ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 26 หนึ่งบทกวีดับสังขาร (1)
ข้าก้มหน้าลงพยายามระงับความหวาดกลัวในใจ ถูกต้อง เป็นความหวาดกลัวจริงๆ หลี่จื้อผู้นั้นคือหลี่เทียนเสียงที่ข้าพบระหว่างเดินทางมาเจี้ยนเย่ สวรรค์ ข้าถึงกับบอกเล่าแผนการใหญ่ว่าจะรวบรวมใต้หล้าเช่นไรออกไปต่อหน้ายงอ๋องแห่งต้ายงเชียวหรือ ยิ่งไปกว่านั้นยังบรรยายความขัดแย้งภายในของต้ายงไปจนหมดเปลือก หรือยงอ๋องจะฟังคำแนะนำของข้าจริงๆ คิดทำลายสู่ก่อนหนานฉู่ทีหลัง คงไม่กระมัง ยงอ๋องเก่งกาจบุ๋นบู๊เป็นที่น่าตกตะลึงยิ่ง สมควรมีแผนการเป็นของตนเองนานแล้ว
ยามนี้ยงอ๋องเดินเข้ามาต้อนรับ กล่าวทักทายมากมารยาทกับจ้าวเจวี๋ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เต๋อชินอ๋องเดินทางทำศึกมาตลอด ระหว่างทางคงลำบากไม่น้อย ทำลายปาจวิ้น ยึดเมืองลั่ว เพียงแค่สงครามสองศึกนี้ก็ทำให้ข้าประจักษ์ชัดถึงชื่อเสียงเกริกก้องเกรียงไกรของชินอ๋องแล้ว”
จ้าวเจวี๋ยหน้าแดง ตอบไปว่า “ยงอ๋องกล่าวชมเพียงนี้ จ้าวเจวี๋ยรู้สึกอับอายไม่กล้ารับจริงๆ วันนี้พวกเราสองแคว้นรวมพล ส่วนแคว้นสู่เหลือเพียงนครเฉิงตูอันโดดเดี่ยว ไม่ทราบว่ายงอ๋องคิดทำเช่นไรต่อไป”
ยงอ๋องกล่าวว่า “ตอนนี้เฉิงตูโจมตีง่าย เพียงแต่เมืองนี้เป็นเมืองหลวงของแคว้นสู่ มีทหารประชากรมากมาย เจริญรุ่งเรืองสุดเปรียบ หากพวกเราสองทัพเข้าโจมตีเมืองย่อมเป็นอันตรายต่อราษฎร ข้าคิดอยากเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายยอมแพ้ ไม่ทราบว่าชินอ๋องคิดเห็นอย่างไร”
จ้าวเจวี๋ยกล่าวเสียงเรียบ “หากกล่อมให้ยอมแพ้ได้ย่อมดี เพียงแต่สู่อ๋องผู้นี้จะยอมจำนนต่อต้ายงหรือยอมจำนนต่อหนานฉู่ของข้าเล่า”
ยงอ๋องตอบอย่างแข็งกร้าว “หนานฉู่ยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายงแล้ว เช่นนั้นสู่อ๋องย่อมต้องยอมจำนนต่อต้ายง”
จ้าวเจวี๋ยเตรียมใจนานแล้วจึงทำเพียงกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เชิญยงอ๋องส่งทูตไปเจรจาเกลี้ยกล่อมให้ยอมแพ้เถิด หากสู่อ๋องไม่ยอมจำนน พรุ่งนี้ข้าท่านสองทัพก็เคลื่อนทัพเข้าโจมตีเมืองพร้อมกัน เป็นอย่างไร”
ยงอ๋องยิ้มพราย “ย่อมเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ท่านโก่วเหลียนเป็นทูตใต้บัญชาข้า ข้าจะเชิญเขาออกหน้าเจรจา เต๋อชินอ๋องคิดเห็นอย่างไร”
จ้าวเจวี๋ยอดปรายตามองมาที่ข้าไม่ได้ เมื่อเห็นข้าไม่มีปฏิกิริยาใดจึงพูดไปว่า “ท่านโก่วเหลียนติดตามยงอ๋องมานานปี ได้ยินว่ามักเป็นทูตในนามองค์ชาย ออกเจรจากับเจ้าผู้ครองแคว้นแต่ละแห่งบ่อยๆ เชื่อว่าต้องเกลี้ยกล่อมสู่อ๋องได้แน่ จ้าวเจวี๋ยเพียงอยู่รอฟังข่าวดีเป็นพอ เพียงแต่ยามนี้จ้าวเจวี๋ยมีกิจทหารมากมาย คงต้องขอตัวกลับไปรอข่าวดีที่ค่ายก่อน”
ยงอ๋องหลี่จื้อเห็นจ้าวเจวี๋ยคล้อยตามการตัดสินใจของตนจึงเสนอให้จ้าวเจวี๋ยทิ้งแม่ทัพหรือเสนาธิการคนสนิทไว้คนหนึ่งเพื่อสะดวกต่อการหารือและติดต่อกิจทหารระหว่างสองทัพ จ้าวเจวี๋ยคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ จึงมองไปยังคนข้างกาย แม้จะเป็นคนสนิททั้งหมด ทว่าหากเป็นเพียงผู้เดินสารยังพอได้ แต่หากคิดให้พวกเขาหารือกิจทหารกับยงอ๋องหรือแย่งชิงผลประโยชน์ให้หนานฉู่ เช่นนั้นคงมีเพียงหรงเยวียนและเจียงเจ๋อสองคนแล้ว
หรงเยวียนไม่เคยห่างกายจ้าวเจวี๋ยแม้เพียงเค่อ[1] เดียว ดังนั้นจึงตอบไปอย่างสงบนิ่งว่า “พรุ่งนี้จะรบหรือยอมจำนนยังไม่เป็นที่แน่ชัด ท่านเจียงผู้นี้คือผู้ช่วยของข้า ให้เขารั้งอยู่แล้วกัน หากมีความเปลี่ยนแปลงใดย่อมหารือกับเขาได้”
ตอนนี้ยงอ๋องจึงค่อยมองมาที่ข้า คล้ายกับว่าเพิ่งเห็นข้าอย่างไรอย่างนั้น ข้ารู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง จ้าวเจวี๋ยผู้นี้เป็นตัวโง่งมโดยแท้ ถูกยงอ๋องหลอกเอาเสียง่ายๆ เชียว ข้าไม่เชื่อเรื่องหารือกิจทหารอันใดนั่นเลย เป้าหมายหลักของยงอ๋องคงคิดให้ข้ารั้งอยู่เสียมากกว่า
เมื่อจ้าวเจวี๋ยกลับไปแล้วยงอ๋องก็เชิญข้าไปสนทนาในกระโจมแม่ทัพด้วยกันเพื่อรอทูตเดินทางกลับ ข้าเดินตามยงอ๋องเข้าไปอย่างมิใคร่สงบใจนัก กระทั่งเฉินเจิ่นองครักษ์ของข้าก็ยังถูกกันไว้นอกกระโจม ยงอ๋องนั่งลงบนเก้าอี้บัญชาการ เมื่อเห็นข้ามีท่าทีไม่สบายใจจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้าเจียง เหตุใดจึงขัดเขินเช่นนี้ อย่างไรพวกเราก็นับเป็นคนรู้จักเก่า ไม่จำเป็นต้องมากพิธีกระมัง”
ข้าด่ากราดในใจไปพักใหญ่จึงค่อยกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นกระหม่อมล่วงเกินแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นยงอ๋องปลอมตัวออกเดินทาง ขอองค์ชายโปรดประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จื้อเห็นข้านั่งลงแล้วจึงค่อยพูดว่า “ประทานอภัยอันใดกัน ตอนนั้นข้าปลอมตัวลอบเข้าแคว้นสู่เพื่อสำรวจราษฎรและการทหารในแดนสู่ ระหว่างเดินทางกลับบังเอิญได้พบคุณชาย ทั้งยังได้ฟังคำชี้แนะของท่าน นับว่ามีประโยชน์ยิ่งกว่าอ่านตำราสิบปีเสียอีก หากต้ายงของข้ารวบรวมใต้หล้าสำเร็จ ย่อมเป็นผลงานของคุณชายเจียง”
ข้าโกรธจนแทบสลบ หากข้าสร้างผลงานแก่ต้ายง จะไม่ผิดต่อแผ่นดินหนานฉู่หรือ หากคำพูดนี้ถูกแพร่ออกไป ชีวิตข้าจะไม่ดับดิ้นหรือ ข้ารีบอธิบาย “ยงอ๋องทรงพระปรีชาทั้งยังมากประสบการณ์ แผนการต่ำต้อยของกระหม่อม องค์ชายคงคิดได้นานแล้ว หากองค์ชายต้องการผลักผลงานเช่นนี้มาให้ สุยอวิ๋นย่อมมิกล้ารับ”
ยงอ๋องยิ้มบาง มิได้รังแกข้าต่อไป กลับพูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “วันนั้นข้าได้ยินแผนการของคุณชาย ทั้งยังได้ยินคุณชายบอกว่าจะไปรับราชการที่หนานฉู่ เดิมข้าคิดใช้ผลประโยชน์เข้าเจรจา หวังพาคุณชายกลับต้ายง เพียงแต่น่าเสียดายที่มีคนพบร่องรอยของข้าเสียก่อน ทั้งยังวางแผนลอบสังหารด้วย ข้าเดินทางลำพัง มีองครักษ์ติดตัวไม่มาก เกรงว่าคงมิอาจปกป้องคุณชายได้ จึงทำได้เพียงปล่อยไป ตอนนี้คุณชายกลายเป็นขุนนางของหนานฉู่แล้ว ช่างทำให้หลี่จื้อทั้งเสียใจและเสียดายจริงๆ”
เมื่อได้ยินดังนั้นข้าพลันคิดในใจว่า ด้วยศักดิ์ฐานะเช่นเขา หากตัวตนที่แท้จริงรั่วไหลไปถึงแคว้นสู่หรือหนานฉู่ ข้ามั่นใจกว่าแปดส่วนว่าไม่มีผู้ใดกล้าลอบสังหารแน่นอน เช่นนั้นผู้ที่ต้องการสังหารเขาคงมีเพียงผู้เดียวแล้ว
หลี่จื้อยอดเยี่ยมมากความสามารถเพียงนี้ แต่กลับมิอาจสืบทอดราชบัลลังก์เพราะเป็นโอรสองค์รอง ทั้งยังต้องพบกับแผนชั่วและการไล่ล่าสังหารของเหล่าพี่น้องเพราะความริษยา ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกเสียดายจริงๆ ทว่าข้าเสียดายเพียงชั่วครู่แล้วไม่คิดสนใจอีก ส่วนท่านก็ไม่จำเป็นต้องเสียดายไป หากวันนั้นข้าถูกท่านพาไปจริงๆ คาดว่าคงถูกสังหารตายดั่งมัจฉาในบ่อไปแล้ว ใจข้าคิดไปเช่นนี้ ส่วนปากก็พูดไปว่า “เป็นกระหม่อมไร้วาสนาต่อองค์ชาย เชื่อว่านี่เป็นประสงค์ของสวรรค์กระมัง”
หลี่จื้อมองข้า ในดวงตาเต็มไปด้วยแววขบขัน “วันนั้นท่านและข้ามีวาสนาพานพบ วันนี้ยังได้พบกันอีกครั้ง ทว่าคุณชายเจียงกลับกลายเป็นเสนาธิการคนสนิทของเต๋อชินอ๋องไปเสียแล้ว เชื่อว่าคงเสนอความคิดให้เต๋อชินอ๋องไม่น้อยกระมัง เต๋อชินอ๋องและเหล่าแม่ทัพรวมถึงเสนาธิการใต้กองธงของเขาล้วนเป็นบัณฑิตและทหารที่รู้จักแต่แผนการในตำรา ศึกปาจวิ้นและศึกเมืองลั่วล้วนใช้แผนการลวงสังหารและซุ่มโจมตี คงเป็นกลยุทธ์จากคุณชายเจียงกระมัง”
ข้ารู้สึกร่างกายแข็งทื่อเล็กน้อย พูดด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “กระหม่อมจะเข้าใจเรื่องการทหารที่ไหนกัน เพียงเสนอไปตามหลักการเท่านั้น ล้วนเป็นเต๋อชินอ๋องที่ฉลาดเฉลียวทั้งยังเด็ดขาด ตัดสินใจใช้กลยุทธ์ได้ดีจนได้ชัย”
หลี่จื้อกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ในตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ[2] กล่าวไว้ว่า ‘หากชนะก่อนรบ แสดงว่าได้วางแผนอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว หากไม่ชนะก่อนรบ แสดงว่ามิได้วางแผนอย่างละเอียดรอบคอบเท่าที่ควร มากกลยุทธ์ย่อมได้ชัย ด้อยกลยุทธ์ย่อมมิอาจคว้าชัย ยิ่งมิต้องกล่าวถึงไร้กลยุทธ์เลย! เมื่อพิจารณาเช่นนี้ แพ้ชนะย่อมประจักษ์แจ้ง’ คุณชายนับเป็นอัจฉริยบุคคลในด้านการวางกลยุทธ์ หลี่จื้อได้พบคุณชายประหนึ่งโจวเหวินอ๋องพานพบเจียงซั่ง ประหนึ่งฮั่นเกาจู่พานพบจางเหลียง หนานฉู่ปกครองเจียงหนานอย่างถูไถไปวันๆ แม้แผ่นดินสงบสุข ทว่าเหล่าขุนนางและทหารพึงพอใจในสภาพที่เป็นอยู่จนหละหลวม แม้เต๋อชินอ๋องจะมีความสามารถทั้งทางบุ๋นและทางบู๊ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีบุคลิกดังจักรพรรดิ คุณชายอยู่ที่หนานฉู่ย่อมเป็นได้เพียงบัณฑิตกวี หากไปที่ต้ายงของข้าย่อมเป็นอัจฉริยบุคคลที่ได้รับความสำคัญ เป็นดั่งแขนขวาของข้า”
ข้าคิดในใจว่า ดึงตัวขุนนางจากแคว้นอื่นเช่นนี้จะมิโอหังเกินไปหรือ ดังนั้นจึงย้อนถามไปว่า “ได้ยินว่าสืออวี้ สือจื่อโยว คือเสนาธิการผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของยงอ๋อง ทุกครั้งที่ยงอ๋องเสด็จไปด้านนอก กิจด้านการเมืองทั้งหมดล้วนมีเขาคอยจัดการ เชื่อว่าท่านสือคงเป็นดั่งแขนซ้ายในพระทัยขององค์ชายกระมัง”
ชัดเจนว่าหลี่จื้อไม่เข้าใจว่าเหตุใดข้าจึงถามเช่นนี้ แต่ยังคงตอบรับ “จื่อโยวโตมากับการเมือง มีจื่อโยวนั่งคุมการเมืองและการทหารอยู่ด้านหลัง ข้าถึงใช้ทหารได้ดังใจนึก”
ข้าจึงกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าจริงจัง “หากสือจื่อโยวเป็นขุนนางแคว้นอื่น เจ้านายของเขามิได้ปฏิบัติเอื้อเฟื้อต่อเขา เพียงองค์ชายเอ่ยปากชวนก็ยอมจำนนคล้อยตาม เช่นนั้นองค์ชายจะยังให้ความสำคัญกับเขาอีกหรือไม่”
หลี่จื้อตะลึงพรึงเพริด ตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “หากเป็นเช่นนี้ ข้าคงมิกล้าเชื่อใจจื่อโยวลึกซึ้งนัก”
ข้ายิ้ม “ดังนั้นองค์ชายกระจ่างแจ้งในความลำบากใจของกระหม่อมแล้วหรือไม่”
หลี่จื้อทอดถอนใจ “หนานฉู่มิใช่อู๋ถง เหตุใดยอดหงส์จึงใช้พักพิง หนานฉู่ปฏิบัติต่อท่านดังปุถุชน ส่วนข้าปฏิบัติต่อท่านดังวีรบุรุษแห่งแคว้น เช่นนี้แล้วสุยอวิ๋นยังไม่ยอมเข้าร่วมกับต้ายงของข้าอีกหรือ”
ข้าจับจ้องไปที่หลี่จื้อ ความจริงข้าเริ่มรู้สึกเสียใจบ้างแล้ว หากตอนแรกหลี่จื้อบังคับให้ข้าไปกับเขาจริงๆ บางทีตอนนั้นข้าอาจไม่ยินดีนัก กระทั่งเคียดแค้นชิงชังด้วยซ้ำ แต่บางทีข้าอาจไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิดเพื่อหนานฉู่เช่นตอนนี้ ทว่าในเมื่อข้าเป็นขุนนางของหนานฉู่แล้ว หลายปีมานี้ก็ได้เลื่อนขั้นอย่างสะดวกราบรื่น ทั้งยังได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากสำนักฮั่นหลิน จึงนับได้ว่าหนานฉู่ปฏิบัติต่อข้าไม่เลวแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็มิอาจหันไปพึ่งพาต้ายงแล้วมองดูต้ายงทำลายหนานฉู่ไปเช่นนี้ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ข้าก็เอ่ยอย่างสงบนิ่ง “แม้หนานฉู่จะปฏิบัติต่อกระหม่อมดังปุถุชน กระหม่อมก็ไม่สมควรทรยศหักหลัง หากสุยอวิ๋นเป็นขุนนางของหนานฉู่หนึ่งวัน ก็จะทำงานเพื่อหนานฉู่ไปอีกหนึ่งวัน”
หลี่จื้อทอดถอนใจเบาๆ ถามว่า “หากหนานฉู่ถูกต้ายงทำลาย ท่านจะทำเช่นไร”
ข้าคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยตอบ “กระหม่อมคิดว่าตนเองมิอาจหยุดพิรุณพลิกเมฆาด้วยฝ่ามือ มิอาจวางแผนการยอดเยี่ยมอันใดออกมาได้ หากหนานฉู่ล่มสลายและต้ายงไม่คิดลงโทษกระหม่อม กระหม่อมย่อมออกพเนจรสุดขอบฟ้า ฝังร่างเน่าเปื่อยไปพร้อมต้นไม้ใบหญ้า”
หลี่จื้อกลาวอย่างเรียบเฉย “ท่านเข้าร่วมวางกลยุทธ์ในตอนที่หนานฉู่เข้าโจมตีแคว้นสู่ ความสามารถเช่นนี้ช่างสะดุดตาผู้คนเสียจริง แม้จ้าวเจวี๋ยผู้นั้นมิอาจใช้อัจฉริยบุคคลเต็มกำลัง แต่เชื่อว่าวันหน้าคงต้องใช้แผนการของท่านอย่างมิอาจเลี่ยง เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ข้าคิดอยาก ทว่าต้ายงก็มิอาจปล่อยอัจฉริยบุคคลเช่นท่านไปได้”
ข้าใคร่ครวญอย่างจริงจังแล้วค่อยเอ่ยขึ้นว่า “หากกระหม่อมยอมรับปากว่าเมื่อกลับหนานฉู่ไปแล้วจะไม่ออกกลอุบายใดเพื่อโจมตีต้ายง มิทราบว่าตอนนั้นองค์ชายจะยอมไว้ชีวิตกระหม่อมหรือไม่”
หลี่จื้อขมวดคิ้วเล็กน้อย พักใหญ่จึงค่อยถามว่า “ท่านยังมีแผนการที่มิได้ปฏิบัติในแดนสู่อีกหรือ ท่านคิดว่าเพียงพอที่จะตอบแทนบุญคุณของหนานฉู่แล้วหรือ”
[1] เค่อ หมายถึง สิบห้านาที
[2] ตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ คือ ตำราพิชัยสงครามของซุนวู