ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 37 หนานฉู่เรียกคืนตำแหน่งจักรพรรดิ (2)
ไม่นานก็มีคนถวายฎีกาขึ้นชื่นชมว่าเจ้าแคว้นชาญฉลาดทั้งเก่งกาจวรยุทธ์ หลายปีที่อยู่ในตำแหน่ง แรกเริ่มทำลายแคว้นสู่ ยามนี้ต่อสู้จนต้ายงถอยทัพ ครบครันทั้งคุณธรรมและความสามารถ สมควรฟื้นคืนตำแหน่งจักรพรรดิ อยู่ในฐานะเท่าเทียมกับต้ายงได้แล้ว
จ้าวเจียหูเบายิ่ง เมื่อได้ฟังก็เชื่อว่าตนได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้รับหน้าที่นี้จริงๆ ลืมเต๋อชินอ๋องที่ถูกเขาบีบบังคับจนตาย ลืมฎีกาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาและหยาดโลหิตไปจนสิ้น ไม่นานก็ออกราชโองการเรียกขุนนางทั้งหมดเข้าพบเพื่อขอความเห็น ผลคือขุนนางที่หลงใหลในชัยชนะจำนวนมากคล้อยตาม ทั้งยังพากันถวายฎีกายกย่อง
เมื่อข้าได้ข่าว เดิมทีข้าที่คิดลาออกจากราชการกลับต้องใคร่ครวญเนิ่นนาน จากนั้นจึงเขียน ‘หนังสือทัดทานการสถาปนาตำแหน่งจักรพรรดิ’ ออกมา เมื่อถูกนำขึ้นถวาย เจ้าแคว้นพิโรธดังคาด
ในฎีกาของข้ากล่าวอย่างชัดเจนว่า ตอนแรกแม้ได้ชัยในศึกแคว้นสู่ ทว่าต้ายงได้ประโยชน์เหนือแคว้นเรา อีกทั้งกำลังทัพระหว่างสองแคว้นแตกต่างกันอย่างชัดเจนยิ่ง ข้ายังกล่าวแนะไปด้วยว่า คราวนี้ที่โจมตีต้ายงสำเร็จ เป็นเพราะฉีอ๋องนำทัพมาทำสงครามปะทะแตกหัก เซียงหยางก็นับเป็นชัยภูมิอันมั่นคง ตอนนี้เต๋อชินอ๋องตายกลางกองทัพแล้ว หนานฉู่ของเราไม่มีแม่ทัพใดเก่งกล้าเทียบได้ ส่วนต้ายงกลับไม่ได้รับความสูญเสียอันใด หากเจ้าแคว้นเรียกคืนตำแหน่งจักรพรรดิ เช่นนั้นต้ายงจะอ้างเหตุแว่นแคว้นทรยศหักหลังมารุกรานโจมตีหนานฉู่ได้อีกครั้ง ถึงตอนนั้นหนานฉู่เสียเปรียบ เกรงว่าคงยากจะต้านทานการโจมตีของต้ายง
ฎีกาฉบับนี้ข้าเขียนแสดงความคิดแท้จริงของตนอย่างหาได้ยากยิ่ง เนื่องจากนี่คือฎีกาฉบับสุดท้ายก่อนข้าจะไปจากหนานฉู่ หากหนานฉู่ยอมรับอย่างจริงใจ เช่นนั้นข้าจะยอมทุ่มเทสติปัญญาทั้งหมดของข้าให้หนานฉู่ แม้ตายในสนามรบก็ไม่เสียดาย
น่าเสียดายเรื่องที่ข้าคาดการณ์กลับไม่เกิดขึ้น เจ้าแคว้นพิโรธหนัก เกือบออกราชโองการตัดหัวข้าแล้วเชียว ดีที่ข้าแจ้งเสี่ยวซุ่นจื่อล่วงหน้า บอกให้เขาซื้อตัวขันทีในราชสำนักเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เป็นไปตามตามที่ข้าต้องการแล้ว สุดท้ายข้าจึงถูกขับออกจากตำแหน่งข้าราชการ
เดิมทีข้าคิดลาออกอย่างเป็นทางการ ทว่าการเดิมพันครั้งสุดท้ายของข้าอย่างฎีกาฉบับนั้นก็ทำให้ข้าถูกขับออกจากงานดังคาด เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ากับหนานฉู่ก็ไม่มีความข้องเกี่ยวอันใดอีก บุญคุณความแค้นนับว่าสิ้นสุดเพียงเท่านี้
ขณะข้าฟังเหล่าขุนนางประกาศราชโองการอย่างไม่แยแส ทำเอาข้าเกือบหลุดหัวเราะออกมา เมื่อเป็นเช่นนี้ ต้ายงคงไม่มีเหตุผลที่สง่าผ่าเผยใดมาลงโทษข้าได้อีก และเมื่อข้ามิได้ต้องโทษ เช่นนั้นย่อมมิอาจอ้างการนิรโทษกรรมเพื่อให้ข้ายอมจำนน
ผู้ที่มาประกาศราชโองการคือหลิวขุย ผู้สอบได้ปั้งเหยี่ยนปีเดียวกับข้า ตอนนี้เขาคอยติดตามข้างกายท่านเจ้าแคว้น ราชโองการนี้ก็เป็นเขาเขียนแทนท่านเจ้าแคว้น อีกฝ่ายเต็มไปด้วยความเสียใจและเสียดาย หลิวขุยกล่าวว่า “พี่เจียง ท่านอย่าได้หดหู่ไปเลย แม้เจ้าแคว้นจะไม่คิดใช้งานชั่วชีวิต ทว่ารออีกหลายปีให้เรื่องซาลงก่อน พวกเราจะอธิบายแทนท่านแน่ พี่เจียงเป็นคนจริงใจ ทำเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง ถึงตอนนั้นท่านเจ้าแคว้นต้องคิดใช้งานอีกครั้งเป็นแน่”
ข้าไม่สนใจคำปลอบของเขา ทำเพียงกล่าวอย่างเฉยเมย “จะอสนีบาตหรือหยาดพิรุณล้วนเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ข้าจะกล้าตำหนิกล่าวโทษได้อย่างไร ก่อนหน้านี้หลายปี ข้าติดตามกองทัพไปยังสู่จง ผลกลับกลายเป็นว่าข้าป่วยหนัก เอาแต่พักรักษาตัวมาตลอด มีเพียงตำแหน่งมิได้ทำงานแต่อย่างใด”
หลังจากส่งแขกแล้วข้าก็เอ่ยขึ้น “ไปเถิด พวกเรากลับบ้านกัน”
ข้าพาเฉินเจิ่นและคนอื่นๆ เดินออกไป ยังไม่ทันออกจากประตูใหญ่ของกรมมหาดไทยก็เห็นเหลียงหวั่นที่อยู่บนรถม้าคันหนึ่งส่งสัญญาณให้ข้า เฉินเจิ่นเห็นข้ามีสีหน้ามืดครึ้มจึงรีบกระซิบ “ใต้เท้า ไม่สิ คุณชาย ท่านอย่าลืม…”
ข้าหยุดคำพูดของเขาด้วยการเดินไปเบื้องหน้า “ที่แท้ก็คุณหนูเหลียงนี่เอง ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดจะสั่งการ”
เหลียงหวั่นหัวเราะ “ที่นี่ไม่เหมาะพูดคุย เชิญท่านจ้วงหยวนขึ้นมาคุยกันบนรถม้าเถิด”
ข้าขึ้นรถม้าด้วยรอยยิ้มบางเบา กล่าวกับเหลียงหวั่นว่า “ก็ดี เช่นนั้นคุณหนูไปส่งผู้น้อยสักหน่อยเถิด เพียงถึงประตูเหนือก็พอ”
เหลียงหวั่นรอให้ข้าขึ้นรถม้าเรียบร้อยจึงค่อยสั่งให้ออกเดินทาง นางพูดยิ้มๆ “ครานี้ท่านจ้วงหยวนถวายฎีกาอย่างตรงไปตรงมาแต่กลับมีจุดจบเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ ดังเช่นปี่ก้านกรีดหัวใจ ลากบุตรชายสู่ความตาย[1] แม้จะเป็นขุนนางภักดี แต่กลับเป็นเรื่องขบขันของใต้หล้าเพราะรับใช้ผิดนาย ดังนั้นท่านจ้วงหยวนไม่จำเป็นต้องถ่อมตัว ข้ามีคนรู้จักอยู่ที่ต้ายง ยินดีผลักดันให้ท่านได้เป็นขุนนางต้ายง”
ข้ายิ้มเล็กน้อย กล่าวไปว่า “ยามนี้คุณหนูเป็นคนสนิทของพระมเหสีของเจ้าแคว้นหนานฉู่ ทั้งยังเป็นธิดาบุญธรรมของเจ้าแคว้นพระองค์ก่อน ท่านไม่คิดทำงานเพื่อหนานฉู่แต่กลับทำงานเพื่อต้ายง ปากกับใจไม่ตรงกันเกินไปหรือไม่”
เหลียงหวั่นกล่าวอย่างดูแคลน “ผู้ใดต้องการตำแหน่งอำนาจในหนานฉู่กัน ท่านจ้วงหยวนชาญฉลาดเหนือผู้คนเพียงนี้ ฉีอ๋องชื่นชมหลายครั้งหลายคราแล้ว หากยอมเปลี่ยนแปลงท่าทีใหม่ เชื่อว่าต้องก้าวหน้าในตำแหน่งอย่างรวดเร็วดุจขี่เมฆทะยานขึ้นเป็นแน่ อนาคตย่อมไร้ขีดจำกัด”
ข้าทำเพียงแย้มยิ้มไม่กล่าววาจา มือซ้ายหมุนแหวนหยกบนนิ้วกลางข้างขวาอยู่ตลอด นั่นคือของต่างหน้าของภรรยาสุดที่รักของข้า เนิ่นนานผ่านไปจึงค่อยพูดว่า “คุณหนูอยู่ในหนานฉู่มานานปี แม้บุญหนักศักดิ์ใหญ่แต่ก็เป็นเพียงการหยิบยืมอำนาจจากต้ายง ยามนี้หนานฉู่และต้ายงกำลังจะแตกหัก ถึงตอนนั้นคุณหนูโปรดรักษาตัวให้ดี”
กล่าวจบข้าก็สั่งให้หยุดรถ ก่อนลงจากรถม้ายังพูดอีกคำว่า “เป็นเพียงคำอำลาที่จริงใจ คุณหนูอย่าได้เข้าใจผิด”
เหลียงหวั่นมองดูข้าจากไปด้วยใจสับสน นางไม่เข้าใจ เหตุใดข้าจึงไม่ยอมลดราวาศอกเช่นนี้ ทั้งยังกล่าวเตือนให้นางระวังตัวด้วย คิดอยู่พักใหญ่ก็บอกกับตนเองในใจว่า ‘หรือเขาเล่นตัว หวังต่อรองเงื่อนไขอันใดอีก ช่างเถิด รอให้ต้ายงครองใต้หล้าเสียก่อน ยังต้องกลัวว่าเจ้าจะไม่ยอมจำนนอีกหรือ’ จากนั้นจึงสั่งให้รถม้าเดินทางต่อไป
เมื่อข้าลงจากรถม้าก็ย้อนนึกไปถึงเมื่อครู่นี้ ใบหน้างามพิลาสดุจจันทราที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อม ทว่าจิตใจกลับเต็มไปด้วยความชั่วช้าอำมหิต สตรีเช่นนี้สมควรทำให้ร่างแหลกเหลวเป็นหมื่นชิ้นจริงๆ ต้ายงใช้นางเพื่อนำสายลับในเจียงหนานเช่นนี้ทำให้ข้าสงสัยในความเฉลียวฉลาดของต้ายงเสียแล้ว แต่เมื่อคิดถึงข่าวลือในช่วงนี้ ที่กล่าวกันว่าเหลียงหวั่นไม่ตบแต่งให้ผู้ใดเพราะมีมลทินกับเจ้าแคว้น อีกทั้งคราวนี้เจ้าแคว้นคิดเรียกคืนตำแหน่งจักรพรรดิ เท่าที่ทราบคือเหลียงหวั่นเคลื่อนไหวในทางลับ มีศักยภาพไม่ขาดแคลน นับเป็นสายลับที่โดดเด่นจริงๆ ทั้งซื้อตัวขุนนาง ทั้งปล่อยข่าวลือไม่ขาด ข้าก็มิได้หยุดการเคลื่อนไหวของนาง อย่างไรเสียตอนนี้เจ้าแคว้นก็เห็นคำพูดของนางเป็นดั่งดนตรีกล่อมเกลาจิตใจ ควรเรียกว่าต้ายงใช้คนโดยประเมินจากคู่ต่อสู้จริงๆ ดังนั้นหัวหน้าสายลับในหนานฉู่จึงต้องใช้สตรีงามพิลาสเช่นนี้
ต่อจากข้ายังมีขุนนางอีกหลายคนถวายฎีกา ทัดทานการเรียกคืนตำแหน่งจักรพรรดิ แต่กลับถูกเจ้าแคว้นปฏิเสธจนสิ้น เช่นเซี่ยเสียนหัวหน้าสำนักฮั่นหลินและท่านหลัวแพทย์หลวง จุดจบก็คือบ้างถูกลดตำแหน่ง บ้างบังคับเกษียณ สุดท้ายใต้เท้าหลัวใช้ความตายเป็นคำทัดทาน กลายเป็นโลหิตอาบย้อมขั้นบันไดหลวง น่าเสียดายที่ท่านเจ้าแคว้นยังคงมิได้สติ
คลื่นลมนี้ข้าไม่ได้ร่วมด้วย เพราะตอนนี้ข้าเป็นเพียงปุถุชนเท่านั้น
เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้จนกระทั่งวันที่หนึ่งเดือนแปด เจ้าแคว้นจัดพิธีสถาปนาตำแหน่งจักรพรรดิอย่างเป็นทางการ ประกาศใช้ปีรัชศกจื้อฮวา ข้าคิดถึงยามเจ้าแคว้นรับสืบทอดราชบัลลังก์ ทรงประกาศจะใช้ปีเสี่ยนเต๋อตามเดิม ครานั้นข้ายังรู้สึกแปลกใจ ไม่คิดว่าเจ้าแคว้นต้องการเปลี่ยนชื่อรัชศกหลังเรียกคืนตำแหน่งจักรพรรดิ เมื่อดูเช่นนี้แล้ว นับว่าเจ้าแคว้นมีใจทะเยอทะยานจริงๆ น่าเสียดายที่เหินห่างผู้มากสามารถ ไร้ความมานะบากบั่น รัชศกจื้อฮวานี้ เกรงว่าคงเป็นรัชศกที่แว่นแคว้นล่มสลายกระมัง
ขณะเดียวกันในเขตต้ายง ณ จวนยงอ๋อง หลี่จื้ออ่านรายงานในมือ กล่าวว่า “เหลียงหวั่นโอหังเกินไปแล้ว นางไม่รู้ข้อดีของการเคลื่อนไหวระมัดระวังเอาเสียเลย หากมิใช่เพราะอาจารย์ของนาง ข้าคงไม่ปล่อยไว้เช่นนี้แน่”
บุรุษวัยกลางคนใบหน้าสุภาพดั่งบัณฑิต ไว้เคราสีดำ นั่งอยู่ข้างกายยงอ๋องกล่าวขึ้นว่า “องค์ชาย สำนักเฟิงอี้เป็นผู้นำฝ่ายธรรมะในต้ายง มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในช่วงต้ายงก่อตั้งแว่นแคว้น ทว่าตอนนี้พวกนางยื่นมือมายุ่งวุ่นวายเกินไปจริงๆ เหลียงหวั่นคอยเคลื่อนไหวอยู่ในหนานฉู่ตามรับสั่งองค์ชาย แต่กลับทำตามใจตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังใกล้ชิดสนิทสนมกับรัชทายาทและฉีอ๋องอีกด้วย นอกจากนี้ ฉินเจิง ว่าที่พระชายาของฉีอ๋องยังเป็นศิษย์น้องของเหลียงหวั่นด้วย กระหม่อมสงสัยว่าพวกนางอาจคิดสนับสนุนรัชทายาท”
ยงอ๋องยิ้มเย็นชา “ไม่ต้องสงสัยหรอก ข้าได้รับข่าวกรองมาแล้ว ที่ผ่านมาสำนักเฟิงอี้ใช้งานเหล่าศิษย์ของพวกนางเพื่อชักนำเสด็จพ่อผ่านทางจี้กุ้ยเฟย สนมรักของเสด็จพ่อ กล่าวว่าข้ากุมกำลังทหารแข็งแกร่งเกินไป หากรับสืบทอดตำแหน่งจะต้องสังหารพี่ทำลายน้องเป็นแน่ ส่วนรัชทายาท แม้จะมีความสามารถด้อยไปบ้าง แต่ขอเพียงส่งขุนนางมากความสามารถมาช่วยเหลือก็จะปกครองใต้หล้าได้อย่างดี หึ ทั้งหมดนี้เพียงเพราะข้าไม่ยอมรับลูกศิษย์ของพวกนางเป็นพระชายาเท่านั้น สตรีกลุ่มหนึ่งคิดควบคุมใต้หล้า ข้าหลี่จื้อมิใช่หุ่นเชิดโง่งมเสียหน่อย”
บุรุษวัยกลางคนกล่าวอย่างกังวล “แต่สำนักเฟิงอี้มีอำนาจอิทธิพลแข็งแกร่ง หากพยายามขัดขวางเส้นทางสู่บัลลังก์ขององค์ชายจะทำเช่นไร เฮ้อ กระหม่อมไม่เชี่ยวชาญวางแผนคิดกลยุทธ์ มิอาจช่วยแบ่งเบาภาระองค์ชายจริงๆ”
หลี่จื้อดวงตาเปล่งประกาย “หากคนผู้นั้นยอมมาอยู่ใต้บัญชาข้า จะต้องรับมือสำนักเฟิงอี้ได้แน่ ความจริงข้ามิได้หวั่นเกรงวรยุทธ์ของสำนักเฟิงอี้ แม้พวกนั้นจะมีวรยุทธ์สูงส่งแข็งแกร่ง แต่ข้าผูกมิตรกับสำนักคุณธรรมมากชื่อเสียงอย่างเส้าหลินไว้แล้ว อย่างน้อยก็เลี่ยงไม่ให้สำนักเฟิงอี้ใช้กำลังเข้ากดดันได้ สิ่งที่ข้ากังวลก็คือพวกนางยื่นมือเข้ายุ่ง คอยหว่านเมล็ดพันธุ์ความระแวงยุยงสร้างความห่างเหิน หากไม่ใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม ปล่อยให้พวกนางทำเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าแผ่นดินต้ายงคงตกอยู่ในมือสตรีแล้ว”
บุรุษวัยกลางคนกล่าวว่า “ได้ยินองค์ชายพูดถึงเจียงเจ๋อเช่นนี้ กระหม่อมปรารถนาอยากพบสักครั้งจริงๆ เพียงแต่องค์ชายมั่นใจหรือว่าจะดึงตัวเขามาทำงานได้”
หลี่จื้อยิ้มเจื่อน “จะว่าอย่างไรดี หากคิดทำให้เขาเป็นขุนนางใต้บัญชาข้ามิใช่เรื่องยากอันใด แต่หากต้องการให้เขาทำงานอย่างซื่อสัตย์จริงใจกลับยากกว่า คนผู้นี้ยากคาดเดา ทั้งยังไม่สนใจเกียรติยศและความมั่งคั่ง กระทั่งบ้านเมืองหรือชาวประชาก็ไม่สน คนเย็นชานิ่งเฉยเช่นนี้ข้าจะทำให้เขาพอใจได้อย่างไร ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่าเขาถวายฎีกาแต่กลับถูกหนานฉู่ปลดออกจากตำแหน่งราชการ เมื่อเห็นฎีกาของเขาแล้ว ทำให้ข้ารู้สึกตื่นตะลึงยิ่ง เขาเข้าใจสถานการณ์ระหว่างหนานฉู่และต้ายงราวกับรู้ฝ่ามือตัวเอง คนเช่นนี้ หากมิอาจใช้งาน ข้าหลี่จื้อให้รู้สึกเสียใจนัก”
บุรุษวัยกลางคนรับฎีกาที่หลี่จื้อส่งมาให้ หลังจากอ่านอยู่นานก็เงยหน้าขึ้น “องค์ชาย ท่านต้องรีบส่งคนไปหนานฉู่แล้ว หากมิอาจได้คนผู้นี้ การใหญ่ของพวกเราคงยากสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นสำนักเฟิงอี้มิได้ตาบอด หากพวกนางถูกใจอัจฉริยบุคคลเช่นนี้ และคิดดึงเขาไปเป็นพวก หากเขาเป็นเสนาธิการให้รัชทายาท ย่อมเป็นอันตรายต่อพวกเรา”
หลี่จื้อแย้มยิ้มเล็กน้อย “ข้าเชื่อว่าสำนักเฟิงอี้ไม่มีความสามารถทำให้เขาเชื่อฟังอย่างจริงใจได้แน่ การเสแสร้งทำ ‘เพื่อชาติเพื่อบ้านเมือง’ ที่สำนักเฟิงอี้เชี่ยวชาญมิอาจสั่นคลอนเขาได้ ส่วนหลี่อันยิ่งมิอาจทำให้เขายอมสวามิภักดิ์ กลับเป็นฉีอ๋องที่อาจทำให้เขาเข้าเป็นพวกได้มากกว่า คราวนี้ฉีอ๋องส่งสารลับมา กล่าวว่าพบเจียงเจ๋อขณะอยู่ในหนานฉู่ เจียงเจ๋อช่วยชีวิตเขาไว้ แม้ฉีอ๋องเป็นคนบุ่มบ่ามโผงผางแต่กลับปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างอบอุ่นจริงใจ หากเจียงเจ๋อยอมติดตามเขา ฉีอ๋องต้องฟังแผนการของเขาเป็นแน่ นั่นจึงจะเป็นวิกฤติใหญ่ของพวกเรา ตอนนี้ฉีอ๋องกำลังรักษาตัว ข้ากราบทูลเสด็จพ่อไปแล้วว่าให้โจมตีหนานฉู่ทันที ขอเพียงข้าทำลายหนานฉู่ได้ก่อน เช่นนั้นเจียงเจ๋อย่อมตกอยู่ในมือข้า จื่อโยว พวกเราควรส่งคนไปที่หนานฉู่จริงๆ มิใช่เพื่อกล่าวโน้มน้าวให้เข้าพวก แต่เพื่อติดตามร่องรอยของเจียงเจ๋อต่างหาก หากจะกล่าวถึงการโน้มน้าวให้เข้าพวก นอกจากข้าแล้ว คงไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ”
ขณะนั้นเอง มีเสียงขอเข้าเฝ้าดังจากด้านนอก เมื่อองครักษ์เข้ามาก็กล่าวรายงานทันที “องค์ชาย ฝ่าบาทมีราชโองการให้องค์ชายเข้าวังเพื่อหารือเรื่องโจมตีหนานฉู่พ่ะย่ะค่ะ”
[1] ปี่ก้านกรีดหัวใจ ลากบุตรชายสู่ความตาย ปี่ก้านเป็นขุนนางในรัฐฉู่ (ยุคปลายชุนชิว) เขาเป็นขุนนางซื่อสัตย์ทว่ารับใช้นายอำมหิตขี้ระแวง ภายหลังเจ้ารัฐฉู่ให้เขาเขียนหนังสือเรียกบุตรชายทั้งสองกลับมาหวังคิดประหารทั้งโคตร ปี่ก้านไม่รู้ความคิดเจ้านายจึงทำตามนั้น ทำให้บุตรชายถูกสังหารตายไปคนหนึ่ง