ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 41 ปล้นชิงตามไฟ (2)
ขณะเดียวกัน ภายในเคหาสน์แห่งหนึ่งบริเวณชนบทของเจี้ยนเย่กลับเต็มไปด้วยโลหิตสาดกระเซ็น เหลียงหวั่นสวมอาภรณ์สีเขียวดั่งสามัญชน ในมือถือกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง ตัวกระบี่ยังคงขาวดุจหิมะ ทว่าบนหน้าผากของเหลียงหวั่นกลับเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ บนเก้าอี้ด้านหลังนางมีสตรีงามพิลาสใบหน้าซีดเซียวนั่งอยู่นางหนึ่ง นางสวมใส่อาภรณ์ดั่งสามัญชนเช่นกัน ด้านหลังมีหญิงรับใช้งดงามหยาดเยิ้มยืนถือกระบี่สั้นอยู่คนหนึ่ง ซ้ายขวายืนไว้ด้วยสายลับต้ายงในชุดชาวนาอีกหลายสิบคน ทว่าแต่ละคนกลับได้รับบาดเจ็บหนัก บนพื้นยังมีลูกศรอาบเลือดตกอยู่จำนวนหนึ่งด้วย
จะอย่างไรเหลียงหวั่นก็คิดไม่ถึงว่าตนเพิ่งพาองค์หญิงฉางเล่อมาถึงที่ซ่อนตัวซึ่งเตรียมไว้ก่อนหน้านี้นานแล้วกลับถูกคนลอบโจมตีทันที ด้วยเกิดเหตุกะทันหันจึงรับมือไม่ทัน ทำได้เพียงพาคนถอยเข้าไปในที่ซ่อนตัว ยามนี้จึงค่อยพบว่าลูกน้องสองคนที่นางจัดแจงให้เฝ้าอยู่ที่นี่ถูกจับมัดแน่น ขาของทั้งสองถูกฟันจนบาดเจ็บ ทว่ามีร่องรอยการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว เหลียงหวั่นคิดพาคนฝ่าวงล้อมออกไปหลายครั้งแต่ก็ถูกหน้าไม้สกัดไว้ทุกครั้ง
ครั้งแรกเหลียงหวั่นอาศัยที่ตนสวมเกราะอ่อนพุ่งทะยานออกไป ผู้ใดจะทราบว่าเพิ่งไปถึงประตูลานเรือนก็ถูกบุคคลปริศนาปกปิดหน้าตาถือกระบี่สี่คนเข้าสกัดไว้ทันที ตามความคิดของเหลียงหวั่น วรยุทธ์ของผู้ที่ปิดบังใบหน้าเหล่านี้อยู่เพียงระดับกลาง แต่พวกเขาเข้าต่อสู้ห้ำหั่นอย่างกล้าหาญ เพลงกระบี่ดุดันทั้งยังประสานรับกันอย่างลงตัวสร้างเป็นค่ายกลกระบี่ขึ้นมาได้ เหลียงหวั่นถูกกักอยู่ในค่ายกล เมื่อเห็นหน้าไม้ถูกยิงหวีดหวิวมาอีกครั้งก็ทำได้เพียงทะยานตัวกลับเข้าไปอย่างสุดชีวิต หากมิใช่ว่ารับมือได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เกรงว่านางคงต้องทิ้งชีวิตไว้ด้านนอกแล้ว
หากมิใช่ว่าองค์หญิงฉางเล่ออยู่ด้วย นางย่อมจัดแจงให้พรรคพวกแยกย้ายกันฝ่าวงล้อมออกไปได้ ด้วยวรยุทธ์ของนางนับว่ามีโอกาสหนีรอดสูง เพียงแต่ตอนนี้จะรุกหรือถอยล้วนยากลำบาก ในใจของนางสับสนยิ่งนัก ผู้ที่มาปิดล้อมตนเองเหล่านี้ล้วนเป็นทหารชั้นยอด อย่างน้อยก็ไม่ด้อยไปกว่ากองทัพที่ยอดเยี่ยมที่สุดของต้ายงเลย ด้วยเหตุนี้เหล่ายอดฝีมือที่ออกมาสกัดกั้นตนเองย่อมมิใช่กองกำลังที่จะนำออกมาใช้ได้ตามใจ จากสถานการณ์ของหนานฉู่ในตอนนี้ จะมีกองกำลังชั้นยอดออกมาปรากฏตัวบริเวณใกล้เคียงเจี้ยนเย่ได้อย่างไร ต่อให้เป็นสายลับของหนานฉู่จริงๆ เหตุใดจึงมาลงมือเอาตอนนี้เล่า พวกเขาจะลงมือตอนที่ตนช่วยองค์หญิงออกมาจากวังหลวงก็ย่อมได้
เหลียงหวั่นคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าผู้ที่อยู่ด้านนอกคือใคร ทว่านางเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่ง นางจะต้องปกปักที่ซ่อนตัวเอาไว้ให้ดี เพราะนางไม่ได้แจ้งกองทัพต้ายงเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้เพื่อความปลอดภัย หากมิอาจป้องกันไว้จนกว่าทัพต้ายงจะบุกมาถึง ไม่เพียงแต่ชีวิตนางจะหาไม่ กระทั่งองค์หญิงก็คงจบสิ้นเช่นกัน หากองค์หญิงเกิดเรื่อง แม้ตนตายก็ยากจะสยบความโกรธเกรี้ยวของจักรพรรดิต้ายง ถึงตอนนั้นผู้ที่จะรองรับโทสะของจักรพรรดิย่อมเป็นสำนักเฟิงอี้
ขณะที่เหลียงหวั่นกำลังคิด คนผู้หนึ่งก็กระซิบบอก “คุณหนูเหลียง พวกเขาฟื้นแล้ว”
เหลียงหวั่นยินดียิ่ง แม้คนที่พวกเขาทิ้งไว้ที่นี่จะถูกรักษาเรียบร้อยแล้วและไม่ได้สิ้นใจตายแต่กลับสลบไสลไม่ได้สติอยู่ตลอด มาตรว่าคงถูกยาอะไรบางอย่างกระมัง นางเดินเข้าไปถามอย่างร้อนใจว่า “เกิดอะไรขึ้น ผู้ใดลอบโจมตีพวกเจ้า”
หนึ่งในนั้นเลียริมฝีปากแห้งผากของตนก่อนตอบ “คุณหนู ผู้มาเยือนมีคนเดียว สวมอาภรณ์ดำและปิดบังใบหน้า ไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่วรยุทธ์สููงส่งทั้งยังแปลกประหลาด เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำพวกเราสองคนบาดเจ็บแล้ว เดิมทีคนผู้นั้นต้องการสังหารพวกเราเสีย แต่กลับถูกคนที่ตามมาทีหลังหยุดไว้ ผู้ที่มาทีหลังไม่เป็นวรยุทธ์เพราะเสียงฝีเท้าของเขาสับสนและไม่มีพลังปราณ เขาสั่งให้ฟันขาของพวกเรา จากนั้นพวกเราก็หมดสติไป”
เหลียงหวั่นฟังเขาพูดจบแล้วกลับพบว่าช่วยอะไรไม่ได้เลย ขณะนั้นเองด้านนอกพลันมีเสียงเย็นชาดังแว่วมา “คนในบ้านฟังให้ดี พวกเราใกล้จะหมดความอดทนแล้ว หากพวกเจ้ายังไม่ออกมาอีก หลังจากหนึ่งก้านธูปพวกเราจะจุดไฟเผาเสีย”
เหลียงหวั่นตะโกนตอบ “หากพวกเจ้าจุดไฟเผา ไม่กลัวว่าจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่นหรือไร” นางคิดสืบเสาะตำแหน่งฐานะของผู้มาเยือน
ด้านนอกเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมีเสียงตอบว่า “ฝั่งหนานฉู่ย่อมมิว่างมาสนใจ ส่วนต้ายงต้องใช้เวลาอีกครึ่งชั่วยามจึงจะถึง มีเวลามากพอทีเดียว หากพวกเจ้าคิดนาน อีกประเดี๋ยวพวกข้าจะจัดการให้โหดเหี้ยม หากพวกเจ้ายอมแพ้ตอนนี้ ข้ารับประกันว่าอย่างน้อยพวกเจ้าจะไม่ตายอนาถเกินไป”
เหลียงหวั่นหลั่งเหงื่อเย็น นี่เป็นครั้งแรกที่นางเสียใจที่ไม่ยอมพาคนมามากกว่านี้ ขณะที่นางกำลังลังเลนั้นเอง ฟางแห้งหลายมัดก็ถูกกลิ้งมาที่ประตู ตามด้วยคบเพลิงที่ถูกโยนเข้ามา ทำให้เกิดเปลวเพลิงลุกโชน เหลียงหวั่นสิ้นไร้หนทางจึงตะโกนไปว่า “พวกข้ายอมแพ้”
คราดสองด้ามตีลงบนกองฟางเพื่อดับไฟ บุรุษอาภรณ์ดำสวมผ้าปิดบังใบหน้าร่างกายไม่สูงไม่เตี้ยผู้หนึ่งปรากฏตัวที่ประตู มือทั้งสองว่างเปล่า ไม่มีอาวุธใดๆ แต่เหลียงหวั่นกลับรู้สึกว่าบนตัวคนผู้นั้นแผ่แรงกดดันออกมาจางๆ มือซ้ายของนางกำมีดบินบริเวณเอวไว้แน่น แต่กลับไร้ความกล้าจะขว้างออกไป บุรุษอาภรณ์ดำผู้นั้นใช้เสียงเคร่งขรึมสะท้านใจคนกล่าวว่า “พวกเจ้ามัดมือของตนเองแล้วเดินออกมาทีละคน”
เหลียงหวั่นถึงกับสั่นสะท้าน น้ำเสียงเช่นนี้นางเคยได้ยินมาก่อน เป็นสำเนียงของขันทีในตำหนักใน แต่พวกเขาไม่ควรเป็นคนหนานฉู่กระมัง นางรวบรวมความกล้าวางกระบี่ลง ยื่นมือออกไปจัดการผมเผ้าให้เรียบร้อย เดินเซื่องๆ ไปยังคนผู้นั้น
นางรู้ดีว่าเขาอาจเป็นขันที หรือต่อให้ไม่ใช่ก็ต้องเคยฝึกพลังภายในสายหยินอันเข้มข้นร้ายกาจ นิสัยของคนผู้นั้นจะต้องโหดเหี้ยมอำมหิตเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงไม่กล้าใช้ความงามยั่วยวน แต่แสดงท่าทีโอนอ่อนเชื่อฟังแทน มือทั้งสองของนางไพล่อยู่ด้านหลัง ขณะที่กำลังเดินผ่านคนผู้นั้น ร่างกายของนางกลับพลิกวนกลับมาราวงูพิษตัวหนึ่ง มีดบินในมือขวาเสือกแทงไปยังลำคอของอีกฝ่าย เป็นการโจมตีที่กะทันหันยากป้องกัน แต่คนผู้นั้นกลับทำเพียงวาดมือขวาเบาๆ เหลียงหวั่นรู้สึกชาที่มือ จากนั้นพลันรู้สึกว่ามีมืออันเย็นเยียบขาวซีดข้างหนึ่งบีบคอตนเองอยู่ เหลียงหวั่นรู้สึกว่ามือข้างนั้นอำมหิตน่าหวั่นเกรงประหนึ่งงูพิษจริงๆ สุดท้ายนางก็หมดสติไป
เมื่อเหลียงหวั่นฟื้นสติขึ้นมาอีกครั้ง พบว่าตนอยู่ในความมืดมิดแล้ว นางตั้งสมาธิฟังเสียงรอบข้างแต่กลับไม่รู้สึกถึงผู้คนเลย นางบิดตัวเล็กน้อย พบว่าแขนทั้งสองของตนถูกมัดอยู่ด้านหลังจนแน่นหนา วรยุทธ์ของนางยังอยู่ บนร่างของนางก็ไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาดไปจากเดิม นางทอดถอนใจอย่างเปี่ยมสุข มิได้ดิ้นรนต่อไปอีก จะอย่างไรนางก็ไม่อยากดึงดูดความสนใจมากนัก ทว่าในตอนนี้เอง เสียงอันเย็นชากลับดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าตื่นแล้ว คุณชายต้องการพบเจ้า”
จากนั้นพลันมีแสงไฟสว่างวาบ เหลียงหวั่นหลับตาตามสัญชาตญาณ ไม่นานก็มีคนสองคนเดินเข้ามาลากนางไป ดูจากสัมผัสแล้วคงเป็นผู้เยาว์กระมัง เหลียงหวั่นคิดไปตามสัญชาตญาณ
ทั้งสองไม่ปล่อยให้นางเดินด้วยตนเอง ลากนางไปกระทั่งถึงห้องอันกว้างขวางทว่าไม่มีหน้าต่างสักบาน เห็นได้ว่าเป็นห้องลับแห่งหนึ่ง มีคบเพลิงปักอยู่รอบห้อง บนเก้าอี้กลางห้องมีคนปิดบังหน้าตาสวมชุดบัณฑิตสีดำทั้งตัวนั่งอยู่ บนกำแพงทั้งสี่ด้านมีผู้ใต้บัญชาของนางถูกโซ่เหล็กล่ามแขนขาติดกำแพง บนตัวพวกเขาไม่มีร่องรอยการถูกทรมาน
นอกจากนี้เหลียงหวั่นยังเห็นคนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายบัณฑิตชุดดำ นางจำมือทั้งสองของเขาได้ดี อีกฝ่ายก็คือยอดฝีมือที่มาจับกุมตนนั่นเอง และในห้องยังมีคนชุดดำอีกหกคนยืนแยกกันอยู่ในมุมต่างๆ เหลียงหวั่นถูกลากมาจนถึงกำแพงฝั่งตรงข้ามบัณฑิตชุดดำ ผู้เยาว์ทั้งสองใช้โซ่เหล็กล่ามมือและเท้าของเหลียงหวั่นอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงนำโซ่อีกเส้นหนึ่งมาล่ามเอวของนางไว้จนแน่น เหลียงหวั่นรู้สึกว่าตนขยับไม่ได้แม้แต่น้อย ไม่นานก็มีคนชุดดำอีกคนหนึ่งถือถังใส่น้ำเย็นเข้ามาสาดลงบนตัวนางจนเปียกไปทั้งตัว เผยให้เห็นทรวดทรงองค์เอวอันยั่วยวน
นางทั้งโกรธทั้งอาย แม้นางจะอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว ทว่านางยังมีร่างกายบริสุทธิ์ผุดผ่อง จะทนรับความอัปยศเช่นนี้ได้อย่างไร คนชุดดำพวกนั้นมองมาที่นางอย่างไร้ยางอาย กระทั่งผู้ใต้บัญชาของนางก็ยังแอบมอง
เหลียงหวั่นกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงมาสร้างความลำบากให้ต้ายงเช่นนี้”
บัณฑิตชุดดำผู้นั้นกล่าวอย่างเรียบเฉย “ข้ามิได้สร้างความลำบากให้ต้ายง เหลียงหวั่น คนที่ข้าต้องการคือเจ้า คนอื่นเป็นเพียงคนที่โดนหางเลขไปด้วยเท่านั้น”
เหลียงหวั่นใจสั่น คิดว่า หลายปีมานี้ข้าทำงานให้ต้ายง เหตุใดจึงมีคนมาล้างแค้นส่วนตัวกับข้าได้ นางมองไปยังแววตาลังเลของผู้ใต้บัญชา รู้สึกอับอายและโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอีกครั้ง ถามไปว่า “พวกเจ้าทำอะไรแม่นางอีกสองคน”
นางไม่กล้าเผยฐานะขององค์หญิงฉางเล่อ ทว่าบัณฑิตชุดดำผู้นั้นกลับตอบว่า “เจ้าหมายถึงองค์หญิงฉางเล่อกระมัง องค์หญิงไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องนี้ ข้าเองก็เห็นใจชะตาที่องค์หญิงประสบพบเจอ ดังนั้นจึงให้นางไปอยู่อีกห้องหนึ่งแล้ว ส่วนหญิงรับใช้ของนางมีวรยุทธ์เช่นเดียวกับเจ้า นางคิดฉวยโอกาสลอบโจมตีจึงถูกลูกน้องข้าสังหารไปแล้ว”
เหลียงหวั่นใจสั่น พูดว่า “พวกเจ้าช่างอำมหิตจริงๆ ปีนี้ศิษย์น้องของข้าเพิ่งอายุสิบเก้า ไม่คิดว่าพวกเจ้ากลับลงมือโหดเหี้ยมเพียงนี้”
บัณฑิตชุดดำไม่ได้พูดอะไร ทว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับใช้เสียงอำมหิตพูดแทน “จะอย่างไรพวกเราก็สังหารผู้ไม่เกี่ยวข้องไปเพียงคนเดียว หากเจ้าไม่ยอมตอบคำถามของพวกเรา ข้าจะให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตาย”
เหลียงหวั่นพูดอย่างเคืองแค้น “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ มีความแค้นอันใดกับข้า”
บัณฑิตชุดดำผู้นั้นเอ่ยเสียงเย็น “ข้าขอถามเจ้าเรื่องเดียว เจ้าเป็นคนสั่งหารหลิ่วเพียวเซียงใช่หรือไม่”
เหลียงหวั่นชะงักไปโดยพลัน จะอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าจะมีคนถามนางเรื่องนี้