ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 2 บัณฑิตตกอับ (2)
ข้านั่งกอดเข่าอยู่บนดาดฟ้าเรือบรรทุกสินค้าลำหนึ่ง ดื่มด่ำไปกับทิวทัศน์แม่น้ำอันสดชื่นในยามค่ำคืนอย่างสบายอกสบายใจ เรือขนาดกลางเช่นนี้ ด้านล่างจะบรรจุสินค้าเต็มลำ ด้านบนแบ่งเป็นห้องเล็กๆ จำนวนหนึ่งให้แขกเข้าใช้งาน สบายกว่าเรือโดยสารมากนัก เพียงแต่ราคาก็แพงกว่ามาก อย่างไรเสีย ตอนนี้ที่เอวข้าก็มีเงินอยู่หลายร้อยตำลึง อย่างไรก็พอใช้ ดังนั้นข้าจึงขอฟุ่มเฟือยสักครั้ง
เห็นจันทราทอแสงเย็นสดใส ดวงดาวพร่างพราวเต็มฟ้า ทำให้ข้าเกิดอารมณ์อยากขับกลอนอย่างช่วยมิได้ จึงร่ายกลอนออกไปว่า “วาโยคลอหญ้าริมชลาธร โดดเดี่ยวดุจนาวีน้อยกลางฟ้ามืด ดาราหลับใหลสงบนิ่งขจรไกล จันทรากระเพื่อมไหวตามกระแสธาร ชื่อเสียงโด่งดังหาใช่เพราะกลอนข้า ยามเจ็บป่วยล้มชราขุนนางจักเดินถอย โบยบินชั่วชีวิตมิได้สิ่งที่รอคอย มิสู้ถลาลมลอยสู่ฟ้ากว้างดั่งนางนวลทราย”
ขณะที่ข้าคิดจะร่ายกลอนซ้ำอีกครั้ง พลันได้ยินเสียงคนปรบมือชื่นชมอยู่ด้านหลัง ข้าหันกลับไปมอง พบว่ามีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่น แม้แสงจันทร์พร่าเลือน ทว่าด้วยพลังของสายตาข้าทำให้เห็นบุรุษหนุ่มหล่อเหลาแกร่งกร้าวยืนอยู่บริเวณนั้นอย่างชัดเจน แม้จะสวมชุดผ้าหยาบ ทว่าบรรยากาศกลับไม่ธรรมดา ข้ามองอย่างไรก็รู้สึกว่ามีบารมีมากกว่าลู่โหวเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้น บนร่างเขาคล้ายจะมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับถูกสายลมยามวสันต์อาบย้อม
ข้ามองดูตนเองด้วยความรู้สึกอับอายเล็กน้อย รูปร่างธรรมดาสามัญ ทว่ามิถึงขั้นลมพัดล้ม แม้หน้าตาจะนับว่างดงามหล่อเหล่า แต่จะมองอย่างไรก็เป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอผู้หนึ่ง ตอนนี้เป็นช่วงการทหารกำลังคุกกรุ่น สิ่งที่ดึงดูดสตรีมากที่สุดยังคงเป็นคุณชายหล่อเหลาที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ หรือไม่ก็พวกจอมยุทธ์ที่แม้จะรู้อักษรไม่กี่ตัว ทว่าขอเพียงรู้อักษรเล็กน้อยก็ดึงดูดสายตาสตรีได้มากกว่าข้าแล้ว หากถามว่าข้ารู้ได้อย่างไร สาเหตุย่อมเป็นเพราะสาวใช้ทั้งหลายในจวนลู่โหวไม่เคยมองข้าตรงๆ สักครั้ง
ข้าลุกขึ้นยืน กล่าวขออภัย “รบกวนการพักผ่อนของท่านแล้ว ขออภัยจริงๆ ขอรับ”
ชายหนุ่มผู้นั้นส่ายศีรษะ “ที่ไหนกันเล่า หากมิใช่ว่าข้ายังไม่นอน จะมิพลาดบทกลอนอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ของคุณชายหรือไร ขอเรียนถามหน่อยเถิด นี่คือผลงานของคุณชายหรือ”
ข้ารู้สึกยินดีในใจ ทว่ายังคงกล่าวตอบด้วยสีหน้าถ่อมตัว “บทประพันธ์มิได้ความ ยากจะทำให้ผู้อื่นเชยชม ทำให้ท่านหัวเราะแล้ว”
บุรุษหนุ่มผู้นั้นมองสำรวจข้าอยู่พักใหญ่จึงค่อยกล่าวขึ้นว่า “คุณชายอายุยังน้อยแต่ความสามารถด้านอักษรกลับโดดเด่นเหนือผู้คนเพียงนี้ นับถือจริงๆ ผู้น้อยหลี่เทียนเสียง เป็นพ่อค้าเร่ใต้ปกครองสู่อ๋อง[1] คราวนี้มาทำธุระที่เจี้ยนเย่ ไม่ทราบว่าคุณชายชื่อแซ่อะไร มาเจี้ยนเย่ด้วยเหตุอันใดหรือ”
ข้าพึมพำในใจ คนผู้นี้แม้จะกล่าวด้วยสำเนียงแคว้นสู่ แต่ข้าฟังแล้วยังรู้สึกแปร่งๆ ทว่าเรื่องของผู้อื่น ข้าไม่คิดยุ่งให้มากความ ดังนั้นจึงตอบไปอย่างเกรงอกเกรงใจ “ผู้น้อยเจียงเจ๋อ นามรองสุยอวิ๋น มาเจี้ยนเย่คราวนี้เพื่อร่วมสอบเคอจวี่ขอรับ”
ในดวงตาของหลี่เทียนเสียงปรากฏแววแปลกประหลาดแวบหนึ่ง กล่าวว่า “คุณชายเป็นผู้โดดเด่นมากพรสวรรค์ เชื่อว่าต้องประสบความสำเร็จดังปรารถนาเป็นแน่ คงลำบากเพียงขยับมือเท่านั้น”
ข้ายิ้มอย่างกระอักกระอ่วน เดิมทีหากมิใช่เพราะต้องการโกหกกลบเกลื่อน ข้าคงไม่คิดเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ถึงอย่างไรข้าก็มีวิธีเลี่ยงการสอบจงจวี่[2] ทั้งยังทำให้ผู้อื่นกล่าวว่าอันใดไม่ได้อีกด้วย
หลี่เทียนเสียงเห็นข้ามีท่าทางอึดอัดจึงไม่กล่าวเรื่องการสอบอีก พูดออกมาอย่างปลงอนิจจังว่า “เฮ้อ คราวนี้เดินทางมาจากสู่จง เห็นว่าสถานการณ์ในจงหยวน[3] ตึงเครียด เจียงเซี่ยก็คล้ายจะมีสงคราม ตอนนี้การค้าย่ำแย่ลงทุกวัน ก่อนหน้านี้ เจ้าแคว้นหนานฉู่ออกราชโองการเพิ่มภาษีการค้า สู่อ๋องจึงแต่งทูตไปเจรจาถึงหนานฉู่ มิเช่นนั้นสินค้าของพวกข้าคงขาดทุนแล้ว!”
ข้ากล่าวไปตามใจว่า “ความจริงสู่อ๋องมิจำเป็นต้องสิ้นเปลืองพระทัยปานนั้น หนานฉู่และแคว้นสู่เป็นดั่งปากและฟันที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ขอเพียงแจงความเกี่ยวพันนี้ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน เจ้าแคว้นย่อมลดภาษีเป็นแน่ กระทั่งอาจเสนอสิทธิพิเศษทางการค้าด้วยกระมัง”
หลี่เทียนเสียงกล่าวด้วยรอยยิ้มบางเบา “กล่าวเช่นนี้ ผู้น้อยมิอาจเข้าใจ”
ยากนักกว่าข้าจะพบคนที่อยากรู้ความคิดเห็นของข้า จึงกล่าวไปอย่างลำพองใจ “นี่ต้องเริ่มกล่าวจากสถานการณ์ปัจจุบันของแผ่นดินเสียก่อน หนานฉู่และต้ายงคุมเชิงกันโดยแบ่งเป็นเหนือใต้ แต่นี่เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านกำลังทหารหรือสภาพจิตใจของราษฎร หนานฉู่ล้วนเทียบต้ายงมิได้ จึงทำได้เพียงตรึงกำลังป้องกันไว้ ไม่มีแรงรุกโจมตี ดังที่กล่าวกันว่า แข็งอยู่ไม่นาน อ่อนรักษาไม่ได้ ทุกคนต่างรู้ว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะช้าจะเร็วหนานฉู่ย่อมต้องล่มสลาย ดังนั้นเจ้าแคว้นจึงไปขอสงบศึกกับต้ายง เรียกขานจักรพรรดิต้ายงว่าเป็นเจ้าแผ่นดินเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว สู่จงภายใต้การปกครองของแคว้นท่านมีความเพรียบพร้อมทางทหาร แม้แคว้นสู่จะมีข้อจำกัดทางด้านภูมิศาสตร์ ทำได้เพียงจัดทัพรักษาการณ์ด้านเดียว ทว่ากลับแข็งแกร่งกว่าหนานฉู่ของข้า หากแคว้นสู่และต้ายงร่วมมือกัน ต้ายงโจมตีทางแม่น้ำฉางเจียง แคว้นสู่เคลื่อนทัพตามแม่น้ำหลันเจียง หนานฉู่ต้องล่มสลายเป็นแน่ แต่หากแคว้นสู่ปกป้องสู่จงอย่างเข้มงวด ส่วนหนานฉู่ก็ไปร่วมมือกับเป่ยฮั่นที่อยู่ทางเหนือของต้ายง เมื่อทัพต้ายงโจมตีหนานฉู่ เป่ยฮั่นจะขานรับหนานฉู่จากทางเหนือ ต้ายงจะเผชิญอันตรายจากแม่น้ำฉางเจียง ขอเพียงรักษาสถานการณ์ไว้ได้สามเดือนขึ้นไป ต้ายงย่อมต้องถอยทัพไปเอง”
หลี่เทียนเสียงมีสีหน้าเลื่อมใส เนิ่นนานผ่านไปจึงกล่าวต่อ “หากเป็นเช่นนี้ มิใช่ว่าใต้หล้ายากจะรวมเป็นหนึ่งหรือไร เช่นนี้คงลำบากชาวบ้านตาดำๆ อย่างพวกเราแล้ว”
ข้ากล่าวปลอบเขาไป “ที่ข้ากล่าวเป็นเพียงสถานการณ์ในอุดมคติเท่านั้น ตอนนี้เจ้าแคว้นหนานฉู่ทรงลำพองพระทัย คิดพึ่งอาศัยเพียงความอันตรายของแม่น้ำฉางเจียง ซึ่งทำให้เกิดอันตรายซ่อนเร้น หากต้ายงมีทหารฉลาดเฉลียวอาจรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้”
หลี่เทียนเสียงกล่าวราวกับสนใจใคร่รู้ “เมื่อครู่คุณชายกล่าวว่า ต้ายงยากยืนหยัดต่อไปมิใช่หรือ เหตุใดจึงกล่าวว่าต้ายงอาจรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้เล่า”
ข้าเรียบเรียงความคิดแล้วกล่าวไปว่า “แม้ต้ายงจะเป็นดินแดนที่มีสงครามนับร้อย แต่ก็มีข้อได้เปรียบชัดเจน บนมีจักรพรรดิทรงพระปรีชาและขุนนางมากความสามารถ ล่างมีกองทหารนับล้าน ขอเพียงใช้กลยุทธ์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ภายในเวลายี่สิบปีต้องรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้แน่ สถานการณ์ของแผ่นดินในตอนนี้ แผ่นดินสู่เป็นจุดสำคัญ เพียงแต่สู่จงป้องกันง่าย โจมตียาก หากคิดแย่งชิงใต้หล้า ต้องเริ่มจากร่วมมือเป่ยฮั่นเสียก่อน ทำให้ด้านหลังปลอดภัย จากนั้นค่อยแยกจากหนานฉู่”
หลี่เทียนเสียงเอ่ยถามอย่างสงสัย “ร่วมมือกับเป่ยฮั่นยังพอเป็นเป็นได้ แต่กับหนานฉู่ต้องพึ่งพากันดั่งลิ้นกับฟัน จะแยกกันได้อย่างไร”
“มีอะไรยากเล่า ข้าได้ยินว่าระยะนี้ทางราชสำนักของหนานฉู่อยากเรียกคืนตำแหน่งจักรพรรดิ หากต้ายงแสดงท่าทีตึงมือคล้ายไม่อยากรบ ย่อมยากจะเกิดสงคราม เจ้าแคว้นหนานฉู่ต้องสับสนเป็นแน่ หากต้ายงส่งสายลับเข้าไป ใช้วาจาคมคายและของขวัญมากมายไปติดสินบนขุนนาง ขณะเดียวกันก็แต่งทูตไปยังหนานฉู่เพื่อฟื้นคืนตำแหน่งจักรพรรดิ เช่นนั้นย่อมเกิดช่องว่างทางจิตใจระหว่างหนานฉู่และแคว้นสู่มากขึ้น ถึงตอนนั้นเป่ยฮั่นย่อมอดระแวงมิได้ เมื่อได้เวลา ต้ายงก็ทำเป็นยอมรับตำแหน่งจักรพรรดิของหนานฉู่ชั่วคราว สองแคว้นแบ่งแยกปกครองโดยมีแม่น้ำเป็นพรมแดน จากนั้นก็ร่วมมือกับหนานฉู่โจมตีแคว้นสู่ เจ้าแคว้นหนานฉู่มีวิสัยทัศน์คับแคบ ต้องติดกับแน่นอน แม้สู่จงยากโจมตี ทว่าก็ยากจะรับการโจมตีจากสองแคว้นเช่นกัน ถึงตอนนั้น แคว้นสู่ต้องแค้นหนานฉู่เป็นแน่ ขอเพียงต้ายงใช้กลยุทธ์ให้ถูกต้องเหมาะสม ย่อมได้แผ่นดินส่วนใหญ่ของสู่จงมาครอบครอง จากนั้น หากต้ายงโจมตีขนาบสองฝั่ง ต้องทำลายหนานฉู่ได้แน่ เมื่อได้เวลาก็บำรุงและสะสมกองกำลังให้เกรียงไกร ทำลายฮั่นในคราวเดียว ไยต้องกังวลว่าจะสยบใต้หล้ามิได้เล่า”
หลี่เทียนเสียงได้ยินดังนั้นพลันกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบานใจ “ดูท่าทาง ขอเพียงสู่จงของข้าและหนานฉู่ร่วมมือกัน ต่อให้ต้ายงจะมีความสามารถเพียงใดก็ไร้หนทาง โชคดีที่พี่เจียงมิได้เป็นประชาชนต้ายง หากท่านได้รับความสำคัญจากต้ายง แคว้นสู่ของพวกเราคงเป็นอันตรายแล้ว”
ข้ากล้าวไปอย่างเกียจคร้าน “ข้าไม่ไปต้ายงหรอก ได้ยินว่าที่นั่นให้ความสำคัญกับผลงานทางการทหาร หากบัณฑิตอ่อนแอเช่นข้าไปที่นั่นคงรับไม่ไหว อีกไม่กี่ปี รอข้าทำเงินได้มากเสียหน่อย ว่าจะกลับไปซื้อที่นาที่บ้านเกิด แต่งภรรยาอ่อนโยน มากคุณธรรมสักคน เช่นนี้จึงจะนับว่าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมิใช่หรือ”
หลี่เทียนเสียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านสมปรารถนา แต่ฟังจากแผนการของท่านแล้ว ต้ายงคงไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงยี่สิบปีหรอกกระมัง”
ข้าเอ่ยอย่างง่วงงุน “เดิมทีไม่จำเป็น หากสิ้นสุดที่การโจมตีหนานฉู่คงใช้เวลาราวๆ ห้าหกปี แต่ข้าได้ยินว่า จักรพรรดิของต้ายงพระชนมายุมากแล้ว รัชทายาทหลี่อันแม้จะเป็นองค์ชายรัชทายาท แต่ชื่อเสียงด้านการทหารยังห่างชั้นจากบุตรชายคนรองยงอ๋องหลี่จื้อมากนัก ยามต้ายงสถาปนาแคว้น เนื่องจากบุตรชายคนรองหลี่จื้อมีผลงานดี จักรพรรดิหลี่หยวนจึงพระราชทานนามยงอ๋องให้ตามชื่อแคว้น เดิมมีเจตนาแต่งตั้งเป็นองค์ชายรัชทายาท ทว่าภายหลังด้วยกฎและข้อบังคับต่างๆ ของต้ายง หลี่หยวนจึงแต่งตั้งหลี่อันเป็นรัชทายาทตามกฎข้อบังคับที่ตราไว้ว่า ต้องเป็นบุตรคนโตของภรรยาเอก ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง หากจัดการไม่ดี มิแน่ว่าต้ายงอาจแตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะเหตุนี้ก็เป็นได้ ที่ข้ากล่าวว่ายี่สิบปีนั้น ต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ความวุ่นวายภายในไม่มากเกินไปด้วย”
หลี่เทียนเสียงก้มหน้าเล็กน้อย ผ่านไปนานจึงพูดขึ้นว่า “ใช่!”
ข้าไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเขาและคร้านจะใคร่ครวญ จึงบอกลาแล้วกลับห้องไป วันต่อมายามตื่น ข้าได้ยินว่าหลี่เทียนเสียงลงเรือก่อนกำหนด ช่างแปลกเสียจริง
เดิมทีแผนการของข้านับว่าไม่เลวเลย ทว่าลิขิตสวรรค์ยากคาดเดา ผู้ใดจะทราบว่าวันแรกที่ข้าไปถึงเจี้ยนเย่ ข้าจะกลายเป็นผู้ยากไร้เสียแล้ว
ย้อนคิดไปถึงช่วงเวลานั้น ยามข้าเห็นเจี้ยนเย่เป็นครั้งแรก ได้เห็นเมืองหลวงที่เป็นดั่งรังเสือมังกรเช่นนี้ ทำเอาข้าตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ดังนั้นหลังจากเข้าพักในโรงเตี๊ยมแล้วจึงออกไปท่องเที่ยวที่วัดฝู่จื่อริมน้ำยงไหว และได้พบดาวนำโชคในชีวิตข้า แน่นอนว่าตอนนั้น สำหรับข้าแล้ว เขาก็คือดาวหายนะของข้า
ข้ากำลังเดินเล่นไปตามถนน จู่ๆ ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ด้านหน้า ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงอดเดินเข้าไปไม่ได้ ที่แท้กลับกลายเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่งขายตัวเองหาเงินฝังศพให้บิดา ข้าพลันคิดถึงยามที่บิดาจากโลกนี้ไป ยามนั้นถุงเงินของข้าว่างเปล่า หากไม่มีโอกาสเข้าไปทำงานในจวนเจิ้นหย่วนโหว เกรงว่าข้าคงต้องขายตัวเองเพื่อฝังศพบิดาเช่นกัน ด้วยความบุ่มบ่ามไปชั่วขณะ ข้าจึงควักเงินร้อยตำลึงออกมามอบให้เด็กน้อยผู้นั้น
ใบหน้าน่ามองของเขาปรากฏแววซาบซึ้ง กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “คุณชาย หากผู้น้อยฝังศพบิดาแล้วจะไปปรนนิบัติคุณชายนะขอรับ ไม่ทราบว่าคุณชายอาศัยอยู่ที่ใดหรือ”
ข้ายิ้มกระอักกระอ่วน มองดูสายตาริษยาที่ยิงพุ่งมาจากผู้คนรอบด้าน ในใจคิดว่า ข้าทำลายคำสั่งสอนโบร่ำโบราณที่กล่าวว่า ความมั่งคั่งมิอาจเปิดเผยไปเสียแล้ว เช่นนั้นย่อมมิอาจบอกผู้อื่นว่าตนพักอาศัยอยู่ที่ใดได้อีก ข้าจึงรีบเดินออกไปอย่างร้อนรนโดยมิได้กล่าวตอบสิ่งใด อยากกลับโรงเตี๊ยมเร็วๆ เสียหน่อย
ข้าเดินก้มหน้ามองพื้น เมื่อเดินมาถึงปากซอยแห่งหนึ่งพลันรู้สึกว่ามีคนตามมาด้านหลัง ยังไม่ทันหันกลับไปมองก็รู้สึกคล้ายมีของแข็งบางอย่างจ่ออยู่ที่เอว ด้วยเหตุนี้ข้าจึงถูกพาเข้าไปในซอยอย่างว่าง่าย จากนั้นเหมือนข้าจะถูกไม้กระบองตีที่หลังศีรษะ จนกระทั่งข้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็นอนอยู่บนพื้นพร้อมด้วยถุงเงินว่างเปล่าแล้ว
ข้าเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย โชคดีที่ตอนแรกข้าเก็บเงินสิบตำลึงไว้ในตู้ ทว่าเงินเพียงเท่านี้ อยู่ได้มากสุดหนึ่งเดือนเท่านั้น ทำเช่นไรดี จะทำเช่นไรดี ข้านอนพลิกตัวทั้งคืน สุดท้ายก็คิดวิธีการแก้ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวขึ้นมาได้ นั่นก็คือข้าต้องเข้าร่วมการสอบอย่างจริงจัง จากนั้นก็ไปคว้าที่สองมา แล้วข้าจะมีเงินราชการไว้ใช้จ่าย มีจวนจากตำแหน่งราชการให้พักอาศัย คิดว่าหนานฉู่คงไม่ล่มสลายเร็วนักกระมัง รอให้ข้าหาเงินได้มากพอเสียก่อน ค่อยไปลาออกจากตำแหน่ง ถึงตอนนั้นสมควรไม่มีผู้ใดมาหาเรื่องข้าที่ไร้ซึ่งตำแหน่งทางราชการแล้วกระมัง
[1] อ๋อง เป็นพระราชอิสริยยศสูงสุดของจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์เซี่ยจนถึงราชวงศ์โจว ซึ่งสมัยนั้นจีนยังไม่รวมเป็นจักรวรรดิที่เป็นปึกแผ่น แต่ละแคว้นจะมีอ๋องเป็นเจ้า ผู้ครองแคว้นผู้ที่จะได้รับการสถาปนาเป็นอ๋องส่วนใหญ่จะเป็นพระบรมวงศ์ ถือว่าเป็นยศถาบรรดาศักดิ์ชั้นพิเศษ และมีสิทธิ์สืบราชสมบัติได้
[2] การสอบจงจวี่ การสอบคัดเลือกขุนนางในระดับมณฑลของจีนยุคโบราณ
[3] จงหยวน ชื่อที่ใช้เรียกแผ่นดินจีนภาคกลาง