ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 24 กลลวงลูกโซ่อำมหิต (1)
รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบเก้าเดือนสิบสอง หนานฉู่รบกับเมืองลั่ว ขณะเดียวกัน ยงอ๋องหลี่จื้อก็รบอยู่กับด่านเจียเหมิง การศึกยังไม่ทันสิ้นสุดกลับมีข่าวว่าต้ายงจะสงบศึกกับแคว้นสู่ เต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ยทรงร้อนพระทัย รีบเข้าหารือกลยุทธ์กับเจียงเจ๋อ การสนทนาลับดำเนินไปนาน เมื่อตะวันขึ้น กองทัพหนานฉู่รุดโจมตีเมืองลั่วอย่างเร่งร้อน
วันที่สิบเก้าเดือนสิบสอง เมืองลั่วถูกตีแตก แม่ทัพใหญ่เว่ยเสียนตายในสนามรบ เช้าวันต่อมา ทัพหนานฉู่เข้าโจมตีเมืองต่อไป แม่ทัพใหญ่หลงปู้ได้รับข่าวกรองผิดพลาดจึงออกจากเมืองหวังโจมตีข้าศึก ทว่ากลับถูกศัตรูโอบล้อม รบอยู่หนึ่งวันเต็ม เหนื่อยล้าทั้งม้าและคน เต๋อชินอ๋องเอ่ยปากบอกให้ยอมแพ้ด้วยตัวเอง หลงปู้ไม่ฟัง ฆ่าตัวตายด้วยความกราดเกรี้ยว เต๋อชินอ๋องถอนปัสสาสะ รับศพมาด้วยพระองค์เอง ทั้งยังจัดพิธีศพที่เมืองลั่วอย่างยิ่งใหญ่
วันที่ยี่สิบห้าเดือนสิบสอง ด่านเจียเหมิงทราบข่าวว่าเมืองลั่วถูกยึดแล้ว ทหารแคว้นสู่ไร้กำลังใจสู้รบ
วันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบสอง ด่านเจียเหมิงถูกยึด กระทั่งตอนนี้จึงไร้อุปสรรคขวางกั้นแคว้นสู่ มีคนกล่าวว่า เจียงเจ๋อเสนอกลยุทธ์ทำลายเมืองเพื่อใช้แผนซ้อนแผน ภายหลังมีคนเข้าพบหรงเยวียนผู้เป็นเสนาธิการของเต๋อชินอ๋องเพื่อสอบถามเรื่องนี้ หรงเยวียนเงียบไปนาน จากนั้นจึงกล่าวว่า น่าสนใจ แต่สุดท้ายกลับมิได้เอ่ยกลยุทธ์ออกไป ไม่นานหรงเยวียนป่วยตาย พิธีศพถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ ในงานศพ บุตรชายของเขากล่าวคำของบิดา ความว่า เจียงสุยอวิ๋นเป็นอัจฉริยะแห่งแผ่นดิน เสียดายที่เต๋อชินอ๋องไม่กล้าใช้งาน
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
ข้าวางพู่กันลง ส่วนหานจางเดินออกไปแล้ว เมื่อเปิดประตูลานเรือนก็เห็นแม่ทัพผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านนอก เขาสวมเกราะสีเหลืองทอง คลุมทับด้วยเสื้อคลุมไหมสีขาว ด้านหลังคนผู้นี้มีบัณฑิตอาภรณ์ดำยืนอยู่ผู้หนึ่ง ด้านหลังคนทั้งสองมีองครักษ์สวมเกราะผ้าสีขาวยืนอยู่กลุ่มหนึ่ง หานจางอยู่ในกองทัพหนานฉู่เกือบหนึ่งเดือนแล้ว จะไม่ทราบฐานะของคนผู้นี้ได้อย่างไร ในใจเขารู้สึกกังวลยิ่ง รีบเบี่ยงตัวเปิดทางไปยืนอยู่ด้านข้างโดยพลัน
จ้าวเจวี๋ยมองเขาเพียงปราดเดียวแล้วเดินเข้าไปในห้อง ส่วนหรงเยวียนส่งสัญญาณมือครั้งหนึ่งแล้วเดินตามเข้าไป องครักษ์คนอื่นๆ รีบแปรขบวนล้อมห้องหนังสือของเจียงเจ๋อเอาไว้
ข้าไม่ได้ยินเสียงรายงานของหานจางพลันให้รู้สึกฉงนนัก ทว่าไม่ทันไรก็เห็นจ้าวเจวี๋ยเดินเข้ามาจึงรีบลุกขึ้นยืนตามมารยาทประเพณี รีบโค้งตัวคารวะ “องค์ชายเสด็จมาที่พำนักซอมซ่อเช่นนี้ สุยอวิ๋นกลับมิได้ออกไปต้อนรับ ขอองค์ชายโปรดประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเจวี๋ยรีบตอบตามมารยาท “ระยะนี้ข้ายุ่งอยู่กับกิจทหาร มิได้มาถามไถ่อาการป่วยของใต้เท้าเจียง ขอท่านโปรดอภัยด้วย”
ข้ากล่าวอย่างไม่แยแส “องค์ชายกุมอำนาจทหารอันสำคัญยิ่ง ย่อมมีเรื่องให้จัดการทุกวัน ไหนเลยจะมีเวลาว่างมาสนใจกระหม่อม ไม่ทราบว่าวันนี้ทรงเสด็จมาถึงที่นี่มีสิ่งใดจะชี้แนะหรือ”
จ้าวเจวี๋ยปรายตามองหรงเยวียนพริบตาหนึ่ง หรงเยวียนจึงรีบเดินเข้ามากล่าวขออภัย “ใต้เท้าเจียง หลายวันก่อนข้าเมินเฉยท่าน ขอใต้เท้าโปรดอภัยด้วยเถิด”
ข้าตอบไปอย่างเป็นธรรมชาติ “ท่านหรงไม่จำเป็นต้องมากมารยาท ทั้งสองท่านมาเยือนด้วยตนเองเช่นนี้ จะต้องมีกิจสำคัญทางการทหารเป็นแน่ โปรดกล่าวมาตามตรงเถิด”
หรงเยวียนมองข้าอย่างสำนึกผิด กล่าวว่า “แคว้นสู่ส่งทูตมาเข้าเฝ้ายงอ๋องหลี่จื้อ ขอเจรจาสงบศึก หลี่จื้อมิได้ตอบรับ แต่ก็มิได้ปฏิเสธ” ขณะกล่าวก็ส่งรายงานกองโตมาให้ข้า ในนั้นบันทึกไว้ได้ละเอียดยิ่ง กระทั่งบทสนทนาของหลี่จื้อและหยางช่านยังมีทั้งหมด
เมื่อข้าอ่านจบยังอดยิ้มไม่ได้ หยางช่านท่านนี้มีชื่อตัวเดียวว่าช่าน เหมือนลู่ช่านนักเรียนของข้า นิสัยก็มิแตกต่างอันใด มีทั้งข่มขู่และใช้ผลประโยชน์เข้าล่อ เพียงแต่น่าเสียดายยิ่ง ข้าทอดถอนใจยาวๆ กล่าวว่า “แคว้นสู่มีบุคคลมากสามารถ น่าเสียดายที่เจ้าแคว้นสู่ไม่คิดใช้อัจฉริยบุคคล ตอนนี้แผ่นดินใกล้ล่มสลายแล้วแต่อัจฉริยะเหล่านี้ก็มิได้ละทิ้งแคว้นสู่ มิน่าเล่า ผู้คนจึงกล่าวว่าคนแคว้นสู่มีใจจงรักซื่อสัตย์”
จ้าวเจวี๋ยเอ่ยถาม “ทำไม หรือสุยอวิ๋นมองออกว่าต้ายงจะไม่สงบศึกกับแคว้นสู่”
ข้ายิ้มพราย “หากยงอ๋องเห็นด้วยกับการสงบศึก สมควรสอบถามว่ามีผลประโยชน์อันใดบ้าง ทว่ายงอ๋องเพียงถามถึงอัจฉริยบุคคลในแดนสู่ เห็นได้ชัดว่าคิดจะรวบรวมอัจฉริยบุคคลเพื่อบูรณะแดนสู่ ดังนั้นยงอ๋องไม่เห็นด้วยกับการสงบศึกเป็นแน่”
จ้าวเจวี๋ยขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเหตุใดยงอ๋องจึงปล่อยให้ข่าวเช่นนี้แพร่ออกมาเล่า หากหนานฉู่ของเรารู้ จะมิใช่ว่า…”
ข้าตอบอย่างเรียบเฉย “หลี่จื้อช่างร้ายกาจจริงๆ เขาจงใจปล่อยให้ข่าวลือเช่นนี้แพร่ออกมา เกรงว่าต้องการให้หนานฉู่ของพวกเรารู้กระมัง เท่าที่กระหม่อมทราบ ระยะนี้หนานฉู่ของพวกเราไม่ได้โจมตีเมืองอย่างจริงจัง ข้าคิดว่าองค์ชายก็คงหวังให้ยงอ๋องทำศึกหลั่งเลือดโจมตีด่านเจียเหมิงเช่นกัน ถึงตอนนั้น ทหารรักษาการณ์ที่เมืองลั่วย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย มิอาจรักษาเมืองอย่างเต็มกำลัง ถึงตอนนั้น พวกเราย่อมได้เมืองลั่วโดยไม่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรง”
จ้าวเจวี๋ยและหรงเยวียนสบตากัน เดิมทีนี่เป็นกลยุทธ์ที่พวกเขาหารือกันลับๆ สองคน คิดไม่ถึงว่ากลับถูกอีกฝ่ายพูดออกมาจนหมดเปลือก ทั้งสองเงียบงันไร้วาจา ข้าจึงกล่าวต่อไป “กระหม่อมคิดว่ายงอ๋องก็ปวดใจกับความสูญเสียของตนเช่นกัน ดังนั้นจึงใช้ประโยชน์จากข่าวลือนี้บีบบังคับให้พวกเรารีบรบรีบจบ เฮ้อ ยงอ๋องน่ากลัวจริงๆ ต่อให้พวกเรามองแผนการของเขาออกแล้วอย่างไร สุดท้าย อย่างมากยงอ๋องก็แค่ตกลงสงบศึก เช่นนี้ย่อมทำให้พวกเราเผชิญหน้ากับโทสะของแคว้นสู่โดยตรงแล้ว ต้ายงเพียงอนุญาตให้แคว้นสู่อยู่ต่อไป พวกเขาเพียงรักษาด่านหยางผิงให้ดีเป็นพอ เช่นนี้จะได้ครอบครองตงชวนด้วย ส่วนพวกเรารบอย่างยากลำบากจนกระทั่งวันนี้ แต่กลับได้เพียงเส้นทางแคว้นสู่ที่อันตราย ได้ไม่คุ้มเสีย พวกเราไม่มีความสามารถและไม่กล้าปล่อยยืดเยื้อ หากแคว้นสู่พักฟื้นกองกำลังได้แล้วจะต้องเพ่งเล็งโจมตีหนานฉู่ที่ทรยศหักหลังพวกเขาแน่นอน จากสถานการณ์ในตอนนี้ กระหม่อมมีกลยุทธ์ชั้นบนกลางล่างจะเสนอ”
จ้าวเจวี๋ยฟังจนจิตใจสับสนร้อนรน รีบถามว่า “เป็นกลยุทธ์ใด ใต้เท้าช่วยอธิบายอย่างละเอียดด้วยเถิด”
ข้าอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง “แผนชั้นล่างก็คือรักษาสภาพเช่นนี้ต่อไป หากต้ายงทนไม่ไหว โจมตีด่านเจียเหมิงก่อน เช่นนั้นพวกเราก็บรรลุเป้าหมายเดิม เพียงแต่หากต้ายงบันดาลโทสะจนเปลี่ยนความคิดไปตกลงสงบศึกกับแคว้นสู่ เช่นนั้นพวกเราก็พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง แผนการนี้แพ้ชนะอยู่ที่ความคิดของยงอ๋อง”
จ้าวเจวี๋ยกล่าว “หากแพ้ชนะต้องเงยหน้าคอยผู้อื่นทั้งหมดเช่นนี้ มิใช่ว่าผู้อื่นเป็นมีด ส่วนพวกเราเป็นเนื้อปลาให้เขาแล่ได้ตามใจหรือไร เช่นนั้นแผนระดับกลางเล่า”
ข้าอธิบายเสียงเข้ม “แผนชั้นกลางก็คือให้กองทัพของพวกเราโจมตีเมืองสุดกำลัง ขอเพียงพวกเราตีเมืองลั่วแตก ต้ายงก็จะโจมตีด่านเจียเหมิงทันที ถึงตอนนั้น แคว้นสู่ย่อมล่มสลายไปเอง สิ่งที่พวกเราได้ย่อมเหนือคาดเดา ทว่าความสูญเสียก็เหนือคาดเดาเช่นกัน”
จ้าวเจวี๋ยขมวดคิ้ว เขาไม่อยากให้มีความสูญเสียมากเกินไปจึงไม่ได้โจมตีเมืองเต็มกำลัง ถามต่อไปว่า “เช่นนั้นแผนชั้นบนเล่า”
ข้ายิ้มเฉยเมย “พวกเราจะใช้แผนพิสดารโจมตีเมือง ทั้งสามารถตีเมืองรั่วให้แตกพ่าย ทั้งสูญเสียไม่มาก เมื่อถึงยามแย่งชิงผลประโยชน์จากศึกสงครามก็ค่อยควบคุมสถานการณ์อีกครั้ง เช่นนี้ย่อมสำเร็จตามเป้าหมายที่พวกเราต้องการในสงครามครั้งนี้”
จ้าวเจวี๋ยคลายคิ้วที่ขมวดมุ่น ถามว่า “แต่จะใช้แผนพิสดารโจมตีเมืองเช่นไร”
ข้าอธิบายอย่างมีลำดับขั้นตอน “ตอนนี้ของทหารรักษาเมืองลั่วแบ่งออกเป็นสองทัพ ทัพหนึ่งคุ้มกันเมือง อีกทัพหนึ่งตั้งค่ายอยู่ด้านนอก คอยติดต่อประสานงานกัน หากต้องการชัยชนะ เช่นนั้นสิ่งแรกต้องทำคือตัดการช่วยเหลือจากภายนอกเสียก่อน กระหม่อมเสนอให้พวกเราเร่งรุดเข้าตีเมือง เมื่อทัพศัตรูที่ค่ายใหญ่ด้านนอกเห็นอีกฝั่งจุดไฟสัญญาณ ทัพด้านนอกย่อมคิดว่าเมืองลั่วตกอยู่ในอันตราย และจะรีบเร่งรุดเข้าช่วยเหลือทันที จากนั้นให้พวกเราซุ่มโจมตีระหว่างทาง ทำลายกองทัพแคว้นสู่ทั้งหมดเสีย เมื่อความช่วยเหลือด้านนอกถูกตัดขาด พวกเราก็ย้ายเป้าหมายไปที่ทหารรักษาการณ์ในเมือง ถึงตอนนั้น พวกเราจะโจมตีเมืองอีกครั้ง โดยให้คนสวมเกราะของทหารแคว้นสู่แสร้งทำเป็นเข้าโจมตีค่ายของพวกเรา ให้พวกเขาคิดว่ากองทัพด้านนอกยังอยู่ ส่วนพวกเราก็แสร้งทำเป็นว่าค่ายใหญ่ถูกตีแตกจนต้องถอยทัพหนีกระจัดกระจาย เพื่อล่อให้กองทัพแคว้นสู่ออกจากเมืองมาไล่สังหาร จากนั้นจัดให้มีทหารซุ่มอยู่ที่เส้นทางด้านหลังเพื่อสังหารแม่ทัพ ถึงตอนนั้น เมืองลั่วจะมิแตกได้หรือ”
เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ จ้าวเจวี๋ยถึงกับเผลอปล่อยมือจนถ้วยชาตกแตก แผนการนี้ช่างซับซ้อนและอำมหิตโดยแท้ เขามองข้าด้วยสายตาที่ข้าไม่รู้จัก ทำเอาข้าจิตใจยุ่งเหยิง สุดท้ายจ้าวเจวี๋ยจึงมั่นใจแล้วว่าจ้วงหยวนหนุ่มที่มีลักษณะอ่อนโยนดุจบัณฑิตผู้นี้ แท้จริงแล้วเป็นบุคคลที่มีความอันตรายและมีความอำมหิตซ่อนเร้น จ้าวเจวี๋ยอดหนาวยะเยือกไม่ได้ ตัวเขาเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาผู้หนึ่ง แม้จะเคยใช้แผนการมาบ้าง แต่ยังไม่เคยพบเห็นการซุ่มสังหารและแผนลวงไปฆ่าที่อำมหิตเช่นนี้มาก่อน เขาเอ่ยอำลาเจียงเจ๋ออย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก กลับไปจัดการเรื่องการศึกต่อไป
วันที่สิบหก เดือนสิบสอง ยามพลบค่ำ กองทัพหนานฉู่เริ่มโจมตีเมืองลั่วรุนแรง ไม่นานไฟสัญญาณก็ถูกจุด เว่ยเสียนเข้าใจผิดคิดว่าเมืองลั่วตกอยู่ในอันตราย จึงเร่งขี่ม้าลงจากเขามาตามคาด แต่กลับถูกกองทัพหนานฉู่ซุ่มโจมตีระหว่างทาง เว่ยเสียนเสียชีวิตระหว่างการรบ ถูกจ้าวเจวี๋ยที่เข้าร่วมการซุ่มโจมตีคราวนี้สังหารด้วยมือตนเอง กองทัพแคว้นสู่แตกพ่ายกระจัดกระจาย กองทัพหนานฉู่รักษาเส้นทางต่างๆ เข้มงวดเพื่อมิให้ข่าวหลุดรอดไปยังเมืองลั่ว
วันที่ยี่สิบเจ็ด เดือนสิบสอง ยามเช้า กองทัพหนานฉู่แสดงท่าทีเข้าโจมตีอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่หลงปู้นำทัพรักษาเมืองเข้าสู้ศึกจนอีกฝ่ายถอยร่นไปหลายครั้ง บาดเจ็บล้มตายสาหัส กระทั่งยามเว่ย[1] จู่ๆ กองทัพหนานฉู่ก็เกิดระส่ำระสาย ได้รับคำสั่งถอยทัพเร่งด่วน หลงปู้เห็นค่ายใหญ่ของหนานฉู่ที่ตั้งอยู่บริเวณด่านฝูสุ่ยเกิดไฟโหมกระหน่ำ
ยามนี้เอง จ้าวเจวี๋ยปลอมตัวเป็นทหารแคว้นสู่ด้วยตนเอง เข้ามารายงานว่าแม่ทัพเว่ยเสียนทำลายค่ายใหญ่ของหนานฉู่ได้แล้ว หลงปู้ยินดียิ่ง เห็นทัพหนานฉู่หนีกระเจิดกระเจิงไร้ซึ่งระเบียบปานนั้นจึงนำทัพม้าออกจากเมืองไปไล่ล่าสังหารตลบหลัง กองทัพหนานฉู่พ่ายแพ้ครั้งใหญ่ ทัพแตกพ่ายกระจัดกระจาย
ทว่าเมื่อหลงปู้ออกจากเมืองไปได้ยี่สิบลี้ กลับถูกกองทัพหนานฉู่ที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาตัดเส้นทางถอย กองทัพหนานฉู่แปรขบวนรวมตัวอีกครั้ง กลายเป็นการซุ่มโจมตีสิบด้าน ทหารชั้นยอดทั้งเจ็ดพันนายที่หลงปู้พามาด้วยถูกรุมสังหาร การสู้รบดำเนินไปอย่างยากลำบากถึงหนึ่งคืน โลหิตสาดกระเซ็นไปทั่ว แผ่นหลังเกิดแผลสาหัสหลายสิบแห่ง ในที่สุดก็ทนไม่ไหว องครักษ์ข้างกายล้วนตายหมดแล้ว สุดท้ายจึงถูกกองทัพหนานฉู่โอบล้อม
จ้าวเจวี๋ยเกลี้ยกล่อมให้ยอมแพ้ หลงปู้หัวเราะลั่น ตวาดว่า “แคว้นสู่ของข้ามีเพียงแม่ทัพหัวขาด ไม่มีแม่ทัพคุกเข่ายอมจำนน” กล่าวจบก็ยกกระบี่สังหารตนเองให้ดับดิ้น จ้าวเจวี๋ยทอดถอนใจ สั่งให้ทหารช่วยฝังศพ
วันที่สิบแปด เดือนสิบสอง กองทัพหนานฉู่กลับมาซ่อมแซมด่านฝูสุ่ย วันที่สิบเก้าเดือนสิบสอง จ้าวเจวี๋ยโจมตีเมืองอีกครั้ง เมืองลั่วเสียแม่ทัพ ไร้แรงปกปัก กระทั่งยามสายัณห์จึงเปิดเมืองยอมแพ้
วันที่ยี่สิบสาม เดือนสิบสอง ด่านเจียเหมิงได้รับข่าวว่าเมืองลั่วแตกพ่าย จิตใจทหารระส่ำระสาย นครเฉิงตูคล้ายเปลือยเปล่าเมื่ออยู่เบื้องหน้ากองทหารหนานฉู่ ในวันเดียวกัน ยงอ๋องหลี่จื้อเคลื่อนทัพโจมตีเมือง กองทหารแคว้นสู่ในเมืองไร้ขวัญกำลังใจจะต่อกร
วันที่ยี่สิบห้า เดือนสิบสอง ด่านเจียเหมิงแตก อัครมหาเสนาบดีถูกจับกุม เมื่อถึงตอนนี้ แคว้นสู่จึงไม่เหลือด่านใดคอยปกป้องอีกต่อไป
[1] ยามเว่ย คือเวลา 13.00 – 14.59 น.