ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 3 รายนามบนป้ายทอง (1)
รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบหกเดือนหก เจียงเจ๋อเข้าสู่เจี้ยนเย่ เดือนแปดประกาศรายนามบนป้ายทอง เจียงเจ๋อปรากฏชื่ออันดับหนึ่ง เข้าร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง งานเลี้ยงมิทันจบ ทูตจากต้ายงเข้าเยี่ยมราชสำนัก ร้องขอการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เพื่อแสดงสัมพันธไมตรี
รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบหกเดือนสิบสอง องค์หญิงฉางเล่อแห่งต้ายงเดินทางสู่หนานฉู่ รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบเจ็ด ปีอู้เฉิน[1] เดือนหนึ่ง รัชทายาทจ้าวเจียจัดงานอภิเษก แต่งตั้งองค์หญิงฉางเล่อเป็นพระชายารัชทายาท
องค์หญิงฉางเล่อ อายุสิบห้าชันษา มารดามากจากสกุลจ่างซุน เป็นกุ้ยเฟยของยงเกาจู่ ได้รับความโปรดปรานอย่างยิ่งยวด เมื่อองค์หญิงฉางเล่อประสูติ ยงเกาจู่ขึ้นครองราชย์พอดีจึงได้รับความรักใคร่โปรดปรานมาก กระทั่งพระราชทานนามองค์หญิงฉางเล่อให้
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
เมื่อออกมาจากสนามสอบ ข้าก็เหยียดแข้งเหยียดขา หลายวันนี้ข้าลำบากยิ่งนัก เพิงสอบนั่นทั้งแคบและเล็ก มิหนำซ้ำ ข้ายังไม่มีเงินค่าดูแลปัดกวาด เมื่อถึงวันที่สาม กลิ่นในห้องก็เหมือนกับกลิ่นส้วม หากมิใช่ว่าก่อนหน้านี้ข้าเคยติดตามท่านพ่อไปท่องเที่ยวตามชนบท พบเจอความลำบากมาไม่น้อย เกรงว่ากระทั่งข้าวคงกินไม่ลงแล้วกระมัง
ข้าประหยัดค่ากินดื่มจนอยู่มาได้ถึงวันนี้ บนตัวไม่เหลือกระทั่งเงินทองแดงแล้ว อีกครึ่งเดือนกว่าจะประกาศผล ช่วงนี้ข้าจะทำเช่นไรดี ขายอักษรภาพหรือรับจ้างเขียนจดหมายแทนผู้อื่นดีหรือไม่ ข้าขบคิดอย่างจริงจัง
เมื่อกลับไปที่โรงเตี๊ยม ข้าก็เริ่มคิดใคร่ครวญ พรุ่งนี้ไม่มีเงินจ่ายค่าห้องแล้ว ดังนั้นจึงหยิบเครื่องเขียนล้ำค่าทั้งสี่[2] ขึ้นมา ตัดสินใจไปตั้งแผงที่วัดฝู่จื่อ ข้าต่อรองกับเถ้าแก่ร้านชาเล็กๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน ทั้งยังรับปากว่าจะเขียนจดหมายให้เขาสองฉบับจึงสามารถตั้งแผงหน้าประตูร้านชาได้ น่าเสียดายที่กิจการไม่ดีนัก ผู้มาจ้างเขียนจดหมายที่นี่ รู้หนังสือเพียงไม่กี่ตัว ผู้ใดจะสนใจเล่าว่าท่านเขียนอักษรดีหรือไม่
ข้ารออยู่ครึ่งวันก็ยังไม่มีผู้ใดมาทำการค้าด้วย ขณะที่กำลังตกระกําลําบาก สตรีในอาภรณ์สีเขียวผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา เพียงเห็นการแต่งกายและการเกล้าผมของนางก็ทราบทันทีว่านางเป็นแม่หม้าย เพียงแต่อายุเพิ่งจะสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้น ช่างน่าสงสารเสียจริง
นางกล่าวอย่างเขินอายว่า “เซียนเซิง[3] ข้าอยากเขียนคำฟ้องร้องเจ้าค่ะ”
ข้าจึงหยิบพู่กันขึ้นมา “คำฟ้องร้องแบบใด ต้องการฟ้องร้องผู้ใดหรือ”
นางกล่าวอย่างรู้สึกอัดอั้นตันใจ “สามีของข้าโชคร้ายจากโลกนี้ไปแล้ว ข้าอยากแต่งงานใหม่ ทว่าพ่อสามีไม่ยินยอม”
ข้าสอบถามสถานการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกหลายประโยคก่อนจะหยิบพู่กันขึ้นมาเขียน “แต่งงานสิบเจ็ด สิบแปดเป็นหม้าย พ่อสามีแข็งแรง น้องเขยเติบใหญ่ ต้องการแต่งใหม่ได้หรือไม่”
นางมองอักษรที่ข้าเขียนด้วยความแปลกใจก่อนจะเอ่ยปาก “เซียนเซิง ตัวอักษรเหล่านี้น้อยเกินไปกระมัง”
ข้ากล่าวอย่างลำพองใจ “เจ้าวางใจเถิด หากส่งคำร้องนี้ขึ้นไป รับประกันเลยว่าทางการจะอนุญาตให้เจ้าแต่งงานใหม่แน่นอน”
นางให้เงินข้ามาสิบทองแดง ข้ามองไปที่เงินทองแดงเหล่านั้นด้วยความซาบซึ้งที่อัดแน่นเต็มอก ในใจคิดว่าเย็นนี้มีข้าวกินแล้ว ทว่ายังต้องพยายามต่อไป พรุ่งนี้ยังไม่มีเงินใช้เลยด้วยซ้ำ ทว่าหลังจากนั้นข้าก็ไม่มีลูกค้าอีก
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม พบว่าสตรีนางนั้นเดินกลับมาด้วยท่าทียินดี เมื่อเห็นข้าก็กล่าวอย่างปลื้มปิติ “เซียนเซิง ต้องขอบคุณคำฟ้องร้องของท่านมากเจ้าค่ะ ใต้เท้าเห็นคำฟ้องของข้าก็อนุญาตทันที”
ในใจข้าคิดว่า นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว จ้าวอิ่นแห่งเจี้ยนเย่เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคุณธรรมจริยธรรมยิ่ง สตรีหม้ายต้องการแต่งงานใหม่ นั่นเป็นเพียงการเสียเกียรติของคนเพียงคนเดียว แต่หากเกิดข่าวเหม็นโฉ่ เช่นการร่วมประเวณีอย่างผิดศีลธรรมย่อมกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
เมื่อสตรีหม้ายนางนั้นจากไป กิจการของข้าก็ดีมาก ตกกลางคืน เมื่อข้าตรวจสอบดู พบว่ามีเงินพอสำหรับค่าห้องสองสามวันแล้ว แน่นอนว่าข้าไม่กล้าเขียนคำร้องมากไปนัก หากมีคนมาเขียนคำร้องข้ามักโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเปลี่ยนวิธี ไม่ให้ไปฟ้องร้อง นี่ไม่ใช่เพราะสิ่งอื่นใด แต่หากเขียนคำร้องคดีความมากไป นั่นย่อมทำให้ชื่อเสียงของข้าเสียหาย
ข้ารับเขียนจดหมายบริเวณวัดฝู่จื่ออยู่หลายวัน กระทั่งเห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่เมืองเจี้ยนเย่จะประกาศรายนามผู้ผ่านการทดสอบแล้ว จึงเก็บแผงร้าน เปลี่ยนไปนั่งฟังผู้คนสนทนาปราศรัยในร้านน้ำชาเล็กๆ แทน อย่างไรเสีย น้ำชาหนึ่งกาก็ทำให้ข้านั่งได้หนึ่งวัน แน่นอน แม้ข้าจะไม่ทำกิจการแล้ว แต่หากมีคนมาให้เขียนจดหมาย ข้าย่อมทำตามนั้น เพราะข้าต้องการเก็บเงินทองแดงให้มากขึ้นเสียหน่อย นับเป็นการฆ่าเวลาไปในตัว
ผ่านไปอีกวันสองวัน ข้าเกิดรู้สึกคันไม้คันมือไปชั่วครู่ จึงใช้วิชาพยากรณ์ที่ข้าร่ำเรียนมาคำนวณชะตาอย่างง่ายให้ผู้อื่น กล่าวตามจริง ข้าดูดวงไม่แม่นเอาเสียเลย อาศัยเพียงการคำนวณในใจอย่างง่ายเท่านั้น ทว่าเมื่อรวมกับความสามารถในการสังเกตของข้าแล้ว ไม่นานข้าก็กลายเป็นเทพพยากรณ์ แน่นอนว่าข้าเพียงอยากมีเงินตำลึงพอใช้จ่ายเท่านั้น ดังนั้นในหนึ่งวันข้าจึงตรวจดวงชะตาเพียงสามดวง และดูให้แบบไม่คิดค่าใช้จ่ายอีกหนึ่งดวง
กล่าวไปแล้วก็แปลกนัก ข้าทำเช่นนี้กลับดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนไม่น้อย ดังนั้นเงินทองจึงไหลเข้ามาราวกับสายน้ำ เพื่อปิดบังหูตาของผู้อื่น ข้าถึงเปลี่ยนการแต่งกาย ทั้งยังเปลี่ยนลักษณะหน้าตาเล็กน้อย โดยใช้โอสถทาลงไปบนใบหน้าทำให้หน้าเหลือง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
วันนี้ใกล้ถึงยามอู่[4] แล้ว ข้าคำนวณชะตาไปแล้วสามดวง ตัดสินใจว่า หากคำนวณชะตาที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายเสร็จแล้วจะเก็บร้านเสียที ขณะนั้นเอง บุรุษวัยเยาว์ผู้หนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา กล่าวว่า “เซียนเซิงขอรับ ข้าเป็นพ่อค้าเร่ สองวันก่อนได้รับข่าวจากบ้านเกิด กล่าวว่าภรรยาข้าใกล้คลอดแล้ว ทว่านางร่างกายไม่แข็งแรง ข้าจึงรีบเดินทางกลับ ไม่ทันถึงบ้านก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีโดยมิทราบสาเหตุ ท่านคำนวณชะตาให้ข้าหน่อยเถิด ครรภ์ของภรรยาข้าจะปลอดภัยดีหรือไม่ จะเป็นบุรุษหรือสตรีขอรับ”
ข้าจัดวางซ่วนโฉว[5] อยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยกล่าวขึ้นว่า “ไม่มีปัญหา มีอันตรายเล็กน้อยทว่าปลอดภัย เดิมทีฮูหยินของท่านมีอันตรายอยู่บ้าง แต่ยามปกติพวกท่านสองสามีภรรยาหมั่นสั่งสมบุญกุศลกระทำความดี สมควรคลอดบุตรอย่างราบรื่น ท่านมีชะตาที่จะได้ครบทั้งบุตรชายบุตรสาว ช่างมีวาสนาดีจริงๆ” หากถามว่าข้าทราบได้อย่างไร ข้าเองก็ไม่รู้จริงๆ เรื่องเช่นนี้มิอาจคำนวณออกมาได้ แต่อย่างไรคงมิอาจกล่าวคำพูดไม่น่าฟังกระมัง
หากทำให้เขาร้อนใจจนแทบตายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า ข้าเห็นเขามีลักษณะหน้าตาซื่อสัตย์จริงใจ รูปร่างก็ไม่เลว ฟังจากคำพูดของเขาแล้ว คล้ายสามัคคีกลมเกลียวกับภรรยาดี เช่นนั้นบุตรชายบุตรสาวคงไม่ใช่ปัญหาอันใด ส่วนที่เขากล่าวว่า ภรรยาสุขภาพไม่ดีนั้น แน่นอนว่าคนใกล้คลอดแล้ว สามีก็ไม่อยู่ จิตใจจะดีได้ที่ไหนกัน เมื่อบุรุษผู้นี้กลับไป ภรรยาของเขาย่อมเกิดความยินดี จะต้องคลอดบุตรอย่างสะดวกราบรื่นเป็นแน่ ส่วนเรื่องจะได้บุตรชายหรือบุตรสาวข้ามิได้กล่าวชัดเจน ถึงตอนนั้นยังสามารถเฉไฉเอาตัวรอดได้
บุรุษหนุ่มผู้นั้นมอบเงินให้ข้าอย่างปิติยินดี ข้าจึงบอกเขาไปว่าชะตาของเขาข้าไม่คิดเงิน ขณะที่เขากำลังจะกล่าวขอบคุณ บุรุษวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่งกลับวิ่งมาเสียก่อน กล่าวอย่างยินดีว่า “น้องสาม เจ้ารีบกลับไปเร็ว น้องสะใภ้คลอดแล้ว เป็นแฝดหงส์แฝดมังกร รีบกลับไปเถิด รีบกลับไปเร็ว” บุรุษหนุ่มได้ยินดังนั้นพลันตื่นตะลึงอยู่นาน จากนั้นจึงวิ่งออกไปอย่างยินดี ข้าถอนใจออกมา ขณะกำลังเปรมปรีด์อยู่นั้น ผู้คนรอบข้างก็มองมาที่ข้าด้วยสายตาราวกับเห็นของวิเศษที่ต้องสักการะ ทำเอาข้ารู้สึกเขินอายขึ้นมาแล้ว
ขณะนี้เอง คนผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สีเทาที่นั่งอยู่บริเวณประตูพลันลุกขึ้นยืน เดินมาเบื้องหน้าข้า กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เซียนเซิง คำนวณชะตาให้ข้าเสียหน่อยเป็นอย่างไร”
ข้าเงยหน้ามองไป พบว่าคนผู้นี้มีลักษณะคล้ายอายุไม่เกินยี่สิบเจ็ด ยี่สิบแปดปี ร่างสูงหลังตรง ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียว บนใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์และหล่อเหลาปรากฏท่าทางสุขุมสงบนิ่ง ด้านหลังมีชายวัยกลางคนสวมชุดบัณฑิตสีเขียวผู้หนึ่งและผู้ติดตามสวมชุดนักบู๊สีดำผู้หนึ่ง ข้าลังเลไปชั่วครู่ “วันนี้กว้าซู่[6] ของผู้น้อยเต็มแล้ว ไม่ทราบว่า…”
บุรุษในอาภรณ์สีเทากล่าวอย่างไม่แยแส “ข้าทราบว่าเซียนเซิงลำบากใจ เพียงแต่พรุ่งนี้ข้าจะไปจากเมืองแล้ว ดังนั้นเซียนเซิง โปรดฝืนใจเสียหน่อยเถิด”
ข้ามองไปยังคนทั้งสาม ในดวงตาของบุรุษอาภรณ์เทาเต็มไปด้วยสายตาออกคำสั่ง เชื่อว่าคงเป็นบุคคลที่มิอาจขัดคำสั่งได้เป็นแน่ ส่วนบุรุษอาภรณ์เขียวผู้นั้น แม้จะมีท่าทีไม่พอใจแต่ยังคละเคล้าไปด้วยความคาดหวัง ทางด้านผู้ติดตามมีความข่มขู่เต็มหน้า ดูแล้วล่วงเกินไม่ได้ ข้าคำนวณวันเวลา พบว่ามะรืนจะประกาศผลสอบแล้วจึงกล่าวไปว่า “ช่างเถิด ผู้น้อยจะเลิกกิจการพอดี ชะตานี้นับเป็นผลงานสุดท้ายของข้าก็แล้วกัน”
บุรุษอาภรณ์เทาผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง คล้ายนึกไปว่า เพราะข้าต้องคำนวณชะตาให้เขาจึงถูกบีบบังคับเพียงนี้ ทว่าความสงสัยในใจเขายากจะขจัดทิ้ง จึงได้แต่กล่าวถาม “ข้าจะเดินทางไกล ไม่ทราบว่าการเดินทางนี้ร้ายหรือดี”
ข้าจัดเรียงซ่วนโฉวอยู่ครึ่งค่อนวัน “ข่านกว้าออกหก วัตถุลักษณ์สีดำ สัญลักษณ์พืชมีหนาม ลักขณาไม่ถึงสาม ดุร้าย เกรงว่าการเดินทางของท่านจะเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม” เมื่อกล่าวออกไปเช่นนี้ข้าก็ลอบมองไปยังแววตาของเขา ในใจคิดว่า คนเช่นท่าน ยามปกติคงเชื่อมั่นในตนเองยิ่ง ในเมื่อท่านลังเลไม่แน่ใจจนวิ่งโร่มาดูดวง เช่นนั้นเรื่องราวคงรับมือได้ยากเป็นแน่
แววตาของบุรุษอาภรณ์เทาหม่นหมอง รีบเอ่ยถามว่า “เรียนถามเซียนเซิง เป็นอุปสรรคใดหรือ” ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า ข้าคิดครู่หนึ่ง ในใจคิดไปว่า ดูจากท่วงท่ากิริยาและบรรยากาศของคนผู้นี้แล้วสมควรเป็นทหารกระมัง เมื่อมองดูบุคคลทั้งสองที่อยู่ข้างกาย คนหนึ่งสมควรเป็นทหารผู้ช่วยในกองบัญชาการ อีกผู้หนึ่งสมควรเป็นทหารองครักษ์ คนผู้นี้คงมีฐานะไม่ธรรมดา ตอนนี้หนานฉู่มีเรื่องใหญ่อันใดหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อันใด ขอเพียงกล่าวไปอย่างคลุมเครือก็พอแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ข้าจึงตอบไป “ในขัดแย้ง นอกมีศัตรูแกร่ง เรื่องราวยากกระทำ แต่หากท่านระวังให้มากอาจเป็นไปได้ขอรับ”
แม้ข้าจะกล่าวอย่างคลุมเครือ ทว่ากลับเหมาะเจาะกับสถานการณ์และความคิดของบุรุษชุดเทาพอดี เขาทอดถอนใจออกมา จากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากไป บุรุษอาภรณ์เขียวผู้นั้นหยิบตั๋วเงินแผ่นหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ ข้ารอกระทั่งพวกเขาเดินไปไกลจึงค่อยตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่าเป็นเงินหนึ่งพันตำลึง ทำเอาข้าแทบร้อง รีบยัดใส่สาบเสื้อ จากนั้นจึงเก็บร้านแล้วเดินออกไปทันที
ผ่านไปอีกหลายวัน กระทั่งถึงวันที่สิบห้าเดือนแปด วันนี้เป็นวันประกาศรายนามบนป้ายทอง ข้าลังเลเล็กน้อย หากเป็นหลายวันก่อนหน้านี้ ข้าย่อมตั้งหน้าตั้งตารอประกาศรายนามบนป้ายทองเป็นแน่ ทว่ายามนี้ กระเป๋าเงินข้าอุดมสมบูรณ์ยิ่ง กลับรู้สึกเสียใจที่อาจสอบติดด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าจึงมิได้ไปดูการประกาศผล กลับเอาแต่พลิกอ่านบทกลอนของตนอยู่ในห้อง
ไม่นานก็ได้ยินเสียงประทัดดังโป้งป้างด้านนอก หลงจู๊และสหายท่านหนึ่งผลักประตูเข้ามาด้วยท่าทียินดียิ่ง กล่าวรายงานเสียงดังว่า “ยินดีด้วยขอรับนายท่าน ยินดีด้วยขอรับ นายท่านเจียงสอบได้อันดับหนึ่งเป็นจ้วงหยวน ช่างเป็นเกียรติแก่ร้านเล็กๆ ของข้าจริงๆ หากนายท่านจ้วงหยวนมีเวลา โปรดเขียนอักษรให้ร้านเล็กๆ ของข้าสักหลายตัวเถิด”
ข้ามองไปนอกหน้าต่างอย่างสับสน ไม่ทราบว่าอนาคตเบื้องหน้าจะเป็นเช่นไร แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง อย่างไรเสีย ข้าก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งโร่ไปวุ่นวายเรื่องของแว่นแคว้นเสียหน่อย ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้ยินว่าหอตำราของสำนักฮั่นหลินแห่งหนานฉู่มีตำรานับล้าน เป็นหอตำราที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ดังนั้นข้าจึงดีใจขึ้นมาบ้าง อีกทั้งได้ยินว่าปีที่แล้วเจ้าแคว้นหนานฉู่รวบรวมอักษรภาพในแผ่นดิน ประสงค์ก่อตั้งตำหนักฉงเหวินที่สืบทอดมาแต่โบราณ เชื่อว่าข้าคงมีโอกาสเข้าร่วมแล้วกระมัง
[1] ปีอู้เฉิน หรือปีมังกร คือปีที่ 5 ใน 60 ปีของแผนภูมิฟ้า
[2] เครื่องเขียนล้ำค่าทั้งสี่ ได้แก่ หมึก พู่กัน กระดาษ และจานฝนหมึก
[3] เซียนเซิง เป็นคำเรียกนักพยากรณ์ในสมัยโบราณ ในสำเนียงแต้จิ๋วเรียกว่าซินแส
[4] ยามอู่ คือเวลาประมาณ 11.00 – 13.00
[5] ซ่วนโฉว คือแท่งไม้สำหรับใช้ในการดูดวง เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งของจีนโบราณ
[6] กว้าซู่ คือกระดานสำหรับดูดวง