ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 4 รายนามบนป้ายทอง (2)
คืนนี้ เมื่อใกล้ถึงยามโหย่ว[1] ข้านำป้ายประจำตัวผู้เข้าสอบมายังประตูสถานที่สอบ บริเวณประตูมีบัณฑิตจิ้นซื่อหน้าใหม่รวมตัวกันอยู่ แต่ละคนสวมอาภรณ์ชุดใหม่ สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ กระทั่งข้าเดินมาถึงประตู พบว่าทุกคนมองข้าด้วยสายตาแปลกประหลาดยิ่ง บางคนยังมีท่าทีอิจฉาด้วยซ้ำ ขณะที่ข้ากำลังแปลกใจ นักศึกษาผู้หนึ่งมีใบหน้าเหลี่ยมหูใหญ่ก็เดินเข้ามากล่าวถาม “สหายท่านนี้เป็นบัณฑิตจิ้นซื่อหน้าใหม่ที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงฉยงหลิน[2] ใช่หรือไม่”
ข้าผงกศีรษะก่อนเอ่ย “ใช่ขอรับ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดกันหรือ”
คนผู้นั้นได้ยินพลันเผยสีหน้าเคารพเลื่อมใส “ที่แท้จ้วงหยวนคนใหม่มาถึงแล้ว เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว ผู้น้อยหลิวขุย เป็นปั้งเหยี่ยน[3] ผู้ได้อันดับสองในการสอบคราวนี้ขอรับ”
ที่แท้ก่อนข้ามาที่นี่ บัณฑิตจิ้นซื่ออีกเจ็บสิบเก้าคนก็มาถึงก่อนแล้ว รอเพียงข้าซึ่งเป็นจ้วงหยวนเท่านั้น ยามนี้ข้าจึงค่อยเข้าใจว่าเพราะเหตุใดในแววตาของคนทั้งหลายจึงเจือไปด้วยความแปลกประหลาด จิ้นซื่อหน้าใหม่เหล่านั้นผลัดกันเข้ามาทักทาย ขณะที่ข้ากำลังรับมือไม่ถูกอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงเคาะบอกสัญญาณสามครั้ง ขุนนางผู้หนึ่งเดินนำขุนนางคุมสอบจำนวนหนึ่งออกมา แต่ละคนพากันมาตรวจสอบป้ายประจำตัวของพวกข้า คงต้องการตรวจสอบฐานะของบัณฑิตกระมัง จากนั้นจึงให้พวกเราเดินตามเขาเพื่อเข้าวังไปตามลำดับ ข้าซึ่งเป็นจ้วงหยวนย่อมเดินหน้าสุด ด้านหลังซ้ายขวาคือปั้งเหยี่ยนและทั่นฮวา[4]
จิ้นซื่อเจ็ดอันดับถัดมาเดินตามอยู่ด้านหลังพวกเรา ส่วนจิ้นซื่ออีกเจ็ดสิบคนที่เหลือเดินเรียงแถวเป็นแถวละเจ็ดคน ระหว่างทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่เขตพระราชวัง สองข้างทางเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ตามมาดูความครึกครื้น บริเวณที่พวกเราเดินผ่านมีเสียงดังกระหึ่มราวฟ้าผ่า
ขบวนบัณฑิตเดินผ่านประตูเฉาหยางเข้าสู่เขตพระราชวังชั้นใน ประตูเฉาหยางคือประตูใหญ่ของพระราชวังชั้นใน ยามปกตินอกจากฝ่าบาทแล้ว ผู้อื่นมิอาจเดินผ่าน นอกจากฝ่าบาท มีเพียงพวกเราที่เป็นจิ้นซื่อหน้าใหม่เท่านั้นที่ได้เดินผ่านทางนี้รอบหนึ่งเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงฉยงหลิน เมื่อเข้าไปยังเขตพระราชวังส่วนใน ข้าพบว่ามีเสียงหัวเราะคิกคักของสตรีดังแว่วมาจากหลังภูเขาจำลองและต้นไม้ดอกไม้ เชื่อว่าคงเป็นนางข้าหลวงมาแอบดูพวกเรากระมัง
ในที่สุด เมื่อเดินไปถึงอุทยานฉยงหลิน พวกเราก็เข้านั่งในที่นั่งของแต่ละคนตามการจัดการของขุนนางจากกรมพิธีการ เมื่อบัณฑิตจิ้นซื่อและขุนนางคุมสอบแยกกันนั่งตามลำดับเรียบร้อยแล้ว พบว่าขันทีฝ่ายพิธีการผู้หนึ่งร้องเสียงแหลม “เจ้าแคว้นเสด็จ”
ชายชราผู้สวมใส่อาภรณ์ปักลายมังกรเดินเข้ามาภายใต้การคุ้มครองของนางข้าหลวงและขันทีกลุ่มหนึ่ง ข้าคุกเข่าตามทุกคน กล่าวอย่างจริงจังหาใดเปรียบ “ขอเจ้าแคว้นทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
เจ้าแคว้นกล่าวด้วยเสียงเนิบนาบไร้เรี่ยวแรง “เชิญทุกท่านตามสบาย”
พวกเราลุกขึ้นยืน ในที่สุดงานเลี้ยงฉยงหลินก็เริ่มเสียที พิธีการที่ตระเตรียมไว้แต่ละอย่างถูกดำเนินไปตามลำดับ ในที่สุดพวกเราก็ได้ลิ้มรสอาหารชั้นเลิศอย่างวางใจ ช่างอร่อยเลิศรสเสียจริง หากเป็นไปได้ ข้าล่ะอยากพาพ่อครัวของห้องเครื่องกลับไปทำอาหารให้ข้าที่บ้านนัก สุราถูกยกขึ้นโต๊ะสามรอบ อาหารถูกยกขึ้นโต๊ะห้ารอบ ทุกคนล้วนผ่อนคลายสบายใจ
ขณะนี้เอง จ้าวเซิ่งวางตะเกียบลง กล่าวกับขุนนางคุมสอบว่า “ขุนนางสื่อ นำบัณฑิตผู้สอบได้สามอันดับแรกมาพบข้าเถิด” ขุนนางคุมสอบรีบหยัดตัวขึ้นถวายความเคารพก่อนกล่าว “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา” จากนั้นจึงชี้มาที่ข้า “ทูลท่านเจ้าแคว้น ผู้นี้คือจ้วงหยวนผู้ได้อันดับหนึ่งในการสอบคราวนี้ เจียงเจ๋อแห่งเจียซิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ข้ารีบเดินออกจากที่นั่งแล้วคุกเข่าลง “กระหม่อมเจียงเจ๋อน้อมพบท่านเจ้าแคว้นพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเซิ่งแย้มสรวล “ดี เป็นคนหนุ่มมากความสามารถจริงๆ บทความของเจ้าเขียนได้ไม่เลวเลย โดยเฉพาะบท ‘คนึงหาใต้ศศิธร’ ข้าสั่งให้คนนําไปเขียนใหม่เป็นบทเพลงแล้ว อีกครู่จะให้ทุกคนฟังเสียหน่อย”
จากนั้นขุนนางคุมสอบจึงชี้ไปที่ปั้งเหยี่ยนและทั่นฮวา “ทูลท่านเจ้าแคว้น ผู้นี้คือหลิวขุยแห่งเจียงหนิง ปั้งเหยี่ยนผู้สอบได้อันดับสอง ผู้นี้คือฝูอวี้หลุนแห่งไหวหยาง ทั่นฮวาผู้สอบได้อันดับสามพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเซิ่งกล่าวชมเชยไปหลายประโยค จากนั้นจึงบอกให้พวกเรากลับเข้าที่นั่ง กระทั่งพวกเรานั่งลงเรียบร้อย จ้าวเซิ่งจึงโบกมือครั้งหนึ่ง ไม่ทันไรก็มีนักดนตรีหญิงเดินพริ้วออกมาจากหลังตำหนัก บ้างเป่าเซียว ดีดพิณ บ้างยักย้ายร่ายรำ ครู่หนึ่งมีเสียงสตรีนางหนึ่งเอ่ยร้องอย่างเนิบช้า
“จันทร์กระจ่างเผยโฉมกี่ครา ยกสุราขึ้นถามไถ่ฟากฟ้า มิรู้ว่าบนวิมานคือปีใด ข้าหวังเพียงขี่มารุตทะยานกลับ หากเกรงวิมานหยกงามเพริศพร้อย ยิ่งสูงชะรอยยิ่งเหน็บหนาว ร่ายรำเพียงสร้างเงาขจรตาม มิอาจเทียบทามแดนปุถุชน
จันทราคล้อยเคลื่อนรอบหอชาด คล้อยใกล้ลายผกามาศยากหลับใหล เคียดแค้นชิงชังคิดไปไย มิใช่นานไปจักคลี่คลาย
มนุษย์เรามีสุขทุกข์พบพราก จันทรามีสว่างมืดกลมเว้า สรรพสิ่งมิอาจสมบูร์ดั่งเสกสรรค์ หวังเพียงคนไกลพันลี้มีสุขสุนันท์ ร่วมชมแสงจันทร์ใสกระจ่างไปพร้อมกัน”
นี่คือบทประพันธ์ที่ข้าแต่งยามสอบ ทุกคนในตำหนักต่างด่ำดิ่งสู่ความรู้สึกอันงดงาม ขณะนี้เอง ขันทีผู้หนึ่งเดินเข้ามากราบทูล “เรียนท่านเจ้าแคว้น ท่านอัครมหาเสนาบดีขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเซิ่งเอ่ยเสียงเนิบนาบ “มีเรื่องอันใด ข้ากำลังจัดงานเลี้ยงฉยงหลินอยู่ที่นี่ หากมีเรื่องแว่นแคว้นอื่นใดก็ให้เขาจัดการไปก่อนเถิด”
ขันทีผู้นั้นกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีกล่าวว่ามีเรื่องเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเซิ่งผงกศีรษะอย่างจนใจ “เอาเถิด ให้เขาเข้ามา”
ไม่นาน ชายชราในอาภรณ์ขุนนางขั้นหนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีตื่นเต้น เมื่อพบจ้าวเซิ่งก็รีบคุกเข่าลง “ขอแสดงความยินดีกับท่านเจ้าแคว้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ยินดีกับท่านเจ้าแคว้นด้วย ต้ายงส่งราชทูตมาที่ราชสำนักเพื่อถ่ายทอดพระประสงค์ของจักรพรรดิแห่งต้ายง หวังเชื่อมสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกับหนานฉู่ของพวกเราด้วยการแต่งงานพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเซิ่งมีความยินดีประดับใบหน้า กล่าวอย่างไม่เชื่อนัก “เรื่องนี้จริงหรือ”
ชายชราผู้นั้นพยักหน้ากล่าว “เป็นเช่นนี้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดิแห่งต้ายงมีพระราชธิดาอยู่หนึ่งพระองค์ ชันษาถึงวัยปักปิ่นพอดี ยินดีแต่งเป็นพระชายาของรัชทายาทแห่งแคว้นเรา นับแต่นี้สองแคว้นเป็นพันธมิตร มิสู้รบพัวพันตลอดกาล”
จ้าวเซิ่งกล่าวอย่างยินดี “วันนี้มงคลคู่มาเยือนถึงประตูจริงๆ หนานฉู่ของพวกเราได้ผู้มากความสามารถมาเป็นเสาหลัก ทั้งยังได้สานสัมพันธ์อันดีกับต้ายงด้วย เด็กๆ รีบรับรองราชทูตแห่งต้ายง พามาพบข้าเร็ว”
กล่าวจบ จ้าวเซิ่งลุกขึ้นเสด็จเดินจากไป งานเลี้ยงฉยงหลินเพียงครั้งเดียวในชีวิตข้าก็สิ้นสุดไปอย่างครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ทุกคนได้ยินข่าวดีจึงมีเพียงความยินดีประดับใบหน้า ทว่าข้ากลับสงสัยอยู่บ้าง เหตุใดจู่ๆ ต้ายงจึงคิดสานสัมพันธ์กับหนานฉู่เล่า หรือจะเป็นดั่งที่ข้าวางแผนไว้จริงๆ เป็นไปไม่ได้กระมัง ข้าส่ายศีรษะ
หลังจากนั้นหลายเดือน ทุกคนในราชสำนักต่างยุ่งกันแทบตาย ส่วนข้าเข้าสู่สำนักฮั่นหลินตามระเบียบการ โยนตัวเองเข้าสู่หอตำราด้วยความเปรมปรีดิ์
ข้าแอบได้ยินมาว่า องค์หญิงฉางเล่อ ธิดาของจักรพรรดิแห่งต้ายงมีรูปโฉมงดงาม ทั้งยังได้รับความรักความโปรดปรานจากจักรพรรดิต้ายงอย่างมากล้น อย่างไรก็ตาม ตัวข้ากลับคิดว่า ดรุณีน้อยที่เพิ่งอายุสิบห้าสิบหกปีนางหนึ่งจะงดงามได้เพียงใดกันเชียว
หลังจากตระเตรียมมาหลายเดือน ทำพิธีการทั้งหกอันได้แก่ สู่ขอและรับหมั้น ถามชื่อแซ่วันเดือนปีเกิด ผูกดวง มอบสินสอด หาฤกษ์มงคล และรับตัวเจ้าสาวเสร็จสิ้น ในยามที่แสงมงคลช่วงต้นฤดูวสันต์สาดส่อง องค์รัชทายาทแห่งหนานฉู่และองค์หญิงฉางเล่อก็จัดพิธีอภิเษกใหญ่ตามธรรมเนียม ในฐานะที่ข้าเป็นจ้วงหยวนคนใหม่ย่อมมีโอกาสเข้าร่วมพิธีเช่นกัน
ยามที่องค์รัชทายาทและพระชายารัชทายาทรับการคำนับจากขุนนางในราชสำนัก ในที่สุดข้าก็เห็นสิริโฉมขององค์หญิงฉางเล่อ นับเป็นสตรีงามสูงศักดิ์จริงๆ โดดเด่นเหนือผู้คนยิ่ง แม้อายุยังน้อยแต่มีเค้าความงามปรากฏชัด เป็นสตรีงามเพริศพรายจริงๆ
เมื่อเทียบกันแล้ว รัชทายาทที่อยู่ด้านข้างแม้อายุเพิ่งยี่สิบต้นๆ แต่จะมองอย่างไรก็รู้สึกหม่นหมองไร้ราศี ทว่าแน่นอน ยามนี้ทุกคนล้วนกล่าวว่า ‘เจ้าบ่าวมากความสามารถ เจ้าสาวรูปโฉมงดงาม นับเป็นคู่สวรรค์สร้าง’ ทำนองนั้นทั้งสิ้น คิดไปคิดมา จักรพรรดิแห่งต้ายงคงไม่ไร้ใจจนใช้ธิดาที่โปรดปรานที่สุดของพระองค์มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์หลอกๆ เช่นนี้หรอกกระมัง ข้าหวังจริงๆ ว่าหนานฉู่จะไม่ทำสงครามกับต้ายง และหวังว่าต้ายงจะเป็นพันธมิตรที่ดีกับหนานฉู่ ข้าจะได้มีชีวิตอันสงบสุขไปอีกหลายสิบปี
ขณะที่ข้ากำลังภาวนาอย่างจริงใจนั้นเอง ฝ่ายดนตรีแห่งราชสำนักก็เริ่มบรรเลง เพลงที่ขับขานก็คือ ‘โต๊ะหยกคราม’ ผลงานใหม่สดๆ ร้อนๆ จากเตาของบัณฑิตหน้าใหม่แห่งสำนักฮั่นหลินเช่นข้า
“ลมวสันต์ยามค่ำคืนพัดผ่านต้นไม้นับพัน มวลบุปผาเบ่งบาน ยิ่งพัดยิ่งร่วงหล่นดังพิรุณดารา รถหยกสลักจรุงกลิ่นหอมขจรขจาย เสียงเซียวขับขาน กาหยกสาดแสง หมู่โคมสาดประกายดั่งมัจฉาร่ายรำ นวลนางแต่งองค์เฉิดฉายประชันความงาม เสียงหัวเราะต่อกระซิกเคล้ากลิ่นหอม เสาะหานวลนางกลางฝูงชน หากมองย้อนกลับไป กลับพบนางใต้แสงโคมเลือนราง”
เหล่านางระบำร่ายรำพริ้วไหวท่ามกลางเสียงดนตรี ข้าเงยหน้ามองไปเห็นองค์หญิงฉางเล่อผินพระพักตร์มาเล็กน้อย ข้าเห็นเม็ดอัสสุชลงามดุจไข่มุกล้ำค่ากลิ้งไหลออกมาอย่างเงียบงัน พลันรู้สึกเย็นยะเยือกอยู่ในใจ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ดรุณีน้อยผู้โดดเดี่ยวนางนี้จักต้องใช้ชีวิตในต่างแคว้นเพียงลำพังไปชั่วชีวิต มิอาจพบหน้าบิดาและครอบครัวได้อีก
นี่นับว่ามองเพียงด้านดีแล้ว แต่หาก…หากว่าต้ายงแสร้งทำเป็นสานสัมพันธไมตรีจริงๆ และแม้ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมิใช่เช่นนั้น แต่ข้าก็ไม่กล้ามั่นใจปานนั้น แต่หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ดรุณีนางนี้จะต้องเผชิญกับจุดจบอันรันทดขมขื่นเพียงใดกัน
ยามนี้เอง ข้าเห็นรัชทายาทก้มหน้ากระซิบอะไรบางอย่างข้างหูองค์หญิง แม้จะอยู่ไกลไปเสียหน่อย อีกทั้งเสียงดนตรียังดังวุ่นวาย แต่ข้ายังได้ยินรัชทายาทกล่าวกับองค์หญิงฉางเล่อรางๆ ว่า ‘โต๊ะหยกคราม คืนงานโคม’ นี้ เป็นบทประพันธ์ของเจียงเจ๋อผู้เป็นจ้วงหยวนคนใหม่
องค์หญิงฉางเล่อมองตามสายตาของรัชทายาทมาทางข้า แย้มสรวลเล็กน้อย รอยยิ้มเช่นนั้นราวกับบุปผาที่เบ่งบานยามฤดูวสันต์ ทำให้ใจข้าอดหวั่นไหวไม่ได้ ข้ารีบก้มหน้าลง ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ในใจถึงกับเกิดความรู้สึกอันแปลกประหลาดระลอกหนึ่ง
[1] ยามโหย่ว คือเวลาประมาณ 17.00 – 19.00
[2] งานเลี้ยงฉยงหลิน งานเลี้ยงฉลองที่จัดขึ้นเพื่อต้อนรับบัณฑิตจิ้นซื่อ
[3] ปั้งเหยี่ยน ตำแหน่งผู้สอบได้อันดับสองของการสอบเข้ารับราชการรอบสุดท้าย
[4] ทั่นฮวา ตำแหน่งผู้สอบได้อันดับสามของการสอบเข้ารับราชการรอบสุดท้าย