ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 22 ปากหวานก้นเปรี้ยว (1)
ชายหนุ่มผู้นั้นไอออกมาอย่างเจ็บปวดหลายครั้ง มองข้าด้วยสายตาคาดหวัง ข้าส่งสัญญาณให้เสี่ยวซุ่นจื่อแบกเขาเข้าไปในห้องอย่างอับจนหนทาง จากนั้นจึงถามว่า “ข้าไร้ความสามารถ เป็นเพียงบัณฑิตรู้หนังสือเท่านั้น และมั่นใจว่าไม่เคยทำเรื่องชั่วช้าอย่างการฉุดคร่าสตรี ไม่ทราบว่าเหตุใดเจ้าจึงคิดว่าภรรยาเจ้าอยู่กับข้า”
ชายหนุ่มผู้นั้นมองข้าอย่างนึกฉงน “ผู้น้อยหานจาง แม้เป็นคนแคว้นสู่ แต่มิใช่ขุนนางหรือทหาร เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่ง ภรรยาของผู้น้อยเป็นสตรีตระกูลใหญ่ หน้าตางดงามโดดเด่น ทั้งยังมีฐานะสูงส่ง สามปีก่อนภรรยาข้าไม่พอใจกับการหมั้นหมายที่ครอบครัวจัดแจงจึงออกจากตระกูล กระทั่งมีวาสนาต้องกันจึงได้แต่งงานกับผู้น้อย หลายเดือนก่อน ภรรยาของผู้น้อยรู้ว่ามารดาป่วยหนักจึงกลับไปเยี่ยมเยียน ตอนนั้นอยู่ในช่วงการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงพอดี ผู้น้อยจึงไม่อาจรั้งอยู่นาน ดังนั้นจึงเดินทางกลับบ้านด้วยตนเอง ผู้ใดจะทราบเล่า ต้ายงกับหนานฉู่ถึงกับร่วมมือกันโจมตีแคว้นสู่ บิดาของภรรยาผู้น้อยคือเถียนเหวย เป็นแม่ทัพรักษาการณ์อยู่ที่ปาจวิ้น เขาโชคไม่ดีตายตกไปในการรบแล้ว ภรรยาผู้น้อยและมารดาของนางถูกจับตัวเป็นเชลย ผู้น้อยได้ยินข่าวเมืองปาจวิ้นแตกพ่ายจึงออกเดินทางมาทั้งวันคืน กระทั่งสืบรู้มาว่าพวกนางถูกเต๋อชินอ๋องมอบให้เป็นสาวใช้ของเสนาธิการเจียงเจ๋อเพื่อตกรางวัล ดังนั้นจึงสะกดรอยตามมาตลอดทาง”
ข้ามองเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างแปลกใจ เสี่ยวซุ่นจื่อพลันเผยสีหน้ากระจ่างแจ้งออกมา พูดว่า “ใต้เท้า ตอนนั้นท่านป่วยอยู่ เต๋อชินอ๋องเห็นบุตรีของเถียนเหวยหน้าตางดงามโดดเด่น จึงมอบนางให้ใต้เท้า เป็นรางวัลความดีความชอบที่ใต้เท้าคิดกลยุทธ์ดีๆ ขึ้นมาได้ เพียงแต่ใต้เท้าหมดสติอยู่ตลอด บ่าวจึงจัดแจงแทนใต้เท้า ส่งพวกนางไปให้หวังกงกงแล้ว ไม่กี่วันนี้ ร่างกายของท่านเพิ่งดีขึ้น บ่าวจึงอยากปรนนิบัติรับใช้ท่านอีกสักหลายวัน กอปรกับเถียนซื่อนางนั้นปรนนิบัติรับใช้หวังกงกงได้ครบถ้วนคล่องแคล่ว จึงจัดแจงให้พวกนางอยู่รับใช้หวังกงกงต่อไปเสียเลย เช่นนี้ย่อมยินดีกับทุกฝ่าย”
เช่นนี้ข้าจึงค่อยเข้าใจกระจ่าง มิน่าเล่าช่วงนี้เสี่ยวซุ่นจื่อจึงอยู่ข้างกายข้าเสมอ ข้าถามไปว่า “หวังกงกงปฏิบัติต่อพวกนางเช่นไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าโปรดวางใจ เถียนซื่อเฉลียวฉลาดมากไหวพริบ หวังกงกงยังคิดรับนางเป็นบุตรีบุญธรรมอยู่เลยขอรับ เพียงแต่ฮูหยินเถียนเสียใจกับการตายของแม่ทัพเถียน สุขภาพจึงไม่ดีนัก”
หานจางฟังมาถึงตรงนี้ก็มีสีหน้ายินดีอย่างมิอาจควบคุม เพียงแต่ครู่หนึ่งก็ถูกสีหน้าเจ็บปวดเข้าแทนที่ ข้าคิดในใจว่า ดูแล้วหานจางผู้นี้คงไม่ใช่สายลับของกองทัพสู่ แต่เขาได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของข้าแล้ว จะฆ่าคนปิดปากดีหรือไม่ ทว่าเมื่อคิดดูอีกที ข้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลยจริงๆ เขาจะนำความลับนี้ไปบอกเต๋อชินอ๋องได้หรือไร
ในขณะที่ข้ากำลังลังเล หานจางก็เหลือเพียงลมหายใจรวยระริน ข้ารีบหยิบกล่องบรรจุเข็มออกมา หยิบเข็มทองขึ้นมาฝังเข็มให้เขา จากนั้นจึงให้เขากินยารักษาแผล ไม่นานเขาก็หมดสติไปเพราะฤทธิ์ยา
ข้าพูดกับเสี่ยวซุ่นจื่อว่า “การตายของเถียนเหวยนั้น ข้าทำอะไรไม่ได้ สองแคว้นรบกันย่อมยากจะเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตาย แต่ภรรยาและบุตรสาวของเขามิได้มีความผิดใหญ่อันใด เจ้าลงไปจัดการที รอให้พวกเราตีเมืองลั่วได้ก่อน เมื่อทางสะดวก เจ้าก็ปล่อยพวกเขาสามคนกลับไปเถิด”
เสี่ยวซุ่นจื่อรับคำ “ขอรับ ถึงตอนนั้นข้าคุยกับหวังกงกงให้ชัดเจนก็พอแล้ว หวังกงกงคงไม่เดือดดาล แต่อาจเสียดายอยู่บ้าง หานจางผู้นี้มีพื้นฐานวรยุทธ์ไม่เลว บ่าวไม่กล้าดูแคลนตัวเองเกินไป ทว่าต่อให้เป็นองครักษ์ยอดฝีมือในพระราชวัง ผู้ที่มีชีวิตรอดภายใต้การโจมตีของข้าก็ยังมีไม่มาก หากเก็บหานจางไว้ข้างกาย ฝึกเป็นองครักษ์ของใต้เท้าได้คงดี”
ข้าคิดว่าเป็นไปไม่ได้จึงพูดไปว่า “ข้าเป็นขุนนางของหนานฉู่ เขาเป็นเขยของแม่ทัพแห่งแคว้นสู่ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแม่ยายกับภรรยาเหลืออยู่ จะมาเป็นองครักษ์ของข้าได้ที่ไหนกัน เจ้าคิดเพ้อฝันเกินไปแล้ว”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบว่า “ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย ภรรยาของเขาเป็นบ่าวของใต้เท้าแล้ว หากใต้เท้าอนุญาต เขาก็อยู่กับภรรยาได้ เขาไม่ควรซาบซึ้งบุญคุณหรือไร เพียงแต่ข้ารู้ดีว่า ใต้เท้าต้องการผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์จริงใจ คนผู้นี้หากถูกบีบบังคับให้อยู่ต่อคงไม่ดีนัก”
ข้าพยักหน้ากล่าว “ใช่แล้ว ยอมขาดแคลนดีกว่ามีมากแต่ไร้คุณภาพ หากไม่ซื่อสัตย์จริงใจ อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่กว่าพวกเราจะตีเมืองลั่วได้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีกเดือนสองเดือน ช่วงนี้ยังไม่อาจปล่อยพวกเขาไปได้ ให้เขาเป็นผู้ติดตามข้าชั่วคราวแล้วกัน เจ้ากับข้าจะได้ไม่ต้องไปมาหาสู่กันอย่างแน่นแฟ้นเกินไปจนสร้างความสงสัยให้ผู้อื่น”
เสี่ยวซุ่นจื่อเห็นด้วย “เช่นนั้นก็ดีขอรับ ข้าจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของใต้เท้า”
กว่าหานจางจะได้สติก็กลางดึกแล้ว เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่พลุ่งพล่านอยู่ในกระดูกนับร้อยและแขนขาทั้งสี่ของตน ไม่รู้สึกถึงอาการบาดเจ็บภายในที่เคยทำให้เขาเกือบตายอีก เขาไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ยังรับรู้ได้ว่าตนเองอยู่ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง เขาสัมผัสได้ว่ารอบด้านไม่มีผู้อื่นอยู่ ขณะกำลังจะลุกขึ้น ฝ่ามืออันเย็นเฉียบข้างหนึ่งพลันกดลงบนหน้าอกเขาอย่างแผ่วเบา จากนั้นแสงไฟพลันส่องสว่าง มีคนจุดเทียนแล้ว
หานจางอาศัยแสงเทียนอ่อนๆ มองไป เห็นชายหนุ่มที่ซัดตนจนบาดเจ็บผู้นั้นกำลังมองมาด้วยสายตาเย็นยะเยือก ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร หานจางหยุดการเคลื่อนไหวอย่างชาญฉลาด เขาไม่อยากตายไปอย่างโง่เขลาเช่นนี้ ยิ่งเป็นตอนที่เขาเพิ่งรู้ว่าภรรยาของตนปลอดภัยไร้อันตรายแล้วก็ยิ่งไม่อยากตาย
คนผู้นั้นเห็นเขาใจเย็นก็เผยรอยยิ้มเย็นชา เอ่ยปากว่า “ข้าชื่อหลี่ซุ่น เจียงเจ๋อที่เจ้าตามหาคือนายของข้า นายท่านตัดสินใจแล้วว่า หลังรู้ผลสงครามเมืองลั่วจะปล่อยเจ้า ภรรยาเจ้าและแม่ยายของเจ้าให้เป็นอิสระ แต่ก่อนหน้านั้นหวังว่าเจ้าจะเป็นผู้ติดตามเขาชั่วคราว”
หานจางลังเลครู่หนึ่ง จะอย่างไรเขาก็เป็นคนแคว้นสู่ หากต้องเป็นผู้ติดตามขุนนางของแคว้นที่รุกรานแคว้นบ้านเกิดตนเองย่อมไม่ยินดีอยู่บ้าง เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวต่อไปคล้ายไม่เห็นสีหน้าของเขา “กล่าวตามตรง เจ้าไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี หากมีคนสงสัยว่าเจ้าเป็นสายลับของทัพสู่ คงนำพาความยุ่งยากมาให้ใต้เท้าอย่างยากจะเลี่ยง แต่ในเมื่อใต้เท้าตัดสินใจแล้วข้าก็ไม่มีความเห็นอันใด พรุ่งนี้ใต้เท้าจะพาเจ้าไปพบครอบครัว จากนั้นจะรายงานเรื่องนี้กับท่านผู้ตรวจตราทัพ เมื่อผู้ตรวจตราทัพอนุญาต เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายนายท่านข้าได้ชั่วคราว เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจ”
ใบหน้าของเสี่ยวซุ่นจื่อแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิต กล่าวเน้นทีละคำ “เจ้าไม่เคยได้ยินบทสนทนาของข้ากับใต้เท้า เจ้าไม่รู้ความสัมพันธ์ของข้ากับเขา หากเจ้าหลุดปากแม้เพียงคำเดียว ต่อให้ต้องตามหาสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็จะสังหารเจ้า ทั้งยังจะทำให้ภรรยาเจ้าพบกับความทรมานที่สุดบนโลกใบนี้ด้วย”
หานจางรีบตอบเสียงสั่น “ใต้เท้าเจียงและนายท่านหลี่มีบุญคุณกับข้ามากมายดั่งขุนเขา เรื่องวันนี้ หานจางจะไม่พูดกับผู้อื่นจวบจนตัวตาย”
เสี่ยวซุ่นจื่อเก็บมือกลับมา แย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินจากไป
วันต่อมา ข้าพาหานจางไปพบหวังกงกง หวังกงกงได้ฟังเรื่องราวกับช่วยให้สมปรารถนาเต็มที่ อย่างไรเสีย สองแม่ลูกเถียนซื่อก็เป็นบ่าวของข้า ยิ่งไปกว่านั้นยังอนุญาตให้หานจางติดตามข้างกายข้าชั่วคราวด้วย แน่นอนว่าเขาแจ้งทางเต๋อชินอ๋องแล้ว บอกให้พวกเขารู้เรื่องนี้ เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดคิดว่าหานจางเป็นสายลับ อย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่าคงมีผู้ที่จับตาดูอยู่ในเงามืดไม่น้อย ดังนั้นจึงบอกเสี่ยวซุ่นจื่อว่าไม่ต้องมาหาข้าชั่วคราว
นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นสาวใช้ที่เต๋อชินอ๋องมอบให้ข้า เถียนซื่อมีนามเถียนซู่อิง หน้าตางดงามโดดเด่น มีบุคลิกกล้าหาญ ไม่เสียทีที่เป็นลูกหลานตระกูลแม่ทัพ หานจางบอกว่าเถียนซู่อิงก็เป็นวรยุทธ์เช่นกัน ทั้งยังไม่ย่อหย่อนไปกว่าหานจางเลย เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้นางไม่ขัดขืนเพราะมารดา นี่ทำให้ข้าต้องสูดหายใจจนตัวสั่น หากเถียนซู่อิงลอบสังหารหวังกงกงหรือข้าขึ้นมาจะทำอย่างไร
ตอนที่ข้าถามเสี่ยวซุ่นจื่อเรื่องนี้ เสี่ยวซุ่นจื่ออธิบายต่อข้าอย่างไม่แยแสแม้แต่น้อย ไม่พูดถึงเรื่องที่ว่าข้างกายหวังกงกงมีองครักษ์ไม่น้อยเลย ยิ่งไปกว่านั้น เขาไปเตือนเถียนซู่อิงไว้แล้ว หากนางกล้าลงมือโหดเหี้ยม ตนจะสังหารมารดานางเสีย อย่างไรพวกเขาก็หนีออกนอกด่านฝูสุ่ยไม่ได้แน่
นี่ทำให้ข้าต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างฉับพลัน เจ้าเด็กนี่ทำงานระมัดระวังรอบคอบจริงๆ หากเขายอมสิ้นเปลืองความคิดเสียหน่อย อยากเป็นผู้ดูแลที่มีอำนาจมากที่สุดในฝ่ายตรวจฎีกาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ตอนที่ข้าพูดเรื่องนี้กับเขา เสี่ยวซุ่นจื่อกลับพูดอย่างเย้ยหยันว่า “รับใช้เจ้าแคว้นมีดีอันใดกัน ถูกกดหัวต่ำต้อย เป็นทาสไพร่คอยก้มหัวสอพลอ หากมีความผิดแม้เพียงนิด ยังต้องกังวลว่าหัวจะหลุดจากบ่าหรือไม่ แต่ท่านไม่เหมือนกัน หากท่านโมโหข้าจริงๆ อย่างมากก็แค่ด่าข้ายกหนึ่ง ทั้งยังด่าอย่างระวังไม่ให้ข้าได้รับความกระทบกระเทือนมากไปด้วยซ้ำ”
สายตาเย็นชาเช่นนั้นของเสี่ยวซุ่นจื่อทำเอาข้าเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ รีบคิดใคร่ครวญว่า เมื่อก่อนเคยปฏิบัติย่ำแย่กับเขาเกินไปหรือไม่ แต่คิดไปคิดมาคล้ายจะไม่มีกระมัง ไม่ว่าจะอย่างไรคงต้องจำไว้ให้ดี อย่างไรเสียเจ้าเด็กนี่ก็วรยุทธ์สูงมาก
นครเฉิงตูในยามนี้เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน เซิ่นจวิ้นอัครมหาเสนาบดีแห่งราชสำนักสู่ นำแม่ทัพฟ่านหู่และเมิ่งต๋ามาคุ้มกันด่านเจียเหมิง ต้ายงโจมตีเมืองถี่ยิบ ทำเอาทหารรักษาการณ์ด่านเจียเหมิงมิได้หลับตานอน ส่วนแม่ทัพใหญ่หลงปู้และแม่ทัพใหญ่เว่ยเสียนที่คุ้มกันปาจวิ้นก็มิกล้าผ่อนคลาย ในแคว้นสู่คล้ายเหลือทหารน้อยนิด
ในเวลาหลายเดือนนี้ ทำให้เส้นผมของสู่อ๋องเมิ่งอวิ๋นกลายเป็นสีขาว เขากล่าวโทษที่หนานฉู่หักหลังพันธมิตร ทั้งยังชิงชังว่าเหตุใดตนต้องล่วงเกินต้ายงด้วย คิดไปคิดมากลับไม่มีวิธีให้ล่าถอย ต่อมาฝ่าหลันขุนนางคนสำคัญแห่งแคว้นสู่เสนอแผนการ กล่าวว่าในเมื่อเสียตงชวนไปแล้ว มิสู้เจรจาสงบศึกกับต้ายงไปเสีย หากต้ายงยอมถอยทัพ หนานฉู่ย่อมมิอาจโจมตีแคว้นสู่เพียงลำพัง
แม้เจ้าแคว้นจะยอมรับแผนการนี้แล้ว แต่จะส่งผู้ใดไปเป็นทูตเล่า ยงอ๋องหลี่จื้อมีชื่อเสียงสะท้านทั้งใต้หล้า หากส่งคนธรรมดาไป เกรงว่าคงพูดได้เพียงไม่กี่ประโยค จากนั้นหยางช่านบัณฑิตบ้าแห่งแคว้นสู่จึงอาสาไปด้วยตนเอง
หยางช่านเดินทางทั้งวันคืนจนมาถึงด่านเจียเหมิง ยามนี้ด่านเจียเหมิงทั้งบนล่างล้วนเต็มไปด้วยโลหิตและไฟแห่งสงคราม หยางช่านพักผ่อนหนึ่งคืน วันต่อมาจึงออกจากด่านไปยังค่ายทหารของต้ายง ยื่นสารตราตั้งขอเข้าพบยงอ๋อง ไม่นานยงอ๋องจึงมีรับสั่งให้เข้าพบ