ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 12 ฉีอ๋องราชทูตแห่งต้ายง (1)
แรกเริ่ม รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบหก ปีติงเหม่า[1] เต๋อชินอ๋อง[2] จ้าวเจวี๋ยมีโองการลับถึงเหิงเจียง ปรารถนาลอบโจมตีโม่หลิง เรื่องราวยังไม่ทันสำเร็จ ความลับกลับรั่วไหลไปถึงต้ายงจึงพักรบชั่วคราว ไม่นานต้ายงก็ส่งราชทูตมา อนุญาตให้องค์หญิงฉางเล่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ หลิงอ๋องหลงกล สงครามจึงสิ้นสุดลง
ยามจ้าวเซิ่งใกล้สิ้นใจ ทรงเรียกพบรัชทายาทข้างแท่นบรรทม กล่าวสั่งเสียว่า ‘ความเสียใจชั่วชีวิตของข้าคือมิอาจรักษารากฐานของบรรพชน ยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายง หากเจ้ามีใจกตัญญูแม้เพียงครึ่ง จงพยายามฟื้นฟูตำแหน่งจักรพรรดิสุดความสามารถ’ รัชทายาทกล่าวสาบานต่อฟ้า หลิงอ๋องจึงสิ้นใจไปเช่นนั้น
รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบเก้า ปีเกิงอู่[3] เดือนห้า ฉีอ๋องแห่งต้ายงมาร่วมพิธีพระศพ เข้าหารือลับกับเจ้าแคว้น มอบผลประโยชน์มากมาย คิดวางแผนโจมตีสู่ เจ้าแคว้นสับสน ภายหลังต้ายงจึงผสานบนล่าง เสนอให้โจมตีสู่ เดิมทีแคว้นหนานฉู่มิสันทัดเรื่องเช่นนี้ ไม่เข้าใจหายนะในยามนั้น ทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงได้ผลประโยชน์ก้อนโต ต่อมาข้าราชบริพารได้ยินเจ้าแคว้นหลั่งน้ำตากล่าวต่อพระมเหสีว่า ‘หากข้าฟื้นฟูตำแหน่งจักรพรรดิได้ ย่อมไม่คิดแต่งตั้งเจ้าเป็นมเหสี แต่ยามนี้ฉีอ๋องกลับอนุญาตให้ข้าฟื้นฟูตำแหน่งจักรพรรดิ หวังว่าเจ้าจะบอกต่อเสด็จพ่อของเจ้าแทนข้าว่า หนานฉู่จะไม่ทรยศต้ายงเป็นอันขาด’ จากนั้นเรื่องราวก็รั่วไหล
ฉีอ๋องคือองค์ชายหกในยงเกาจู่ พระเชษฐาต่างมารดาขององค์หญิงฉางเล่อ ดื้อรั้นมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ภายหลังเห็นยงอ๋องที่เพิ่งสวมกวาน[4] ได้ขึ้นเป็นอ๋อง สร้างคุณูปการต่อแผ่นดินมากมาย จึงตรัสว่า ‘ข้าจะขึ้นแทนที่’ ต่อมาสร้างผลงานด้านการรบ ชื่อเสียงสะท้านไปทั่วแดนดิน
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบเก้าเดือนห้า ต้ายงส่งราชทูตมาร่วมพิธีพระศพ ข้าได้ยินว่า ราชทูตคือฉีอ๋องหลี่เสี่ยน โอรสองค์ที่หกของหลี่หยวน ผู้เป็นจักรพรรดิแห่งต้ายง ได้รับความโปรดปรานมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ดังนั้นจึงมีนิสัยดื้อรั้นหยิ่งผยองมาตั้งแต่เยาว์วัย ทุกวันรู้จักแต่ยิงนกล่าสัตว์ และไม่ชอบอ่านหนังสือ
ตั้งแต่ตงจิ้นล่มสลายไปเมื่อเจ็ดสิบปีก่อน แผ่นดินจงหยวนก็ถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน หลี่ซังบิดาของหลี่หยวนถือโอกาสลุกฮือ เรียกตนเป็นยงอ๋อง ทำสงครามหลั่งเลือดมาหลายสิบปี กระทั่งก่อตั้งแคว้นต้ายงได้ในที่สุด หลังหลี่ซังสิ้นใจ หลี่หยวนจึงครองบัลลังก์แทน ทว่าทรงชอบดนตรี เลี้ยงสุนัข แข่งม้า ไม่คิดหาความก้าวหน้า ความเปลี่ยนแปลงของพระองค์เป็นเพราะหลี่จื้อ โอรสองค์ที่สอง
ยงอ๋องหลี่จื้อ เฉลียวฉลาดมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ยี่สิบกว่าปีก่อน หลี่จื้อวัยเก้าชันษา ผู้เป็นโอรสองค์รองของหลี่หยวน สวมอาภรณ์สีเรียบในงานเลี้ยงฉลองตรุษจีน กล่าวเสนอความเห็นอย่างตรงไปตรงมา ชี้แนะกล่าวโทษว่า หลี่หยวนไม่แสวงหาความก้าวหน้า ทรยศความปรารถนาของเสด็จปู่ คำพูดจริงใจมากคุณธรรมเช่นนี้ทำให้หลี่หยวนยอมถอยด้วยสำนึกเสียใจ
จากนั้นไม่นาน หลี่หยวนขึ้นเป็นจักรพรรดิ เปลี่ยนชื่อรัชศกเป็นอู่เวย ต่อมาสนับสนุนเรื่องอาวุธและม้าศึก ผลักดันให้พลิกดินเพาะปลูก กระทั่งรัชศกอู่เวยปีที่สาม จึงประกาศแก่ใต้หล้าว่า ‘ก่อนสิ้นใจ จักขอหลั่งเลือดสาบานต่อฟ้า หากมิอาจสยบจงหยวนจะไม่หยุดรบเป็นอันขาด’
ยามนั้น หลี่จื้อที่เพิ่งสิบสองชันษาก็เดินทางออกรบตามพระบิดา แม้หลี่จื้อจะเป็นหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์อยู่สุขสบายมาตั้งแต่เกิด แต่กลับกินข้าวร่วมจาน รบราเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเหล่าทหารและติดตามแม่ทัพใหญ่เพื่อเรียนรู้วิธีนำทหารออกรบอย่างหาได้ยากยิ่ง แม้อายุยังน้อยแต่กลับกล้าหาญชาญชัย มักออกรบในแนวหน้า ทำลายแนวป้องกันฆ่าล้างศัตรูอยู่เสมอ ว่ากันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ทหารศัตรูบุกทำลายค่าย หลี่จื้อพาทหารคนสนิทคุ้มครองจักรพรรดิต้ายงตีฝ่าวงล้อมออกไป ทว่ากลับมีเสียงทหารตะโกนตามหลังว่า ‘องค์ชายอย่าได้ทอดทิ้งพวกเรา’
หลี่จื้อหลั่งน้ำตาราวหยาดพิรุณ ถึงกับควบม้าทะยานบุกเดี่ยวกลับไปที่ค่าย ทหารซาบซึ้งจนน้ำตาไหล ยอมสู้รบจนตัวตาย บีบให้ทหารฝ่ายศัตรูล่าถอยไปได้ กระทั่งยามจักรพรรดิยงเสด็จกลับถึงค่าย หลี่จื้อก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว แต่ยังคงสวมเกราะออกมาต้อนรับพระบิดา จักรพรรดิต้ายงหลั่งอัสสุชล ตรัสว่า ‘มีโอรสเช่นนี้นับว่าประเสริฐแท้’
หลี่จื้อออกรบอย่างห้าวหาญ ทั้งยังชาญฉลาดมากไหวพริบ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในการสร้างผลงานทางการทหารกระทั่งได้ขึ้นเป็นแม่ทัพ เมื่อรัชศกอู่เวยปีที่เก้า สามารถทำลายเซี่ยอ๋อง หยางเหล่าเซิง ซึ่งเป็นผู้นำกองกำลังต่อต้านที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินจงหยวนเมื่อยามนั้นได้สำเร็จ สร้างคุณูปการทางการทหารจนแผ่นดินต้ายงมั่นคงเป็นปึกแผ่น จักรพรรดิต้ายงจึงแต่งตั้งเป็นยงอ๋อง
ยามยงอ๋องหลี่จื้อยกทัพกลับเมืองหลังได้ชัย ทุกตรอกซอกซอยของนครหลวงฉางอันแห่งต้ายงที่ควรมีคนนับหมื่นล้วนว่างเปล่า เหล่าขุนนางและชาวประชาพากันออกมาต้อนรับหลี่จื้อ ยามนั้นหลี่จื้อเพิ่งถึงวัยสวมกวาน แต่กลับมีเกียรติยศถึงเพียงนี้แล้ว นับว่าตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันยังไม่เคยปรากฏมาก่อน
จนถึงรัชศกอู่เวย ปีที่สิบ ซึ่งก็คือรัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่เก้า หนานฉู่ยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายง ต้ายงกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินจงหยวนอย่างแท้จริง ทว่านั่นเป็นเรื่องหลังจากนั้น ในตอนที่หลี่เสี่ยนเห็นหลี่จื้อได้รับเกียรติมากมายท่ามกลางฝูงชนพลันรู้สึกไม่สบอารมณ์ ราวสูญเสียอะไรบางอย่าง จึงกล่าวกับผู้ติดตามว่า ‘ข้าจะขึ้นแทนที่’
ยามนั้นหลี่เสี่ยนสิบหกชันษา ภายหลังจึงเปลี่ยนนิสัยแย่ๆ ไปร่ำเรียนวิชาบุ๋นอย่างหนัก ทั้งยังฝึกวรยุทธ์อย่างขยันขันแข็ง สองปีให้หลังจึงขอเข้าร่วมกองทัพรักษาชายแดนทางเหนือด้วยตัวเอง สิบปีให้หลัง หลี่เสี่ยนต่อสู้หลั่งเลือดกับเป่ยฮั่นหลายครั้งหลายครา แม้หลี่เสี่ยนจะไม่เก่งวรยุทธ์หรือเฉลียวฉลาดเท่าหลี่จื้อ แต่ก็นับเป็นทหารหาญผู้หนึ่ง หลายปีนี้ต้ายงปกปักษ์ด่านชายแดนอย่างแน่นหนา เป่ยฮั่นมิอาจสู้ได้ ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนจึงค่อยเสด็จกลับนครหลวงฉางอัน
ที่ฉางอัน หลี่เสี่ยนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัชทายาทหลี่อัน ทั้งยังเป็นลูกพี่ใหญ่ในหมู่ชนชั้นสูงผู้เยาว์ มักก่อเรื่องวุ่นวายอยู่บ่อยๆ แต่ละวันหากไม่เรียกสหายมาพบปะก็เดินเข้าหอคณิกา มิเช่นนั้นก็ยิงนกล่าสัตว์ ทำเอานครฉางอันไม่สงบ แต่เขาได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิต้ายงอย่างมาก ทั้งยังมีผลงานการทหารติดตัว ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าทำให้เขาลำบากใจ
ข้าอ่านข้อมูลในมืออย่างจริงจัง ตั้งแต่ข้ามีผลงาน ‘โน้มน้าว’ พระมเหสีสำเร็จ ข้าก็ต้องตามเสด็จในฐานะซือตู๋ แม้กล่าวว่าเป็นการตามเสด็จ แต่ความจริงก็คือศึกษารายละเอียดต่างๆ และให้คำแนะนำแก่เจ้าแคว้น คราวนี้ฉีอ๋องเสด็จมาหนานฉู่ในฐานะราชทูต ผู้คนทั้งบนล่างในราชสำนักล้วนโกลาหล พวกเราได้รับรายงานเกี่ยวกับฉีอ๋องฉบับหนึ่ง ดูแล้วเครือข่ายการข่าวของหนานฉู่ในต้ายงจะกว้างขวางยิ่ง
ครั้งนี้ฉีอ๋องมาร่วมงานพระศพเพียงในนาม ทุกคนต่างคิดว่าคงมิง่ายดายเพียงที่เห็น มิเช่นนั้นต้ายงคงไม่ส่งคนสำคัญเช่นนี้มาแน่ ความจริงในความคิดของข้า มิแน่ว่าอาจเป็นเพราะฉีอ๋องเล่นสนุกที่ฉางอันอย่างสาหัสสากรรจ์เกินไป จักรพรรดิต้ายงจึงให้เขาออกมาหลบลมมรสุม ในรายงานเขียนไว้ว่า ก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน ฉีอ๋องฉุดสตรีชาวบ้านไปเป็นนางบำเรอ ถูกขุนนางฝ่ายตรวจคดีฟ้องร้อง แม้จักรพรรดิต้ายงจะโปรดปรานรักใคร่เพียงใดก็มิอาจเลี่ยงการลงโทษ ข้าเห็นว่าโทษสุดท้ายคือริบเบี้ยหวัดหนึ่งปี เห็นได้ชัดว่าได้รับปกป้องอย่างดี ในช่วงเวลานี้ ฉีอ๋องจะเสด็จออกมาหลบลมฝนก็นับว่าเป็นไปได้ ทว่าใต้เท้าทั้งหลายกลับไม่คิดเช่นนี้ ล้วนคิดกันว่าจักรพรรดิต้ายงส่งฉีอ๋องมาเป็นทูต เกรงว่าต้องมีเรื่องสำคัญอันใดเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในตอนนี้คล้ายจะโน้มเอียงไปทางความคิดของพวกเขา หลังจากฉีอ๋องร่วมแสดงความเสียใจแล้วก็ร้องขอเข้าพบเจ้าแคว้นเป็นการส่วนตัว ตอนนี้พวกเขากำลังสนทนาลับกันอยู่ในห้องทรงพระอักษร วันนี้ข้าเป็นเวรตามเสด็จไปที่ห้องทรงพระอักษรจึงยืนรอรับสั่งอยู่ด้านนอก แม้ข้ามิได้ตั้งใจ แต่เพราะความสามารถในการได้ยินของข้าดีเกินไป จึงได้ยินบทสนทนาของพวกเขาถึงแปดเก้าส่วน
เมื่อฉีอ๋องหลี่เสี่ยนเดินเข้าไปก็กล่าวอย่างตรงประเด็น “ต้ายงต้องการร่วมมือกับหนานฉู่ ร่วมกันโจมตีแคว้นสู่ ท่านเจ้าแคว้นคิดเห็นอย่างไร”
จ้าวเจียตะลึงงันไปพักใหญ่จึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “แคว้นสู่และหนานฉู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอด จะรุกรานโดยไร้สาเหตุได้อย่างไร”
หลี่เสี่ยนกล่าวเจือรอยยิ้ม “แว่นแคว้นจะดีจะร้ายย่อมต้องดูว่าผลประโยชน์เป็นอย่างไร แม้สู่จงจะมีความสัมพันธ์อันดีกับหนานฉู่ สองฝั่งค้าขายรุ่งเรือง ทว่าตอนนี้หากหนานฉู่ต้องการอาวุธและม้าศึกจะต้องขอซื้อจากสู่จง ข้าได้ยินว่าแคว้นสู่เรียกราคาจากแคว้นท่านเสียสูงลิ่ว ไม่กี่ปีก่อน แคว้นท่านซื้อม้าจากเป่ยฮั่น คิดขนย้ายผ่านสู่จง แต่กลับถูกแคว้นสู่ยึดของ หากมิใช่ว่าหลิงอ๋องของแคว้นท่านสั่งให้คนติดสินบนแคว้นสู่ เกรงว่าม้าศึกกลุ่มนี้คงมาไม่ถึงมือ ยิ่งไปกว่านั้น ยังถูกบีบบังคับให้รับปากว่าภายหลังจะไม่ซื้อม้าจากเป่ยฮั่นอีก มีเรื่องเช่นนี้หรือไม่”
ด้านในไม่มีเสียงอันใด แต่ข้าจินตนาการได้เลยว่าสีหน้าของท่านเจ้าแคว้นต้องเขียวจนม่วงเป็นแน่ เรื่องนั้นข้าก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ทั้งยังคิดอย่างประหลาดใจว่าเหตุใดแคว้นสู่จึงตาไร้แววเพียงนี้ ถึงขั้นผูกแค้นกับหนานฉู่เชียว
ข้าได้ยินหลี่เสี่ยนกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อต้ายงของข้าเป็นนายหนานฉู่ ทั้งยังแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันแล้ว อีกทั้งน้องฉางเล่อผู้เป็นธิดารักของพระบิดาก็กลายเป็นพระมเหสีแห่งหนานฉู่ไปแล้ว นับว่าพวกเราสองแคว้นมีความสัมพันธ์แนบแน่น ตอนนี้แคว้นสู่อาศัยความได้เปรียบทางชัยภูมิ ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายง ทั้งยังเหิมเกริมกับพันธมิตรเช่นหนานฉู่เพียงนี้ อาศัยที่แคว้นตนป้องกันง่ายโจมตียาก สะดวกทำการค้ากับสามแคว้นเท่านั้น ตอนนี้ต้ายงและหนานฉู่เปิดการค้ากันแล้ว จากสถิติของกรมการคลังในแคว้นข้า สองปีมานี้ภาษีที่เก็บจากการค้าของพวกเราสองแคว้นมากกว่าภาษีจากการค้ากับแคว้นสู่แล้ว ในความเห็นของข้า ตอนนี้สู่จงเป็นดั่งตะวันใกล้ลับฟ้า เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น หากพวกเราสองแคว้นร่วมมือกันโจมตีแคว้นสู่ เสด็จพ่อยินดีแบ่งปันอาณาเขตแคว้นสู่กับท่าน นับจากนี้ใช้แม่น้ำเป็นพรมแดน สงบศึกไม่รบกันตลอดไป”
จ้าวเจียลมหายใจกระชั้นถี่ พักใหญ่จึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “การเคลื่อนทัพออกรบจำเป็นต้องระมัดระวัง ยิ่งไปกว่านั้นแคว้นสู่ป้องกันง่าย โจมตียาก หากโจมตีนานแล้วยึดครองไม่ได้ จะสร้างความเสียหายแก่ราษฎรอย่างหนัก”
หลี่เสี่ยนคล้ายลังเล สักพักจึงค่อยเอ่ยขึ้น “ก่อนออกเดินทาง เสด็จพ่อตรัสกับข้าเป็นการลับว่า หากโจมตีแคว้นสู่สำเร็จ เมื่อแผ่นดินต้ายงมั่นคงเป็นปึกแผ่นแล้ว พระองค์จะพักผ่อนเสียหน่อย หากท่านเจ้าแคว้นยอมช่วยเหลือต้ายงโจมตีแคว้นสู่จนสำเร็จ เสด็จพ่อจะยินยอมให้แคว้นท่านฟื้นคืนตำแหน่งจักรพรรดิ”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ในใจข้าพลันเกิดเสียงร้องโอดครวญคำรบหนึ่ง ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ หมู่ขุนนางและประชาราษฎร์ต่างเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูตำแหน่งจักรพรรดิ ข้ายังได้ยินเสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวอีกว่า ก่อนเจ้าแคว้นพระองค์ก่อนสวรรคต ทรงกำชับให้ท่านเจ้าแคว้นฟื้นฟูตำแหน่งจักรพรรดิให้ได้ ความยั่วยวนเช่นนี้มากเกินไปจริงๆ
จริงดังคาด ท่านเจ้าแคว้นกล่าวอย่างลังเล “เรื่องนี้ยากจะตัดสินใจในเวลาสั้นๆ เอาเช่นนี้เถิด ให้ข้าหารือกับขุนนางเสียก่อน”
หลี่เสี่ยนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องใหญ่เพียงนี้ ท่านเจ้าแคว้นระมัดระวังนับว่าสมควรแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้สำคัญยิ่ง ท่านเจ้าแคว้นโปรดรักษาความลับให้ดีด้วย ส่วนเรื่องที่เสด็จพ่อทรงตรัส ขอให้ท่านเจ้าแคว้นระวังเป็นพิเศษ หากไม่ระวังเกิดแพร่ออกไป ต้ายงของข้าจะไม่ยอมรับว่าเคยเอ่ยคำนี้”
จ้าวเจียไม่สนใจคำพูดอุกอากของหลี่เสี่ยน กล่าวไปว่า “องค์ชายโปรดวางใจ ข้าต้องกระทำการอย่างระมัดระวังเป็นแน่ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ ข้าไม่กล้าสะเพร่าเด็ดขาด”
หลี่เสี่ยนกล่าวอย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นขอบคุณท่านเจ้าแคว้นที่ต้อนรับขับสู้ ข้าขอตัวก่อน”
จ้าวเจียรีบร้อนเอ่ยปาก “พระมเหสีและฉีอ๋องมิได้พบกันหลายปี คงอยากพบกันกระมัง ไม่ทราบว่าฉีอ๋องมีเวลาว่างเมื่อใด”
หลี่เสี่ยนหัวเราะเสียงดัง “ข้าอยากพบน้องสาวนานแล้ว เพียงแต่มีหน้าที่ติดตัว จำต้องทำเพื่อส่วนรวมก่อนส่วนตัว เช่นนั้นข้าจะไปขอเข้าเฝ้าพระมเหสีเดี๋ยวนี้”
จ้าวเจียกล่าวอย่างยินดี “ขอเข้าเฝ้าอันใดกัน ควรกล่าวว่าเชิญฉีอ๋องไปพบพระมเหสีกับข้าต่างหาก” กล่าวจบก็มีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ทั้งสองเดินมาที่ประตู ข้าฟังจนท้อแท้ห่อเหี่ยวไปนานแล้ว ดูท่าทางท่านเจ้าแคว้นต้องโจมตีแคว้นสู่เป็นแน่
[1] ติงเหม่า คือ ปีที่สี่ในรอบหกสิบปีตามแผนภูมิฟ้า
[2] ชินอ๋องคือ ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่หนึ่ง และเป็นตำแหน่งสูงสุดที่สามารถมีได้รองจากตำแหน่งรัชทายาท
[3] เกิงอู่ คือ ปีที่เจ็ดในรอบหกสิบปีตามแผนภูมิฟ้า
[4] สวมกวาน คือ พิธีที่จัดขึ้นเมื่อบุรุษบรรลุนิติภาวะหรืออายุยี่สิบปี