ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 42 รู้ความจริง (1)
ข้ามองเหลียงหวั่น เพื่อจับตัวนางข้าต้องสิ้นเปลืองความคิดไปมากน้อยเพียงใด ต้องวางกลยุทธ์ลับใช้สายสืบไปมากน้อยเพียงใด ในที่สุดก็หาสถานที่ที่นางคิดใช้ซ่อนตัวองค์หญิงพบ กระทั่งพวกนางติดกับข้าจึงใช้กองกำลังปิดล้อม ทั้งยังใช้วรยุทธ์อันแข็งแกร่งและความปลอดภัยขององค์หญิงเข้าข่มขู่ ในที่สุดก็จับกุมพวกเขาได้ แม้ดูเหมือนสะดวกราบรื่น แต่ข้าสิ้นเปลืองแรงใจและความคิดไปมากทีเดียว เพื่อบังคับให้เหลียงหวั่นสารภาพ ข้าจึงใช้วิธีนี้ทำให้นางมิอาจป้องกันตนเอง ทำให้นางสูญเสียความมั่นใจในตนเองไปทั้งหมด เช่นนี้จึงจะทำให้นางยอมสารภาพอย่างเชื่อฟัง มิเช่นนั้นหากนางมองทะลุปรุโปร่งว่าข้าไม่อยากทำร้ายองค์หญิงคงแย่แล้ว
เหลียงหวั่นกล่าวอย่างยากลำบาก “เจ้าเป็นอะไรกับนาง”
ข้ากล่าวอย่างเรียบเฉย “เพียวเซียงและข้าสัญญาแต่งงานกันแล้ว คืนก่อนที่นางจะตกตายอย่างอนาถ นางอยู่ที่พำนักของข้า น่าเสียดาย เพื่อตอบแทนผู้ที่ดีกับนางอย่างเสมอต้นเสมอปลายนางจึงไม่ปฏิเสธคำขอของเยี่ยนเหนียง สุดท้ายกลับต้องตายตกไปเช่นนี้”
เหลียงหวั่นมองดูคนเบื้องหน้าเหล่านั้น รีบย้อนคิดค้นหาในความทรงจำว่ามีผู้ใดข้องเกี่ยวกับหลิ่วเพียวเซียงบ้าง แม้จะมีขุนนางหลายคนยอมสยบอยู่ใต้กระโปรงหลิ่วเพียวเซียง แต่กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่มีกิริยาสอดคล้องกับคนผู้นี้ นางจึงย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์ก่อนตายของหลิ่วเพียวเซียง ตอนนั้นตนเดินเข้าไปในห้อง เห็นหลิ่วเพียวเซียงกำลังอาบน้ำ บนใบหน้างามพิลาสของนางเต็มไปด้วยโทสะที่โหมกระหน่ำดุจเปลวเพลิง เมื่อเห็นตนก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงหมิงเยว่ก็เพียงเท่านี้เอง ถึงกลับหลอกลวงดูหมิ่นสตรีเล็กๆ อย่างข้าเชียว”
เหลียงหวั่นยังจำได้ว่าตนกล่าวเกลี้ยกล่อมด้วยคำพูดสวยหรูมากมาย แต่หลิ่วเพียวเซียงกลับพูดด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก “พวกท่านมีฐานะและอำนาจสูงส่ง ข้าก็ไร้คำจะพูด ต่อให้ฟ้องร้องทางการก็คงไม่มีประโยชน์อันใด ท่านวางใจเถิด ข้ามีชีวิตของตนเองที่จะต้องผ่านไปให้ได้”
ทั้งที่อีกฝ่ายแสดงออกอย่างอดทนปานนั้น แต่ตนกลับรู้สึกหนาวยะเยือกในใจ นางไม่เชื่อว่าหลิ่วเพียวเซียงที่เคยสร้างความอัปยศแก่หานอ๋องจ้าวเต๋อหลงต่อหน้าผู้คนมากมายจะไม่คิดสืบเสาะเรื่องนี้ เมื่อคิดว่าขอเพียงหลิ่วเพียวเซียงแพร่เรื่องนี้ออกไป ชื่อเสียงของตนจะป่นปี้ย่อยยับทันที หากตนสูญเสียตำแหน่งในหนานฉู่ไป เช่นนั้นความเพียรพยายามของตนคงถูกผู้อื่นแย่งชิงไปด้วย สุดท้ายนางจึงลงมือโหดเหี้ยมกับหลิ่วเพียวเซียงก่อนนางจากไป
ข้าเห็นท่าทีใคร่ครวญของเหลียงหวั่น ในใจพลันเกิดโทสะคับฟ้า หากนางมิได้สังหารเพียวเซียงจะมีท่าทีขบคิดลึกล้ำเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าเอ่ยไปว่า “เจ้าคิดออกแล้วหรือไม่”
เหลียงหวั่นมองข้าแวบหนึ่ง ในใจคิดว่า ‘ที่แท้วันนั้นหลิ่วเพียวเซียงยอมประนีประนอมรับปากจะไม่แก้แค้นข้ากลับเป็นเพราะต้องการแต่งงานกับคนรักนี่เอง ดูท่าทางคนรักของนางคงมีฐานะไม่สูงนัก มิเช่นนั้นหลิ่วเพียวเซียงคงไม่รับปากว่าจะไม่แก้แค้น’
ขณะที่นางกำลังใคร่ครวญอยู่นั้น คนชุดดำท่าทีเย็นชาก็เดินมาเบื้องหน้านาง ฉีกสาบเสื้อบริเวณหน้าอกของนางออกจนเป็นเศษเล็กเศษน้อยกระจัดกระจาย เหลียงหวั่นรู้สึกหน้าอกของตนเย็บวาบ ท่อนบนของตนเปลือยเปล่า พลันกรีดร้องออกมาด้วยความอับอาย นางรู้ดีว่านี่คือคำเตือนจึงได้แต่ยอมรับไป “ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าเชื่อว่าท่านคงมีหลักฐานเพียงพอกระมัง ถูกต้อง ข้าเป็นคนสังหารหลิ่วเพียวเซียงเอง”
นางยอมรับแล้ว ข้าจ้องมองนางอย่างดุดัน ถามว่า “ดี เช่นนั้นบอกข้ามา ไอ้สารเลวที่สร้างความอัปยศให้เพียวเซียงและให้เจ้าตามล้างตามเช็ดคือผู้ใด”
ยามนี้เหลียงหวั่นจึงค่อยเข้าใจ ที่แท้นี่คือสาเหตุสำคัญที่ตนยังรักษาชีวิตมาจนถึงตอนนี้ได้ เดิมทีนางเป็นสตรีชาญฉลาดเหนือผู้คนอยู่แล้ว ตอนนี้มีเรื่องให้ใช้ประโยชน์ได้แล้วทำไมจะไม่ใช้เล่า นางแย้มยิ้มเล็กน้อย “ที่แท้ท่านก็อยากรู้เรื่องนี้นี่เอง เรื่องนี้มีข้ารู้เพียงผู้เดียว ท่านจะเสนอสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนข่าวนี้เล่า”
ข้าเอ่ยอย่างเรียบเฉย “รู้นานแล้วว่าเจ้าจะทำเช่นนี้ แต่หากไม่มีความมั่นใจมากพอข้าจะลงมือได้อย่างไร แม่นางเหลียง ไม่ว่าฐานะเจ้าจะสำคัญเพียงใด ตำแหน่งจะโดดเด่นเพียงใด วันนี้เจ้าตกอยู่ในกำมือข้าแล้ว ข้าย่อมทำให้ตนสมปรารถนาได้แน่ หากเจ้ายอมพูดชื่อคนผู้นั้นออกมา ข้ารับประกันว่าจะให้เจ้าตายสบาย แต่หากไม่ยอมพูด ข้าก็มีเป็นร้อยพันวิธีที่จะทำให้เจ้าตายตาไม่หลับ”
เหลียงหวั่นหัวเราะเย็นชา “ข้ารู้ สำหรับสตรีนางหนึ่ง มีวิธีทำร้ายนางมากมาย เจ้าใช้ให้บุรุษทั้งห้องมาสร้างความอัปยศให้ข้าได้ ทรมานข้าได้ หรือจะทำลายรูปโฉมข้าก็ได้ แต่เจ้าควรรู้ไว้ ข้าเหลียงหวั่นมีใจเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง ไม่ว่าเจ้าจะทำร้ายข้าอย่างไร ขอเพียงข้าตายก็ไม่ยอมพูด เช่นนั้นสุดท้ายคนที่ตายตาไม่หลับยอมเป็นเจ้า หากเจ้ายอมเจรจากับข้าอย่างเท่าเทียม คงมีสักวันที่ข้าจะบอกฐานะคนผู้นั้นแก่เจ้า”
ข้าโบกมือแผ่วเบาพลางพูดยิ้มๆ ว่า “ดี ไม่เสียทีที่เป็นหัวหน้าสายลับแห่งต้ายง พวกเจ้าว่าความระมัดระวังของข้าในตอนแรกสมเหตุสมผลหรือไม่”
เฉินเจิ่นเอ่ยเสียงเย็น “คุณชายฉลาดเฉลียวเหนือผู้คนจริงๆ ผู้น้อยนับถือ”
ข้าเดินไปเบื้องหน้าเหลียงหวั่น เอ่ยว่า “ข้ารู้นานแล้วว่าเจ้าจะทำเช่นนี้ เจ้ามีใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ข้าก็มั่นใจว่าเจ้าจะข้ามผ่านการทรมานแต่ละอย่างไปได้แน่ ทว่าข้าเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ ทำให้เจ้าลิ้มลองความอัปยศและขมขื่นที่สุดในชีวิตมนุษย์ได้แน่นอน คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า ข้าจะให้เจ้าร้องครวญครางขอความสุขต่อหน้าพวกเขา ถึงตอนนั้นดูสิว่าเจ้ายังมีหน้าเป็นหัวหน้าพวกเขาอีกหรือไม่”
เหลียงหวั่นพยายามอดกลั้นความหวาดกลัวในใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้ ได้ยินว่ามีคนเชี่ยวชาญการปรุงยาปลุกกำหนัดที่มีฤทธิ์รุนแรง หากสตรีกินเข้าไปย่อมมิอาจจินตนาการ แต่ขอเพียงข้าจดจำไว้ว่าตนเองทรมานเพราะฤทธิ์ยา ย่อมไม่อัปยศเพราะเหตุนี้อีก”
ข้าหัวเราะเสียงเย็น “ต่อมาเจ้ายังฆ่าคนปิดปากได้ เช่นนั้นก็ไม่มีใครรู้ถึงความอับอายของเจ้าแล้ว ใช่หรือไม่”
เหลียงหวั่นกล่าวอย่างไม่แยแส “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” ทว่าในดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด นางคิดทำเช่นนั้นจริงๆ
ข้าหัวเราะเบาๆ “เจ้ายังรักษาร่างกายให้บริสุทธิ์ดุจหยกมากระทั่งวันนี้ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่สตรีที่เอาแต่หนีปัญหาเช่นนั้นแน่ ทว่าเหตุใดเจ้าจึงไม่มีคนรักเล่า เพราะเจ้าไม่ถูกใจบุรุษทั่วทั้งแผ่นดิน หรือเป็นเพราะเจ้ามีคนรักอยู่ก่อนแล้ว สำหรับเจ้า ความบริสุทธิ์คงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง”
ทันใดนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อก็กล่าวขึ้นว่า “คุณชาย วรยุทธ์ที่นางฝึกฝนไม่จำเป็นต้องรักษาร่างกายให้บริสุทธิ์ ข้าเชื่อว่านางคงมีคนในใจแล้วกระมัง บางทีนางอาจต้องการเป็นภรรยาของใครบางคน จึงจำต้องรักษาร่างกายให้บริสุทธิ์เช่นนี้”
ข้ามองสีหน้าของเหลียงหวั่น พูดยิ้มๆ ว่า “บางทีคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ เด็กๆ นำสุรามาให้นางดื่ม”
เต้าหลียกสุรามากาหนึ่ง เดินมาพร้อมกันกับไป๋อี้ ไป๋อี้บีบจมูกเหลียงหวั่น ส่วนเต้าหลีกรอกสุราเข้าปากนางช้าๆ การเคลื่อนไหวของพวกเขาคล่องแคล่วยิ่ง เหลียงหวั่นมิอาจต่อต้านได้เลย ทว่าสุรายังคงไหลลงหน้าอกนางไปครึ่งหนึ่ง เหลียงหวั่นรอให้พวกเขาปล่อยมือแล้วจึงไอออกมาหลายครั้ง นางรู้สึกเย็นวาบที่หน้าอกทว่าลำคอกลับร้อนผะผ่าว ใบหน้ายิ่งแดงระเรื่อคล้ายหายใจไม่ทัน เหลียงหวั่นรู้สึกว่าสายตาของทุกคนจ้องมองมายังเรือนร่างของตน แม้จะอับอาย แต่นางรู้ว่าจะเป็นจะตาย จะรักษาเกียรติหรือจะอัปยศ ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับชั่วขณะนี้ ดังนั้นจึงพยายามเงยหน้าขึ้นมองไปยังบัณฑิตอาภรณ์ดำ ในใจคิดว่าหากถึงเวลาที่ตนมิอาจควบคุมตนเองก็จะกัดลิ้นตายไปเสีย ต่อให้ถูกขัดขวาง คนเหล่านั้นจะได้รู้ว่าตนเด็ดเดี่ยวเพียงใด
ผ่านไปไม่นาน เหลียงหวั่นมิได้รู้สึกร้อนรุ่ม กลับรู้สึกสดชื่นเต็มไปด้วยชีวิตชีวาราวอยู่ในแดนเซียนก็มิปาน เหลียงหวั่นเริ่มรู้สึกเกียจคร้าน อยากทอดตัวนอนลงเดี๋ยวนั้น ทว่าเมื่อขยับร่างกายกลับถูกพันธนาการจนแน่น ข้างหูมีเสียงอันอ่อนโยนดังแว่วมา “แม่นางเหลียง เจ้าอยากพักผ่อนแล้วหรือ”
เหลียงหวั่นครางตอบเบาๆ “ข้าอยากนอนแล้ว”
เสียงนั้นถามต่อไป “เจ้าอยู่ที่หนานฉู่นานเพียงนี้ เชื่อว่าคงซื้อตัวขุนนางระดับสูงไว้มาก มีสายสืบอยู่ในมือมากมายกระมัง”
เหลียงหวั่นรู้สึกสติล่องลอยสับสน ตอบไปว่า “ใช่แล้ว ยงอ๋องส่งข้ามาคุ้มครององค์หญิง ต่อมาก็ให้ข้าคอยควบคุมข่าวกรองในเจียงหนาน น่าเสียดายที่ข้าทรยศความโปรดปรานที่เขามีให้ข้า ท่านอาจารย์กล่าวว่ารัชทายาทต่างหากจึงจะเป็นโอรสสวรรค์ที่แท้จริง”
“อาจารย์ของเจ้าคือผู้ใด” เสียงนั้นยังคงถามต่อไป
เหลียงหวั่นตอบอย่างหมดความอดทน “อาจารย์ของข้าย่อมเป็นเจ้าสำนักเฟิงอี้”
“อ้อ เช่นนั้นผู้ใดให้เจ้าเชิญแม่นางหลิ่วไปที่หอหมิงเยว่”
เหลียงหวั่นกล่าวคำว่า ‘คือ’ ออกมาคำเดียวก็ได้สติ ดวงตาของนางปรากฏแววเย็นยะเยือก กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าพูดอะไรออกไปบ้าง”
ตอนนี้เอง ผู้ใต้บังคับบัญชาของนางผู้หนึ่งตอบด้วยเสียงเย็นชา “ท่านกล่าวว่าท่านทรยศยงอ๋อง ไปพึ่งพิงรัชทายาท อัก…” คนชุดดำผู้หนึ่งออกหมัดโจมตีไปที่ท้องของเขา ไม่ให้เขาพูดต่อ
ข้ามองเหลียงหวั่นที่มีใบหน้าซีดเซียวดุจขี้เถ้า “กระทั่งเรื่องที่เจ้าทรยศก็พูดออกมาแล้ว เช่นนั้นยังมีอันใดต้องปิดบังอีกเล่า”
เหลียงหวั่นหัวเราะ “แม้ข้าจะหลุดพูดออกไปบ้าง ทว่าอย่างมากข้าก็เพียงทำงานให้รัชทายาทอย่างเปิดเผย ส่วนคนที่เจ้าอยากรู้ผู้นั้นกลับมีข้าเป็นเบาะแสคนเดียว ดังนั้นหากเจ้าไม่ยอมเจรจากับข้าอย่างเท่าเทียม ข้าจะไม่พูดฐานะของคนผู้นั้นเป็นอันขาด ความจริง เหตุใดเจ้าต้องสิ้นเปลืองแรงใจเพราะนางโลมเพียงผู้เดียวด้วยเล่า ใต้หล้านี้มีสตรีไม่รู้เท่าใด ในสำนักเฟิงอี้ของข้าก็มีศิษย์พี่ศิษย์น้องที่หน้าตางดงามเหนือสามัญอยู่มาก หากเจ้าชอบ เหลียงหวั่นยินดีเป็นแม่สื่อให้”
ข้าเอ่ยอย่างเรียบเฉย “แม้เพียวเซียงโชคร้ายต้องมีชีวิตอยู่ในฝุ่นดิน แต่จิตใจของนางกลับกระจ่างใสดุจสวรรค์ชั้นเก้า ส่วนแม่นางเหลียงแม้มีฉายาหมิงเยว่ (จันทร์ไสว) แต่การกระทำกลับไม่เปิดเผยตรงไปตรงมาเท่าสตรีคลุกฝุ่น”
เหลียงหวั่นโกรธจนหน้าเขียว ส่วนข้ากลับทำเพียงทอดถอนใจเบาๆ เหลียงหวั่นรับมือยากจริงๆ แรกเริ่มข้าจงใจกล่าวถึงยาปลุกกำหนัด แต่ละคนจึงคิดว่าสุราที่ข้าให้นางกินมียาปลุกกำหนัดผสมอยู่ ซึ่งข้าผสมยาไว้ในสุราจริงๆ แต่เป็นยามอมเมาที่กลั่นจากต้นฝิ่น ยามอมเมานี้มีข้อด้อยจุดใหญ่ก็คือหากผู้ใช้เตรียมพร้อมอยู่ก่อนย่อมยากจะควบคุม ข้าเคยให้สายลับต้ายงที่ถูกจับตัวมากินยานี้แล้ว แม้พวกเขาจะตกอยู่ในสภาวะไร้การเตรียมตัวก็ยังไม่พูดจาสักคำ
ดังนั้นข้าจึงทำให้เหลียงหวั่นเข้าใจจุดประสงค์ของข้าเสียก่อน เช่นนี้นางจะสูญเสียความระมัดระวังไป จากนั้นค่อยให้นางกินยาที่นางคิดว่าเป็น ‘ยาปลุกกำหนัด’ ซึ่งนางคิดว่าตัวเองต้านทานฤทธิ์ของมันได้ เมื่อกินยามอมเมาเข้าไปแล้ว เหลียงหวั่นก็พูดออกมาจริงๆ ที่น่าเสียดายก็คือเหลียงหวั่นระมัดระวังเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตายของตนอย่างเคร่งครัด ดังนั้นจึงไม่สำเร็จ แต่ข้าก็ไม่ได้ท้อแท้ เดิมทีนี่ก็เป็นเพียงก้าวแรกในแผนการของข้าเท่านั้น มาถึงขั้นนี้แล้ว เหลียงหวั่นเข้าใจแล้วว่าข้าสนใจเรื่องนี้ เช่นนั้นยามข้าสั่งมือสังหารออกมา นางถึงจะรับปากจะเจรจาเงื่อนไขกับข้า
ข้ายิ้มพราย “ดูท่าทางแม่นางเหลียงไม่ยอมพูดจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าทำได้เพียงล่วงเกินแล้ว”
เหลียงหวั่นกล่าวอย่างได้ใจ “ข้ากลับอยากจะเห็นเสียจริงว่าเจ้ายังมีลูกไม้อันใดอีก”
ข้าพูดอย่างไม่แยแส “ข้าเพียงอยากให้แม่นางฟังอะไรสนุกๆ เสียหน่อย”