ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 11 ชิงตำแหน่งรัชทายาท (3)
องค์หญิงฉางเล่อเห็นข้าสงบลงแล้วจึงเอ่ยถามต่อไป “บทกวีพิณวิจิตรนี้ข้าชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ สิ่งใดคือ ‘ยามแดดอ่อน หลันเถียนจึงกลายเป็นหยกก่อเกิดควัน’ หรือหลันเถียนคือหยกงาม เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์จะให้กำเนิดควันได้จริงๆ”
ข้ากล่าวเจือรอยยิ้ม “บทกลอนนี้มีที่มาที่ไป ในอดีตซือถูคงแห่งราชวงศ์จิ้นเคยกล่าวว่า ‘ไต้ซูหลุน[1] ถูกเรียกว่าเป็นความงามของนักกวี ดุจยามแดดอ่อนในหลันเถียน หยกงามจะก่อกำเนิดควัน เพียงได้คาดหวังมิอาจเห็นกับตา’”
องค์หญิงฉางเล่อกล่าวอย่างกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ทราบว่าช่วงนี้จ้วงหยวนมีบทประพันธ์ใหม่ๆ ใดหรือไม่”
ข้าใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ระยะนี้กระหม่อมยุ่งอยู่กับงานราชการ เรื่องบทกลอนบทกวีแต่งออกมาน้อยมาก หากพระมเหสีมิรังเกียจ ทรงอนุญาตให้กระหม่อมแต่งกลอนเล่นๆ สักบทเป็นอย่างไร”
องค์หญิงฉางเล่อยินดียิ่ง รีบเรียกให้นางข้าหลวงเข้ามาฝนหมึก ข้าใช้เครื่องเขียนล้ำค่าทั้งสี่บนโต๊ะข้างๆ จรดพู่กันเขียนชื่อบทกลอนลงไป ‘เคหาสน์หลิ่วยามวสันต์ สดับฟังเสียงวิหค’
จากนั้นจึงเขียนต่อไป “ยามวสันต์ ผืนฟ้าเจือหมอกฝน โปรยปรายสู่ดินเป็นทางยาว ร่มเงาเขียวขจีเจือหน่ออ่อน วิหคอำพันร่อนเกาะกิ่งไม้สูง โบยบินดุจครอบครองเส้นทางโชติช่วงจรัสแสง ฟังไปคล้ายบทเพลงหิมะแดง เสียงเพรียกสายลมดุจม่านมรกต เสียงจิบจาบคล้ายกระสวยทองบนกิ่งไม้ ยินเสียงเช้าจรดค่ำผู้ใดทราบ เหนือจรดใต้มากเพียงไรผู้ใดรู้ ดุจเส้นใยเลือนรางมอมเมาบุรุษ ส่งเสียงหวานคล้ายสตรีงามพิไลในความทรงจำ กุมมือสดับเสียงร่วมกัน เส้นทางขรุขระมิอาจควบม้าทะยานไป งดงามชดช้อยดั่งมุก อ่อนโยนดุจอ้อมกอดที่พันรัด แสงจรัสเพียงใดล้วนทนได้ ลูกนกส่งเสียงร้องปานขาดใจ เห็นเงาตนเองกระท่อนกระแท่นให้นึกฉงน ยามยินเสียงกลับจำเงากระเพื่อมนั้นได้ เคียงคู่กันแล้วไยต้องตอบแทนปัจจุบัน มิสู้ดื่มด่ำกับจอกสุราทอง”
องค์หญิงฉางเล่อเดินมาเบื้องหน้า เอื้อนเอ่ยเสียงเบา เนิ่นนานผ่านไปจึงค่อยกล่าวขึ้นว่า “ผู้ทรงภูมิแห่งหนานฉู่ไม่ธรรมดาจริงๆ ข้าอ่านแล้วรู้สึกลื่นไหลคมคายยิ่งนัก”
ข้าเห็นท่าทางองค์หญิงฉางเล่อคล้ายเหนื่อยล้าจึงเอ่ยอำลา “พระวรกายของท่านไม่ค่อยแข็งแรง กระหม่อมมิกล้ารั้งอยู่นาน ขอทูลลาเพียงเท่านี้ โปรดรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยเจือรอยยิ้ม “ขอบใจท่านมาก เหลียงหวั่น ส่งใต้เท้าเจียงแทนข้าด้วย”
เหลียงหวั่นตอบรับ จากนั้นจึงพาข้าเดินออกไป เดินไปได้ระยะหนึ่ง จู่ๆ เหลียงหวั่นก็หยุดเดิน กล่าวเสียงเย็นชา “ใต้เท้าเจียง ท่านลืมอันใดหรือไม่”
ข้าชะงักไป เพิ่งนึกได้ว่าข้าลืมเรื่องที่ต้องโน้มน้าวพระมเหสีเกี่ยวกับการแต่งตั้งองค์รัชทายาทไปโดยสิ้นเชิง ข้าใช้สมองขบคิดรอบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างไม่แยแส “เหตุใดคุณหนูเหลียงจึงกล่าวเช่นนี้เล่า ข้าจะโน้มน้าวหรือไม่ ย่อมไม่เกี่ยวข้องอันใดกระมัง”
เหลียงหวั่นเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ทำไม ขุนนางหนานฉู่อย่างพวกท่านคิดว่าองค์หญิงของพวกเราหลอกง่ายนักหรือ”
ข้าเห็นความแคลงใจในดวงตาของเหลียงหวั่น แต่ยังคงเอ่ยไปโดยไม่คิดปิดบังอันใด “คุณหนูเหลียงสมควรกระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว กำหนดการแต่งตั้งรัชทายาทถูกตัดสินเป็นที่แน่นอนแล้ว ในพระทัยพระมเหสีย่อมกระจ่างแจ้งดี เพียงแต่หากยอมรับง่ายๆ ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำลายชื่อเสียงของต้ายง”
เหลียงหวั่นมีสีหน้าเคร่งขรึมลง “เจ้ากล่าวเหลวไหลอันใด”
ข้าคิดในใจว่า หากปล่อยให้นางคิดว่าข้าเป็นตัวโง่งมใช้ประโยชน์ได้ง่าย มิสู้ทำให้นางประจักษ์ชัดถึงความร้ายกาจของข้าเสียยังจะดีกว่า จะได้หวาดกลัวและอยู่ให้ไกลเสียหน่อย มิให้นางหาเรื่องมาทำร้ายข้าอีก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “องค์หญิงต้ายงมาแต่งงานไกลถึงหนานฉู่ ย่อมมิใช่ความยินยอมพร้อมใจ ดังนั้นพระมเหสีถึงไม่คิดหวังความโปรดปรานจากท่านเจ้าแคว้นโดยสิ้นเชิง จักรพรรดิต้ายงส่งสาวงามตามมาแต่งงานด้วยมากมายเพียงนั้น มิใช่เพื่อมอมเมาเจ้าแคว้นหรอกหรือ เพื่อมิให้พระมเหสีต้องทนรับมือกับพระสวามีที่ตนเองไม่โปรด ส่วนท่าน คุณหนูเหลียง หมั่นสร้างเส้นสายความสัมพันธ์ นับเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้นำสายลับของต้ายงในหนานฉู่ ฐานะของคุณหนูลึกซึ้งล้ำลึก สามารถทำภารกิจได้โดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด หากให้องค์หญิงรับผิดชอบเรื่องนี้ คงมีคนสังเกตเห็นพฤติกรรมขององค์หญิงกระทั่งเกิดความสงสัยเป็นแน่ ข้าว่าสำหรับต้ายงแล้ว เพียงองค์หญิงแต่งงานมาถึงหนานฉู่ก็นับว่ารับผิดชอบหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้วกระมัง”
เหลียงหวั่นยังคงพยายามรักษาความสงบนิ่ง ทว่าใบหน้ากลับขาวซีด ในดวงตาเจือประกายเย็นยะเยือก
ข้าเอ่ยต่อไป “ข้าเป็นเพียงบัณฑิตฮั่นหลินตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง เรื่องแว่นแคว้นเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่คิดถามไถ่และคร้านจะถามไถ่ กลับเป็นคุณหนูที่สิ้นเปลืองความคิดรั้นจะดึงข้าไปพัวพันเสียให้ได้ ช่างเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย หากจู่ๆ ข้าที่ไร้ซึ่งศัตรูคู่แค้นเกิดเรื่องเหนือคาดอันใด คงยากมิให้ผู้คนสงสัยว่าคุณหนูมีเจตนาร้าย”
เหลียงหวั่นตะลึงงัน ครู่หนึ่งสีหน้าจึงค่อยฟื้นคืนเป็นปกติ กล่าวเสียงหวาน “พระมเหสีโปรดปรานบทกวีของใต้เท้ายิ่ง ภายหน้าทุกๆ ช่วงหนึ่งข้าจะส่งคนไปรับบทประพันธ์ใหม่ของใต้เท้า เชื่อว่าใต้เท้าคงไม่ปฏิเสธกระมัง”
ข้ากล่าวอย่างเรียบเฉย “ครอบครัวข้ายากจน ยังไม่มีจวนเป็นของตนเอง อาศัยอยู่ที่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้สำนักฮั่นหลินเท่านั้น หากคุณหนูส่งคนไป คาดว่าคงหาข้าไม่พบ หากคุณหนูไม่รังเกียจข้าจะส่งบทประพันธ์ใหม่ไปที่หอหมิงเยว่ตามกำหนดเวลา จากนั้นคุณหนูก็นำไปถวายต่อให้พระมเหสี”
เหลียงหวั่นมองข้าด้วยสายตาชื่นชม “ได้ ข้ายังต้องกลับไปโน้มน้าวพระมเหสีอีก ข้าเตรียมรถม้าไว้ให้แล้ว พวกเขาจะไปส่งใต้เท้าที่จวนอัครมหาเสนาบดีเพื่อไปรายงานผล”
ข้าเอ่ยขอบคุณอย่างเคารพ จากนั้นจึงขึ้นรถม้าจากไป
ยามค่ำคืน ในที่สุดข้าก็กลับมาถึงในเมืองแล้ว สงบปลอดภัยตลอดทาง เมื่อไปถึงจวนอัครมหาเสนาบดีก็บอกกับซังเหวยจวินผู้มีความกังวลอัดแน่นเต็มอกไป ‘ตามจริง’ ว่า “ผู้น้อยเข้าพบพระมเหสีแล้วขอรับ พระนางทรงโปรดปรานบทกวีของผู้น้อยจริงๆ ทั้งยังสอบถามอีกหลายเรื่อง ผู้น้อยไร้คารมทั้งยังโง่งม ไม่ทราบว่าจะกล่าวโน้มน้าวเช่นไร ภายหลังพระนางทรงล้าแล้ว ผู้น้อยจึงทำได้เพียงทูลลา จากนั้นคุณหนูเหลียงกล่าวกับผู้น้อยว่า นางรู้อยู่แล้วว่าผู้น้อยจะพูดอะไรไม่ออก จุดประสงค์ที่ให้ผู้น้อยไปเพียงเพื่อคลายความหม่นหมองของพระนางเท่านั้น พระนางทรงพระปรีชาสามารถ เข้าใจนานแล้วว่าเรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาทจะต้องเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ทรงกริ้วไปชั่วครู่จึงยากจะหาทางลง คุณหนูเหลียงถือโอกาสที่พระมเหสีกำลังเบิกบานพระทัยรีบกล่าวโน้มน้าวอีกครั้ง จะต้องทำให้พระนางเปลี่ยนใจได้แน่ เพียงแต่คุณหนูเหลียงกล่าวว่า ต้องให้ท่านเจ้าแคว้นเสร็จไปรับพระนางกลับมาด้วยตนเองเสียก่อน พระนางจึงจะมีทางลงที่ดี”
ซั่งเหวยจวินกล่าวอย่างปิติยินดี “ได้ๆ เจียงฮั่นหลินเป็นเสาหลักผู้มากความสามารถจริงๆ ข้าหารือกับบัณฑิตเซี่ยของพวกเจ้าแล้ว เจ้ามีผลงานในการก่อตั้งตำหนักฉงเหวิน อีกไม่นานจะได้รับพระราชทานยศเป็นแน่ เอาละ กลับไปพักผ่อนเถิด”
ข้าแบกสังขารอันเหนื่อยล้ากลับไปที่บ้าน เห็นแสงตะเกียงอ่อนๆ เท่าเม็ดถั่วจึงรู้ว่าเสี่ยวซุ่นจื่อมาแล้ว ข้าเดินเข้าไปอย่างเกียจคร้าน ล้มตัวนอนบนเตียง เอ่ยถาม “เหตุใดจึงวันนี้จึงว่างมาเล่า ข้าจำได้ว่าอีกสองวันเจ้าถึงจะหยุดพักมิใช่หรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อเดินหัวเราะเข้ามา ดึงให้ข้าลุกขึ้น ช่วยข้าผลัดเปลี่ยนอาภรณ์พลางเอ่ย “เดิมทีวันนี้เป็นเวรข้า แต่ข้าแอบได้ยินอัครมหาเสนาบดีซั่งกล่าวกับท่านเจ้าแคว้นเรื่องที่ท่านไปราชนิเวศน์ ดังนั้นจึงขอแลกเวรกับผู้อื่น เดินทางไปกลับคราวนี้เหนื่อยมากจริงๆ ข้าเห็นท่านไปถึงจวนอัครมหาเสนาบดีแล้วเดินออกมา คิดว่าคงไม่มีอันตรายอันใดแล้ว จึงกลับมาเตรียมน้ำให้ท่านก่อน พอท่านอาบน้ำเสร็จ อาหารเย็นคงพร้อมพอดี”
ข้าถูกเขาลากไปที่ห้องครัวอย่างสะลึมสะลือ ด้านในมีถังน้ำที่มีน้ำอยู่เจ็ดส่วนและอาหารร้อนๆ ข้ากระซิบถาม “เจ้าคงไม่ได้ตามข้าเข้าไปที่ราชนิเวศน์หรอกกระมัง”
เสี่ยวซุ่นจื่อประคองข้าเข้าไปในถังน้ำ เอ่ยอย่างเรียบเฉย “วรยุทธ์ของข้ายังไม่ดีพอ อีกทั้งการป้องกันที่จวนอัครมหาเสนาบดีและราชนิเวศน์ก็แน่นหนามาก”
ข้าหาวครั้งหนึ่ง “ใต้หมอนข้ามีตำรากระบี่อยู่เล่มหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าดีหรือไม่ เจ้าไปดูเสียหน่อยเถิด”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยเรียบๆ “ข้าอ่านแล้ว วิชากระบี่ไม่เลวเลย แต่ไม่มีประโยชน์อันใดกับข้า มันต้องใช้ปราณหยางที่แข็งแกร่ง ลมปราณของข้ามีปราณหยางอ่อนแอที่สุด”
ข้าจะหลับแหล่มิหลับแหล่ กล่าวอย่างสะลึมสะลือไปว่า “รู้แล้ว ข้าจะลองหามาให้อีก ยิ่งวรยุทธ์เจ้าสูง ข้าก็ยิ่งปลอดภัย”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบกลับประโยคหนึ่ง ทว่าข้าฟังไม่ชัดเจน
ครึ่งเดือนต่อมา พระมเหสีเสด็จกลับวังหลวง ท่านเจ้าแคว้นจัดพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาท ร้อยขุนนางได้รับพระราชทานยศ ข้าได้ข้ามตำแหน่งเปียนจ้วน รับตำแหน่งซื่อตู๋โดยตรง กลายเป็นขุนนางขั้นห้า
[1] ไต้ซูหลุน คือหนึ่งในกวีเอกสมัยราชวงศ์ถัง