้านหน้าเพียงนั้น พบว่าด้านนอกมีคมดาบคมหอกมากมายดั่งไพรวัน ทหารอาภรณ์แดงกองใหญ่กำลังล้อมมือสังหารชายวัยฉกรรจ์สองคนที่อยู่ในชุดข้ารับใช้ ไม่ทันไรข้าก็เห็นเจิ้นหย่วนโหวลู่ซิ่นวิ่งมาพร้อมทหารหัวหน้ากอง มีผ้าขาวพันรอบแขนขวา โลหิตซึมออกมา แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของลู่ผิง ผู้เป็นองครักษ์คนสนิทที่มักอยู่ข้างกายเขา
ลู่ซิ่นใบหน้าขาวซีด มีลู่ช่านช่วยพยุงอยู่ด้านขวาด้วยสีหน้าเดือดดาลยิ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้น ข้าจึงคาดเดาไปว่ามือสังหารสองคนนั้นต้องแฝงตัวเข้ามาในจวนโหวเป็นแน่ ดูจากเหตุการณ์แล้ว คงปลอมตัวเป็นบ่าวยกอาหารยามลู่ซิ่นเลี้ยงฉลองกับผู้ใต้บังคับบัญชา จากนั้นจึงลงมือสังหารโดยมิให้ตั้งตัว ในแปดส่วน ข้าเดาว่าลู่ผิงคงพยายามทำหน้าที่อย่างจงรักแล้ว
ข้ามองดูอย่างออกรส พบว่าจู่ๆ มือสังหารทั้งสองก็มองหน้าส่งสัญญาณให้กัน ก่อนควักลูกกลมๆ สีดำออกมาจากสาบเสื้อสองลูกแล้วเขวี้ยงลงพื้น พลันมีควันสีขาวพวยพุ่ง พริบตาเดียวก็ปกคลุมพื้นที่ว่างในรัศมีสิบกว่าจั้ง[3] ขณะนั้นเอง ข้าพบว่านายทหารชั้นสูงในอาภรณ์ผู้ช่วยแม่ทัพนายหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากลู่โหวมีประกายโหดเหี้ยมวาบผ่านดวงตา มีดสั้นเล่มหนึ่งไหลจากชายแขนเสื้อสู่มือของเขา ข้ารู้ดีแก่ใจว่าสถานการณ์ย่ำแย่จึงรีบตะโกนบอก “ท่านโหว ระวังขอรับ”
ข้าตะโกนพลางยิงลูกดอกออกไปลูกหนึ่ง เสียงกรีดร้องอันน่าอนาถดังขึ้น กระทั่งกลุ่มควันสลายตัว ทุกคนที่ยังตกใจรีบมองไป มือสังหารทั้งสองยังคงถูกล้อมอยู่ตรงกลาง ด้านหลังลู่โหว นายทหารชั้นสูงผู้หนึ่งล้มอยู่บนพื้น มีลูกดอกปักอยู่บริเวณหัวใจ ในมือของเขายังคงกำมีดเล่มหนึ่งไว้แน่น คมมีดสะท้อนแสงสีฟ้า ทั้งยังอยู่ห่างจากลู่โหวไม่ถึงครึ่งก้าว สถานการณ์เช่นนี้ กระทั่งคนตาบอดก็ยังรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เห็นได้ว่ามือสังหารทั้งสองยากจะฝ่าออกไปได้ สุดท้ายจึงสู้จนตัวตาย หลังลู่โหวสั่งการหัวหน้ากองเสร็จก็เรียกข้าไปยังโถงพยัคฆ์ขาว ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาใช้จัดการเรื่องทางการทหาร
เขามองข้าด้วยสีหน้าซับซ้อนก่อนจะเอ่ยปาก “สุยอวิ๋น ขอบใจมากที่ช่วยชีวิตข้าไว้”
ข้ากล่าวตอบอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว “ล้วนเป็นเพราะท่านโหวมากบารมี มากคุณธรรม จึงรอดพ้นแผนร้ายของผู้ทรยศไปได้ ผู้น้อยเพียงโชคดีเท่านั้นขอรับ”
ลู่โหวเอ่ยถามอย่างสงสัย “สุยอวิ๋น รู้ได้อย่างไรว่าคนผู้นั้นจะสังหารข้า” นี่เป็นปัญหาที่เขาขบคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
รู้ได้อย่างไรหรือ แน่นอนว่าเพราะข้ามองเห็น แต่ข้ามิอาจกล่าวเช่นนี้ได้ นี่คือสิ่งวิเศษคุ้มกายข้า สัมผัสทั้งหกของข้าแตกต่างจากคนปกติมาตั้งแต่กำเนิด กล่าวคือ หูข้าสามารถได้ยินเสียงใบไม้ร่วง บุบผาปลิว ภายในระยะร้อยก้าว สายตาข้ามองเห็นในระยะหลายลี้[4] การรับรสของข้า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ขอเพียงปนเปื้อนเข้ามา ข้าจะแยกแยะได้ชัดเจน การได้กลิ่นของข้า ขอเพียงมีกลิ่นเล็กน้อย ข้าก็สามารถติดตามคนผู้นั้นได้ในระยะแปดลี้ สิบลี้
บางครั้งข้ายังสงสัยว่าตนเป็นมนุษย์หรือไม่ แต่ข้าทราบดี หากปล่อยให้ผู้อื่นรู้เรื่องพวกนั้น คงยากจะเลี่ยงความอิจฉาริษยาของผู้คน
ท่านเองก็คงไม่อยากให้มีคนแอบฟังเรื่องส่วนตัวของท่านหรอกกระมัง เพื่อเก็บไว้เป็นอาวุธป้องกันกาย ข้าจึงไม่เคยบอกเรื่องนี้แก่ผู้ใด นอกจากบิดามารดาที่ตายไปแล้วของข้าก็ไม่มีผู้ใดรู้อีก ดังนั้นข้าจึงกล่าวเท็จไปว่า “กล่าวไปแล้วก็บังเอิญยิ่ง เดิมทีผู้น้อยหยิบหน้าไม้ไว้ป้องกันตัว เมื่อเห็นมือสังหารสองคนนั้นใช้ควันออกมา ข้าก็อดแปลกใจมิได้ คิดไปคิดมา ไม่ว่ามือสังหารสองคนนั้นจะมีความสามารถเช่นไร ในสถานการณ์นี้ย่อมยากจะหนีพ้น การที่พวกเขาใช้ควันคงเพราะคิดสร้างโอกาสให้ผู้อื่นเป็นแน่ ดังนั้นผู้น้อยจึงคิดว่า ต้องมีมือสังหารคนอื่นซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ ท่านโหวแน่นอน ข้าร้อนใจไปชั่วขณะจึงตะโกนออกไป จำได้ว่าตอนแรกด้านหลังใต้เท้าไม่มีผู้อื่น หากมือสังหารต้องการลอบสังหารท่านย่อมต้องลงมือบริเวณนั้น ข้าจึงยิงลูกดอกไปมั่วๆ โชคดีที่ท่านโหวมากบารมีจึงฆ่ามือสังหารได้สำเร็จ”
ลู่ซิ่นผงกศีรษะอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แล้วให้ข้าออกไป
หลังจากนั้น ข้าได้ยินว่าผู้คิดสังหารลู่ซิ่นเป็นมือสังหารชาวต้ายง พวกเขาซื้อชุดผู้ช่วยทหารระดับสูง คิดสังหารเจิ้นหย่วนโหว จากนั้นจึงฉวยโอกาสเข้าโจมตียามที่เจียงเซี่ยเป็นมังกรไร้หัว ผู้ใดจะทราบว่าแผนการอันรัดกุมของมือสังหารกลับล้มเหลว ดังนั้นทัพใหญ่ของพวกเขาจึงต้องถอยกลับไป
หลังเรื่องนี้ ลู่ซิ่นเห็นว่าข้าฉลาดเฉลียวมากไหวพริบ จึงคิดให้ข้าเข้าไปเป็นกุนซือ(ที่ปรึกษา)ของเขา ทว่าเมื่อข้าไตร่ตรองดูแล้ว ที่นี่ห่างกับต้ายงเพียงแม่น้ำกั้น มักเกิดสงครามอยู่บ่อยๆ หากยามใดโชคไม่ดี กองทัพเกิดแพ้ขึ้นมา ข้าจะทำอย่างไรเล่า ยิ่งไปกว่านั้น หากต้ายงรู้ว่าเป็นข้าที่ช่วยชีวิตลู่ซิ่นไว้ คิดส่งคนมาสังหารข้า ข้าจะทำอย่างไรเล่า ดังนั้นจึงปฏิเสธ
แน่นอนว่าข้ามิอาจใช้เหตุผลนี้ได้ จึงกล่าวไปว่า ก่อนบิดาข้าเสียชีวิต ท่านค่อนข้างเศร้าใจที่ไม่มีผลงานเกียรติยศใด ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจเข้าร่วมการสอบเคอจวี่[5] นี่เป็นเหตุผลที่สง่าผ่าเผย ผู้ใดก็มิอาจขวางไม่ให้ข้าเข้าร่วมการสอบ
ดังนั้น ลู่ซิ่นไม่เพียงจะส่งคนไปยังเจียซิ่ง ภูมิลำเนาเดิมของข้า เพื่อทำให้ข้ามีคุณสมบัติในการสอบ ก่อนเริ่มการสอบเบื้องพระพักตร์สองเดือนยังมอบเงินเป็นค่าเดินทางไปสอบที่เจี้ยนเย่มาด้วย นอกจากนี้เพื่อความปลอดภัยของข้า เขาจึงให้ข้าร่วมเดินทางไปกับทหารผู้รับผิดชอบด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ของพวกเขา ข้าจึงได้แต่ร่วมทางไปกับคนเหล่านั้นอย่างจนใจ ยังดี ระหว่างทางข้าคิดวิธีแยกตัวขึ้นมาได้วิธีหนึ่ง จึงบอกไปว่า ข้าอยากชื่นชมทิวทัศน์ และยังพอมีเวลา สุดท้ายจึงแยกตัวมาพักผ่อนสองวันแล้วค่อยเดินทางต่อ
ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดข้าก็ได้อิสรภาพกลับคืน ข้ามิใช่คนโง่งม รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่เก้า หนานฉู่ยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายง ยอมสละตำแหน่งจักรพรรดิ เปลี่ยนไปเรียกขานตนเองว่าเจ้าแคว้น ตอนนี้กลับประกาศออกไปว่าเจ้าแคว้นคิดเรียกคืนตำแหน่งจักรพรรดิ เช่นนี้ย่อมเป็นการล่วงเกินและสร้างความเดือดดาลแก่ต้ายงอย่างใหญ่หลวง จะต้องเกิดภัยสงครามต่อเนื่องเป็นแน่
แม้ข้าไม่คิดอยากทำสงคราม แต่ข้าเข้าใจกลยุทธ์ทางการทหารไม่น้อย ต้ายงแข็งแกร่งทั้งม้าและทหาร ส่วนหนานฉู่กลับมีจักรพรรดิหลงใหลมัวเมาในความฝัน แม่ทัพนายกองทั้งโลภและขี้ขลาดกลัวตาย แม้แต่ลูกน้องของแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างลู่โหว ข้ายังได้ยินมาว่ามีพวกผีขี้ขลาดอยู่ไม่น้อย ทำเอาลู่โหวอยากสับพวกเขาสักหลายๆ ครั้ง แต่ด้วยอำนาจทางตระกูลของคนเหล่านั้นจึงทำได้เพียงเลี้ยงดูต่อไป
จะให้ไปสอบเคอจวี่ตอนนี้หรือ ข้ายังไม่อยากเป็นขุนนางของแคว้นที่ล่มสลายหรอกนะ
[1] โหว เป็นบรรดาศักดิ์ที่ได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิเนื่องจากมีความดีความชอบ สืบทอดได้ตามสายตระกูล
[2] ซื่อจื่อ ตำแหน่งเรียกทายาทผู้ที่จะรับสืบทอดตำแหน่งโหวต่อจากบิดา
[3] จั้ง ค่าวัดความยาวของจีน โดย 1 จั้งเท่ากับประมาณ 2.5 เมตร
[4] ลี้ ค่าวัดระยะทางของจีน โดย 1 ลี้เท่ากับประมาณ 500 เมตร
[5] การสอบเคอจวี่ คือระบบการสอบเพื่อคัดเลือกข้าราชการในสมัยโบราณของจีน