ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 19 เสนาธิการที่ปรึกษาทางการทหาร (2)
วันที่ยี่สิบสาม เดือนแปด กองทัพหนานฉู่ไปถึงปาจวิ้นแล้ว ข้ากำลังขี่ม้าหนุ่มเชื่องๆ ที่เต๋อชินอ๋องเลือกมาให้ข้าเป็นพิเศษ ทอดตามองไปยังปาจวิ้นที่มีกำแพงสูง คูน้ำลึก บนกำแพงมีคมหอกคมดาบหนาแน่นราวป่าทึบ ทหารแห่งแคว้นสู่จำนวนนับไม่ถ้วนยืนอยู่บนกำแพงเมืองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เพียงเห็นก็ทราบว่าเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งเกรียงไกร
เต๋อชินอ๋องชักม้าเดินไปช้าๆ หยุดยืนอยู่หน้าทัพใหญ่ มองไปยังกำแพงเมืองด้วยสายตาเย็นชา ท่ามกลางทหารมากมายบนกำแพงเมือง มีแม่ทัพสวมเกราะเหล็กสีแดงยืนอยู่นายหนึ่ง จากพลังสายตาของข้า ทำให้เห็นว่าคนผู้นั้นมีอายุราวห้าสิบกว่าปี บุคลิกห้าวหาญ ร่างกายเตี้ยเล็ก มีหนวดเคราเต็มหน้า คนผู้นี้ตะโกนเสียงดังว่า “หนานฉู่และแคว้นสู่ของพวกเราเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน เหตุใดจึงมาลอบโจมตี ฉีกทำลายสัญญาพันธมิตรอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้”
เต๋อชินอ๋องยิ้มเฉยชา กล่าวเสียงดังว่า “แคว้นสู่มิอาจปกครองแผ่นดิน แต่กลับรั้นจะแบ่งแยกดินแดนเสียให้ได้ ตอนนี้ต้ายงสยบแดนจงหยวนแล้ว แต่กระทั่งวันนี้แคว้นสู่ก็ยังไม่ยอมสวามิภักดิ์ ทำเช่นนี้มีเจตนาใดกันแน่ หนานฉู่สวามิภักดิ์ต่อต้ายง พวกเราได้รับคำสั่งโจมตีมาแล้ว ดังนั้นประการแรกทำเพื่อสนองพระบัญชาขององค์จักรพรรดิ ประการที่สองทำเพื่อชำระหนี้แค้น หลายปีมานี้ แคว้นสู่กดดันรังแกแคว้นเรามาก ลูกหลานแห่งหนานฉู่ต่างรู้ดีว่าแคว้นสู่อาศัยอำนาจอิทธิพลรังแกราษฎรของข้าอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังใช้ประโยชน์จากการค้า ขึ้นราคาของโดยไม่บอกกล่าว ขูดรีดปล้นสะดมเงินทองของราษฎรหนานฉู่ไปมากมาย วันนี้หนานฉู่ออกเดินทัพมาแล้ว ย่อมต้องโจมตีให้สำเร็จ ชำระหนี้แค้นนี้ให้ได้”
กล่าวจบก็ชี้แส้ม้าไปด้านหน้า กองทหารหนานฉู่ตะโกนก้องอย่างพร้อมเพรียง เสียงกลองลั่นดุจอสนีบาต ทหารหนึ่งกองพันเริ่มโห่ร้องทะยานไปเบื้องหน้า แต่ละคนถือโล่และดาบคอยคุ้มครองบันไดตีเมือง วิ่งโถมสู่กำแพงเมือง
กองทัพหนานฉู่ฉวยโอกาสยามที่มือธนูบนกำแพงมิอาจยื่นศีรษะออกมายิงธนูนำบันไดไปพาดกับกำแพงแล้วเริ่มปีนขึ้นไป ด้านหลังมีทหารยี่สิบสามนายผลักรถกระทุ้งมาใต้กำแพงเมือง เสียงกระทบดังสนั่นจนกลบเสียงกลองและเสียงสัญญาณ เพิ่งกระแทกประตูไปได้ไม่กี่ครั้งก็เกิดเสียงกลองดังลั่นมาจากเหนือกำแพง ไม่ทันไรก็มีท่อนไม้และก้อนหินกลิ้งลงมาดุจห่าฝน บันไดเหล่านั้นถูกผลักจนล้ม ร่างของนายทหารแห่งหนานฉู่กระเด็นร่วงลงมาจากอากาศจนร่างกายเหลวแหลก รถกระทุ้งเมืองก็ถูกก้อนหินกระแทกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
ข้ามองด้วยใจพะวง แต่กลับเห็นเต๋อชินอ๋องและเสนาธิการทหารคนอื่นๆ มองดูสงครามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีความเคร่งเครียดแม้เพียงกระผีกเดียว ต่อมา เมื่อเสียงระฆังสำริดดังขึ้น ทหารเหล่านั้นจึงพากันถอยทัพ ข้าพินิจอย่างละเอียดพบว่า ทหารส่วนใหญ่ไม่ได้บุกขึ้นไป ดังนั้นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจึงไม่มากเท่าที่ข้าคิด ผ่านไปครู่หนึ่ง กองทัพแห่งหนานฉู่ก็เริ่มโจมตีเมืองเป็นระลอกสอง ทหารบนกำแพงเมืองก็เริ่มโจมตีโต้ตอบ
วันนี้กองทัพหนานฉู่บุกโจมตีไปทั้งสิ้นยี่สิบกว่าครั้ง ล้วนเป็นการตีแล้วหยุดครึ่งๆ กลางๆ ทหารรักษาการณ์บนกำแพงเมืองก็ระมัดระวังยิ่ง ไม่ใช้ท่อนไม้และก้อนหินพร่ำเพรื่อ จนกระทั่งท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม กองทัพหนานฉู่จึงบุกโจมตีดุเดือดรุนแรง รุกโจมตีสุดกำลังดั่งเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ เหล่าทหารปีนขึ้นไปอย่างลืมตาย กระทั่งปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองสำเร็จและเริ่มต่อสู้นองเลือดด้านบน ทว่าสุดท้ายกองทัพหนานฉู่ยังคงถอยกลับไปด้วยความล้มเหลว
ข้ามองดูจนสั่นสะท้านไปถึงจิตวิญญาณ การตีเมืองวันนี้มีคนตายไปราวสองสามพันคน นับว่าเสียหายไม่มาก แต่บรรยากาศน่ากลัวเช่นนั้นทำให้ข้ามิอาจสงบใจ คืนวันนั้น ข้านอนกระสับกระส่ายอยู่ในกระโจมค่าย การตีเมืองเสียหายมากเพียงนี้เชียว ได้ยินว่าต่อไปยังมีเมืองเช่นนี้อีกมาก มิใช่ว่าทุกเมืองจะต้องเสียหายจนน่าอนาถเพียงนี้หรือ
วันต่อมา การตีเมืองเป็นไปอย่างน่าเวทนายิ่ง ดวงอาทิตย์เพิ่งจะโผล่พ้นฟ้า กองทัพก็ผลักรถยิงหินสิบกว่าคันออกมาจนเกิดเสียงดังครืนๆ เมื่อได้ยินเสียงคำสั่ง ก้อนหินขนาดมหึมาพลันทะยานสู่ฟ้า ตกลงบนกำแพงเมืองอย่างรุนแรง
แม้ด่านปาจวิ้นจะมีกำแพงสูง คูน้ำลึก อีกทั้งกำแพงเมืองก็มิได้อ่อนแอ ทว่ากำแพงเมืองยังถูกหินซัดจนเศษกำแพงปลิวกระจาย กำแพงสั่นสะท้านท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ดวงตาของข้าหดเกร็ง มองเห็นเศษเนื้อปลิวว่อนยามเมื่อนายทหารถูกกระแทกด้วยก้อนหินมหึมา ต่อมาทหารรักษาการณ์ในเมืองก็เสี่ยงสู้หินจากทัพเรา เริ่มหย่อนก้อนหินลงมาเช่นกัน ก้อนหินที่ถูกโยนลงมาจากกำแพงมีพลังทำลายล้างรุนแรง บดกระแทกลงมาในสนามรบของกองทัพฝ่ายเรา
เนื่องจากการโจมตีเช่นนี้เล็งเป้ายาก จึงโจมตีถูกเครื่องยิงหินของพวกเราจนเสียหายไปได้ครึ่งเดียว แต่ก็ทำให้พื้นที่สนามรบเบื้องหน้ากองทัพเละเทะ เศษเนื้อกระจุยกระจาย ศพและกระดูกมีมากเป็นกองพะเนิน ศึกดวลหินคราวนี้ดำเนินไปเป็นเวลาสองก้านธูป
ในเวลาเพียงสั้นๆ ก็ทำเอาข้ามือเท้าเย็นเฉียบ ในดวงตามีเพียงภาพเศษเนื้อและโลหิต พลังสายตาของข้าดีเกินไป จึงเห็นกระทั่งสีหน้าเจ็บปวดเวทนาก่อนตายของเหล่าทหาร จากนั้นคล้ายว่ามีก้อนหินไม่พอ การโจมตีของสองฝั่งจึงอ่อนลงจนกระทั่งค่อยๆ หยุดไป ทหารทัพหนานฉู่ดันป้อมธนูเคลื่อนที่ไปเบื้องหน้า แบกบันไดเข้าโจมตีเมืองอีกครั้ง แม้ป้อมธนูเคลื่อนที่จะไม่สูงเท่ากำแพงเมือง แต่ยังฝืนต้านการตอบโต้จากเมืองได้บ้าง ธนูคมกริบจากสองฝั่งพุ่งทะยานกลายเป็นเส้นโค้งอันงดงามกลางนภา แทงทะลุร่างกายอันแกร่งกล้าของเหล่าทหารจนโลหิตสาดกระเซ็น เลือดของทหารสองทัพหลั่งไหลอยู่หน้ากำแพงเมืองไปเช่นนี้เอง
ยามที่ทัพหนานฉู่วิ่งฝ่าห่าธนูบุกโจมตีเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้สิ่งที่ร่วงลงมาจากกำแพงเมืองคือน้ำมันร้อนฉ่าและปูนขาว เมื่อพวกมันตกใส่ศีรษะของทหารหนานฉู่ ทหารบนกำแพงเมืองก็โยนคบเพลิงและฟางข้าวนับไม่ถ้วนลงมาอีกครั้ง ใต้กำแพงเมืองกลายเป็นทะเลเพลิงไปในพริบตา มีเพียงทหารมือเท้าว่องไวไม่กี่คนที่กลับมาได้ ทหารคนอื่นถูกทะเลเพลิงโอบล้อม ถูกเผาไหม้เสียอนาถจนมิอาจทนดู เสียงกรีดร้องดังออกมาจากเปลวเพลิง สะเทือนไปทั้งฟ้าดิน
เมื่อดูถึงตรงนี้ ข้าก็นึกชังประสาทสัมผัสทั้งหกของตนที่เฉียบแหลมเกินไป ข้าทนดูไม่ไหวอีก รีบชักม้าไปด้านหลัง หาสถานที่สงบเงียบเพื่ออาเจียนออกมา อาเจียนจนน้ำย่อยหมดท้องจึงค่อยหยุด
เมื่อข้ายืดตัวขึ้น พลันเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อในชุดเกราะยืนอยู่หน้าม้าของข้า เขาส่งน้ำสะอาดมาให้ บอกให้ข้าใช้ล้างปาก เมื่อข้าสงบอารมณ์ได้แล้วจึงถามไปว่า “เจ้ามาได้อย่างไร ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนหวังกงกงหรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อกระซิบบอก “ข้าบอกหวังกงกงไปว่า ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในสนามรบเป็นเช่นไร จึงอยากออกมาดูเสียหน่อย หวังกงกงเองก็กังวลมากจึงอนุญาต”
ข้ามองไปยังสนามรบที่อยู่ไกลๆ ยังคงรู้สึกผวาในใจ “น่ากลัวเหลือเกิน ข้ากลับค่ายดีกว่า”
ขณะที่ข้ากำลังคิดควบม้ากลับไป เสี่ยวซุ่นจื่อกลับดึงบังเหียนม้าข้าไว้ พูดว่า “ใต้เท้า ไม่ได้เชียว แม้ข้าจะไร้ความรู้ แต่ก็ทราบว่า หากใต้เท้ามาใจฝ่อเอาตอนนี้ ภายหน้าคงไม่อาจเงยหน้าต่อหน้าเหล่าแม่ทัพนายกองได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากนี้ ท่านยังต้องเข้าร่วมศึกสงครามอีกมาก ท่านจะหนีทุกครั้งหรือ”
ข้าได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกผิด ในใจคิดว่าจิตใจของข้ายังห่างชั้นจากเสี่ยวซุ่นจื่ออีกไกล ข้ามองเขาอย่างซาบซึ้งก่อนชักม้ากลับไปยังแนวหน้า
เมื่อข้ากลับมาอยู่ข้างกายจ้าวเจวี๋ยอีกครั้ง เหล่าแม่ทัพและเสนาธิการข้างกายเขาก็ใช้สายตาชื่นชมมองมา แม้ข้าจะมีสีหน้าขาวซีดราวกระดาษ จ้าวเจวี๋ยก็ยังเอ่ยชมเชย “สุยอวิ๋นมีความกล้าหาญใช้ได้เลยทีเดียว ยามข้ามาสนามรบครั้งแรกยังมีสภาพอนาถกว่าเจ้าเสียอีก วางใจเถิด เจออีกไม่กี่สนามรบก็ดีขึ้นแล้ว”
ข้าที่อยู่บนหลังม้าก้มตัวคารวะ ถามว่า “องค์ชาย กระหม่อมไร้ความรู้ด้านการทหาร แต่ดูเหมือนการโจมตีของพวกเราไม่ราบรื่นนักกระมัง”
จ้าวเจวี๋ยยิ้มเศร้า “ใช่แล้ว ปาจวิ้นเป็นเมืองสำคัญของแคว้นสู่ มีทั้งแม่ทัพกล้าและทหารหาญ มีอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงมากพอสำหรับการป้องกันเมือง ดังนั้นจึงโจมตียากยิ่ง ทำให้ข้าอดปวดใจไม่ได้ โชคดี หากโจมตีปาจวิ้นสำเร็จ อีกยี่สิบกว่าเมืองต่อไปก็ง่ายขึ้นมาก”
ข้าถามอีกครั้ง “เช่นนั้นจากความคิดของท่าน พวกเราต้องโจมตีอีกกี่วันหรือ”
จ้าวเจวี๋ยคำนวณครู่หนึ่งจึงค่อยตอบ “หากพวกเราโจมตีปาจวิ้นได้ภายในครึ่งเดือนก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
ข้าลองคำนวณดู ต้ายงออกเดินทางจากด่านหยางผิง ผ่านทางตงชวนไปโจมตีด่านเจียเหมิง ต้องผ่านด่านรักษาการณ์ที่อันตรายหลายด่านเช่นกัน ทว่าต้ายงมีทหารและเสบียงมากพอ ส่วนหนานฉู่ของพวกเรา หากคิดจะชิงความได้เปรียบ จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม ในสมองของข้าย้อนคิดไปถึงตัวอย่างสงครามที่เคยอ่านผ่านตา ขบคิดว่าทำอย่างไรจึงจะคลี่คลายสถานการณ์ตรงหน้าได้
ข้าคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ จึงย้อนคิดไปถึงข่าวกรองเกี่ยวกับปาจวิ้น ความทรงจำแต่ละระลอกถาโถมเข้ามา ข้าทอดสายตามองไปยังกำแพงเมือง แม่ทัพในชุดเกราะสีแดงผู้นั้นกำลังยืนบัญชาการอยู่ด้านบน คนผู้นั้นบัญชาการได้อย่างสุขุมเยือกเย็น ทั้งยังใคร่ครวญรอบด้าน ปกป้องปาจวิ้นเสียจนไม่มีช่องโหว่ หากหนานฉู่เปิดช่องว่างเพียงเล็กน้อยก็จะถูกเขามองจนทะลุปรุโปร่ง จากนั้นก็จะรุกไล่โจมตีอย่างหนัก ไม่คิดอ่อนข้อแม้แต่น้อย
ประเดี๋ยวก่อน รุกไล่โจมตีอย่างหนัก ไม่คิดอ่อนข้อแม้แต่น้อยเช่นนั้นหรือ ข้าพลันคิดไปถึงรายงานเกี่ยวกับแม่ทัพรักษาเมือง แม่ทัพเถียนเหวย คุมทัพเข้มงวด สู้ศึกห้าวหาญ เชี่ยวชาญการป้องกันเมือง การป้องกันแข็งแกร่งดุจภูผา ทั้งยังเชี่ยวชาญการโจมตีค่ายศัตรูเป็นพิเศษ มิน่าเล่า เต๋อชินอ๋องจึงตั้งค่ายจนแน่นขนัดปานนั้น ที่แท้คนผู้นี้ก็เชี่ยวชาญการโจมตีค่ายศัตรูนี่เอง
แผนการค่อยๆ ก่อตัวขึ้นช้าๆ จนเป็นรูปเป็นร่าง แต่จะทำได้หรือ คิดไปคิดมา ข้าจึงชักม้าไปข้างกายเต๋อชินอ๋อง กระซิบบอกวิธีการของตนกับเขา เต๋อชินอ๋องลังเลทว่ายังรู้สึกสนใจ เนิ่นนานผ่านไปจึงแย้มยิ้มผงกศีรษะ จากนั้นจึงออกคำสั่งถอยทัพ ในที่สุด วันที่สู้รบหลั่งโลหิตมากที่สุดในด่านปาจวิ้นก็ปิดฉากลง