ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 43 รู้ความจริง (2)
กล่าวจบข้าก็โบกมือ ชื่อจี้ก้มตัวคารวะข้า จากนั้นจึงหันไปผลักประตูหินด้านหลัง ชั่วขณะที่ประตูหินเปิดออก สายตาทุกคนพลันเห็นกระจกสำริดขนาดใหญ่เท่าตัวคนวางอยู่ด้านหนึ่ง ในกระจกมีตะเกียงส่องสว่าง ทำให้เห็นเตียงขนาดใหญ่ประดับด้วยผ้าม่านหรูหราชัดเจน บนเตียงมีดรุณีในอาภรณ์สีอ่อนนั่งอยู่นางหนึ่ง นางคือองค์หญิงฉางเล่อนั่นเอง เมื่อมองผ่านมุมกระจก องค์หญิงฉางเล่อสมควรอยู่ในห้องหลังประตูหินกระมัง ชื่อจี้เดินเข้าไปแล้วปิดประตูหินลง
ชั่วขณะนั้น สายลับต้ายงทุกคนพลันใช้สายตาน่ากลัวมองมาที่ข้า ดูท่าทางพวกเขาคงคาดเดาวิธีของข้าออกแล้วกระมัง ข้าโบกมือ ไม่นานก็มีคนหยิบท่อทองแดงที่ซ่อนอยู่บนประตูออกมา ยามนี้คนทั้งหมดจึงได้ยินเสียงที่ดังลอดมาตามท่อทองแดง
“เจ้าเป็นใคร เจ้าจะ…ทำอะไรข้า”
“ไม่ อย่าเข้ามา เจ้าอย่าเข้ามา” จากนั้นก็มีเสียงผ้าฉีกขาดดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงดิ้นรนและร้องไห้สะอึกสะอื้นของสตรี
“หยุดมือ หยุดมือ” สายลับต้ายทุกคนพากันตะโกนลั่น มีเพียงเหลียงหวั่นที่ยังคงมีใบหน้าเขียวคล้ำ มิได้เอ่ยคำใด
ข้าส่งสัญญาณให้เก็บท่อทองแดงกลับไป แม้จะไม่ได้ยินเสียงแล้ว แต่คนเหล่านั้นกลับยิ่งกังวล พวกเขาเริ่มดิ้นสุดชีวิต บางคนถึงกับตะโกนด่าออกมา
ข้าเอ่ยอย่างเย็นชา “แม่นางเหลียง หากเจ้าไม่ยอมพูดสิ่งที่ข้าอยากรู้ เช่นนั้นองค์หญิงฉางเล่อจะพบกับอะไรเจ้าคงเข้าใจดี ข้าอยากรู้จริงๆ หากจักรพรรดิต้ายงทรงทราบว่าธิดาสุดที่รักต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้เพราะเจ้า เขาจะจัดการเจ้าอย่างไร รัชทายาทจะจัดการเจ้าอย่างไร ยงอ๋องจะจัดการเจ้าอย่างไร”
เหลียงหวั่นเงยหน้าอย่างสิ้นหวัง นางรู้ว่าตนติดลงในกับดักที่ลึกที่สุดแล้ว คนผู้นี้น่าพรั่นพรึงดุจภูตผี ดูได้จากวิธีที่เขาใช้รับมือตน เขาเป็นมารชั่วช้าที่มีความคิดลึกล้ำ ย่อมทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้แน่นอน เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาจะไม่ทำนั่นก็คือการทำร้ายนาง เพราะเขาจะไม่ปล่อยให้เกิดผลลัพธ์ที่นางยอมตายแต่ไม่ยอมพูดเด็ดขาด
นางกล่าวอย่างฝาดเฝื่อน “ให้ลูกน้องของเจ้าหยุดมือเสีย หากองค์หญิงไม่ได้รับอันตรายและเจ้ารับปากว่าจะไม่ทำร้ายข้า เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้า”
ข้ากล่าวอย่างเรียบเฉย “รีบพูดมาเถิด ลูกน้องข้ามีนิสัยใจร้อน หากเจ้าพูดออกมายังทันเวลา ส่วนชีวิตของเจ้า ข้ารับปากว่าวันนี้จะไม่เอาชีวิตเจ้า และจะไม่ทำร้ายเจ้าอีก”
เหลียงหวั่นกล่าวอย่างเศร้าสลด “ข้าคงทำได้เพียงเชื่อเจ้าแล้ว คนผู้นั้นคือรัชทายาทหลี่อัน”
ข้าขมวดคิ้วกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้ากล่าวไร้สาระอันใดกัน รัชทายาทแห่งต้ายงจะมาถึงหนานฉู่ได้อย่างไร”
เหลียงหวั่นยังคงกล่าวอย่างหนักแน่น “ฉีอ๋องสัญญากับเจ้าแคว้นหนานฉู่ว่าจะให้เขาเรียกคืนตำแหน่งจักรพรรดิ แต่หลังจากทำลายสู่แล้วกลับตระบัดสัตย์ หากไม่มีคนที่มีฐานะสูงส่งยิ่งกว่ามาปลอบโยนจนเรื่องนี้แพร่ออกไปจะไม่ทำให้ต้ายงขายหน้าหรือ ดังนั้นรัชทายาทจึงเสด็จมายังหนานฉู่อย่างลับๆ นอกจากจ้าวเจียแล้วก็ไม่ได้พบผู้ใดอีก ก่อนจากไปรัชทายาทกล่าวว่าได้ยินฉีอ๋องบรรยายว่าหลิ่วเพียวเซียงงดงามสมควรพบสักครั้ง เดิมทีข้าคิดว่าหลิ่วเพียวเซียงเป็นเพียงนางคณิกาผู้หนึ่ง เมื่อพบรัชทายาทจะไม่คล้อยตามเชื่อฟังได้หรือ ผู้ใดจะทราบว่าหลิ่วเพียวเซียงมาถึงแล้วกลับทำเพียงร้องเพลงเพลงหนึ่งแล้วคิดอำลา รัชทายาททรงกริ้วหนักจึงใช้กำลังบีบบังคับ สุดท้ายข้าที่เข้ามาจัดการเรื่องนี้จึงได้แต่สังหารหลิ่วเพียวเซียงเท่านั้น”
เหลียงหวั่นยังคงกล่าวเท็จอยู่บ้าง แม้หลี่อันจะบอกให้นางจัดการให้เรียบร้อย แต่ไม่ได้สั่งให้นางสังหารคน เขาคิดว่าขอเพียงมอบทรัพย์สินเงินทองให้มากหน่อยก็พอแล้ว แต่เหลียงหวั่นกลัวว่าหลิ่วเพียวเซียงจะนำเรื่องนี้ไปพูด ชื่อเสียงของตนป่นปี้ไม่ต้องกล่าวถึง แต่อาจทำให้รัชทายาทต้องพบกับความยากลำบากไปด้วย ดังนั้นจึงฆ่าคนปิดปากเสีย สำหรับเหลียงหวั่นแล้ว ความเป็นความตายของหลิ่วเพียวเซียงเป็นเพียงเรื่องที่ขบคิดเพียงชั่วครู่เท่านั้น
ข้ามองเหลียงหวั่น ข้าที่รู้ความจริงในที่สุดกลับรู้สึกจนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไรดี ข้าจะแก้แค้นรัชทายาทของแคว้นหนึ่งอย่างไรเล่า ดูเหมือนเหลียงหวั่นเห็นความเปลี่ยนแปลงของข้าจึงพูดว่า “หากเจ้ายอมละทิ้งความขัดแย้งในอดีต เหลียงหวั่นรับประกันว่าจะช่วยผลักดันเจ้าขึ้นไปดุจทะยานเมฆ”
ข้ากล่าวเย็นชา “เจ้าพูดจริงหรือ”
เหลียงหวั่นเอ่ยเรียบๆ “เจ้าทำได้เพียงเชื่อข้า หากเจ้าไม่เชื่อก็ตระบัดสัตย์สังหารข้าได้”
ข้าไม่ได้พูดอะไร กลับมั่นใจยิ่งขึ้นว่านางพูดความจริง ข้าจะสังหารนางไม่ได้ เหลียงหวั่นรู้เรื่องนี้ดีจึงได้กล้าพูดออกมา
ตอนนี้เอง สายลับต้ายงคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “เจ้ายังไม่ได้ปล่อยองค์หญิง”
ข้าไม่ได้พูดอะไร เมื่อเฉินเจิ่นเปิดประตู ทุกคนก็รีบมองไป เห็นว่าในกระจกสำริด องค์หญิงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เพียงแต่ท่าทางเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย จากนั้นชื่อจี้ก็เดินออกมาก่อนจะปิดประตูลง
ข้ามองพวกเขาแล้วกล่าวอธิบาย “พวกเจ้าวางใจเถิด ชะตาชีวิตขององค์หญิงลำบากยากเย็นปานนั้น ข้าจะสร้างความลำบากให้นางได้อย่างไร ผู้ใต้บัญชาของข้าเชี่ยวชาญการเลียนเสียง ทำให้ทุกท่านขบขันแล้ว”
คนเหล่านั้นผ่อนคลายลงได้เปลาะหนึ่ง องค์หญิงไม่ได้รับอันตรายใดทำให้พวกเขารู้สึกพอใจยิ่ง ส่วนเหลียงหวั่นกลับมองข้าด้วยสายตาโหดเหี้ยม “ที่แท้เป็นเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าคือใคร เจียงเจ๋อ เจ้าคือเจียงเจ๋อ”
คำพูดของนางประหนึ่งสายลมยามเหมันต์พัดผ่าน ทำให้ทุกคนเงียบเสียงลงโดยพลัน คนของข้าเงียบเพราะฐานะของข้าถูกเปิดเผย ส่วนสายลับต้ายงเงียบเพราะตะลึงพรึงเพริด พวกเขาล้วนรู้ว่าข้าคือจ้วงหยวนอัจฉริยะ
ข้าเอ่ยอย่างเย็นชา “คุณหนูเหลียงจำข้าได้อย่างไร”
เหลียงหวั่นกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เสียงของเจ้า ในที่สุดข้าก็คิดออกว่าเคยได้ยินเสียงเจ้าที่ใด อีกอย่าง ในตอนที่เจ้ากล่าวถึงองค์หญิง แววตาของเจ้าอ่อนลงทั้งยังเต็มไปด้วยความเห็นใจ ยามพบองค์หญิงในคราแรก ข้าก็เห็นเจ้ามีแววตาเช่นนี้”
ข้ามองเหลียงหวั่นด้วยสายตาชื่นชม “ยอดเยี่ยมจริงๆ แม่นางเหลียง ไม่เสียทีที่เป็นผู้โดดเด่นในหมู่สายลับต้ายง ถึงกับมองฐานะของคนที่มิค่อยติดต่อคบหากันเช่นข้าออกอย่างทะลุปรุโปร่งเชียว”
สีหน้าของเหลียงหวั่นดูพิกลไปบ้าง แต่ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจียงเจ๋อ เจ้าลักพาตัวองค์หญิงนับว่ามีโทษมหันต์ วันหน้าหากเจ้ายินดี ข้าช่วยผลักดันเจ้าเข้าสู่ราชสำนักต้ายงได้ ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมมีอนาคตสดใส เหตุใดต้องทำลายอนาคตตนเองเพราะสตรีนางหนึ่งด้วยเล่า”
ข้าหัวเราะอย่างเย็นชืด “แม่นางเหลียง เจ้าช่างน่ากลัวจริงๆ โบราณกล่าวว่าพิษของงูเขียวไผ่หรือพิษจากเหล็กในตัวต่อไม่นับว่าร้ายแรงเท่าใด ที่ร้ายที่สุดคือใจสตรีต่างหาก วันนี้ข้าจึงค่อยเชื่อ ถูกต้อง ข้าไม่ฆ่าเจ้า ข้าไม่ทำร้ายเจ้า ข้าเพียงต้องการความทรงจำและความสามารถของเจ้าเท่านั้น”
เสี่ยวซุ่นจื่อเดินเข้ามา นำยาลูกกลอนสีแดงขนาดใหญ่เท่าตามังกรยัดใส่ปากเหลียงหวั่น เดิมเหลียงหวั่นคิดขัดขืน ทว่ามืออันเย็นเยียบของเสี่ยวซุ่นจื่อทำให้นางสูญเสียความกล้าที่จะต่อต้าน ข้ามองแววตาพรั่นพรึงของนางอย่างไม่แยแส กล่าวไปว่า “ข้าไม่ได้สังหารเจ้าและไม่ได้ทำร้ายเจ้าแม้แต่ปลายเส้นผม ยาลูกกลอนนี้เมื่อกินไปแล้วจะทำให้เจ้าลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าจะลืมมากน้อยเพียงใด แต่รับประกันได้เลยว่าเจ้าจะจำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้แน่”
เหลียงหวั่นมองข้าด้วยความหวาดกลัว นางคิดว่าข้าคงไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ แน่นอน แต่จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าข้าจะใช้วิธีเช่นนี้ นางรีบร้องบอก “ข้าโกหกเจ้า ที่ข้าบอกเจ้าไม่ใช่ความจริง”
ข้ากล่าวอย่างเย็นชา “แม่นางเหลียง หากเจ้าต้องการปิดบังแทนผู้อื่น จะยกชื่อรัชทายาทมาลวกๆ หรือ”
เหลียงหวั่นรู้สึกราวกับความทรงจำแต่ละฉากถูกฉุดกระชากออกมาจากขั้วหัวใจ ความสุขในวัยเด็ก การฝึกวรยุทธ์อย่างขมขื่นในยามเยาว์ ความหวั่นไหวยามได้เห็นยงอ๋องครั้งแรก ทั้งยังมีการต่อสู้โรมรันทั้งหลายในหนานฉู่ สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างสุดท้ายคือแววตาที่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยก่อนตายของหลิ่วเพียวเซียง จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างพลันล่องลอย ท้ายที่สุดบนใบหน้าของเหลียงหวั่นกลับเผยรอยยิ้มราวเด็กน้อยออกมา รอยยิ้มนั้นบริสุทธิ์หาใดเปรียบ
ข้าเอ่ยนิ่งๆ “เจ้าสังหารภรรยาข้า ข้าทำลายชีวิตเจ้า แม้ไม่นับว่าเท่าเทียมแต่ก็นับว่าเจ้าได้รับการลงทัณฑ์แล้ว แม่นางเหลียง หากพวกเราไม่ได้พบกันอีกเจ้าก็ใช้ชีวิตไปดีๆ เถิด หากเจ้าข้าโชคไม่ดี วันหน้ากลับพบกันอีกครั้ง ข้าคงทำได้เพียงเอาชีวิตเจ้าเพื่อปลอบโยนดวงวิญญาณของภรรยาข้าบนสวรรค์”
ข้าเงยหน้ามองไป นอกจากเสี่ยวซุ่นจื่อแล้วในดวงตาของทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง แม้เฉินเจิ่นและพวกชื่อจี้เต้าหลีจะเคยเห็นข้าใช้ยาทำลายความทรงจำของเด็กๆ ที่ถูกส่งออกจากค่ายลับมาบ้าง ทว่ายามนั้นยาที่ข้าใช้ไม่ได้มีฤทธิ์รุนแรง ทำให้พวกเขาเสียความทรงจำไปเพียงสองสามปีเท่านั้น จะเคยเห็นสภาพเช่นเหลียงหวั่นในวันนี้ได้อย่างไร
ข้าแย้มยิ้มพราย ความหวั่นเกรงในใจพวกเขาก็ไม่ผิดนัก จากนั้นจึงกวาดตามองหน่วยสอดแนมของต้ายงเหล่านั้น กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “พวกเจ้ารู้ฐานะของข้าแล้ว ขออภัยด้วย ข้าคงไม่อาจปล่อยพวกเจ้าไปเช่นนี้”
คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าจะให้พวกเรากินยานั้นหรือ”
ข้าส่ายหน้า “ยานี้มีค่ามากกว่าทองคำเสียอีก ข้าทำใจใช้มั่วๆ ไม่ลง ชีวิตของพวกเจ้าข้าคงต้องขอรับไปแล้ว อย่างไรพวกเจ้าก็อยู่ที่หนานฉู่มานานหลายปี ข้าสังหารพวกเจ้าก็ไม่นับว่าเกินไป”
ในดวงตาของคนเหล่านั้นพลันปรากฏแววโศกเศร้า คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเป็นขุนนางสูงศักดิ์ของหนานฉู่ บนมีแค้นของบ้านเมือง ล่างมีแค้นส่วนตัว ท่านสังหารพวกเราก็ไม่เป็นไร แต่ในเมื่อท่านสงสารองค์หญิง เช่นนั้นขอให้ท่านอย่าได้ส่งมอบตัวองค์หญิงไปให้คนหนานฉู่เลย โปรดส่งองค์หญิงให้ถึงมือยงอ๋องด้วยเถิด แม้ตายพวกเราจะไม่เคียดแค้นอันใด”
ข้ามองชายฉกรรจ์ผู้นั้นแวบหนึ่ง “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว บนมิอาจฟ้องร้องต่อฟ้าดิน ล่างมิอาจฟ้องร้องต่อบิดามารดา พวกเจ้ารู้ความลับเหล่านี้แล้ว หากข้าไม่สังหารพวกเจ้า พวกเจ้าก็ไม่พ้นถูกรัชทายาทล่าสังหารอยู่ดี แต่หากพวกเจ้ายอมรักษาสัญญา ข้าจะคืนดาบให้พวกเจ้า ให้พวกเจ้าพาองค์หญิงไปส่งแก่ยงอ๋อง เพียงแต่หลังจากนี้พวกเจ้าต้องฆ่าตัวตายเพื่อรักษาความลับ”
คนผู้นั้นมีประกายยินดีปรากฏในดวงตา “ท่านยอมเชื่อพวกเราหรือ”
ข้าเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “ข้าเชื่อในคำสัญญาของนักรบกล้าแห่งต้ายง หากพวกเจ้าทำลายคำสัญญาคงทำให้ข้านึกดูแคลนยงอ๋องเท่านั้น พวกเจ้าเห็นวิธีการของข้าในวันนี้แล้ว สมควรรู้ว่าหากข้าคิดจะสังหารคนผู้หนึ่งย่อมมิใช่เรื่องยากอันใด ถึงตอนนั้นยงอ๋องก็คือราคาในการตระบัดสัตย์ของพวกเจ้า”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “วิธีการของท่านเย็นชาอำมหิตเพียงนี้ อีกทั้งยังวางแผนได้อย่างรัดกุม หากท่านคิดสังหารยงอ๋องในทางลับมีความเป็นไปได้ถึงห้าส่วนจริงๆ ย่อมได้ ชีวิตต่ำต้อยของพวกเราไม่มีอะไรสำคัญ ทำภารกิจให้สำเร็จจึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพียงแต่ท่านโปรดอนุญาตให้พวกเราบอกเรื่องเหลียงหวั่นสมรู้ร่วมคิดกับรัชทายาทแก่ยงอ๋องด้วยเถิด”
ข้ากล่าวเรียบๆ “ได้ แต่พวกเจ้าห้ามพูดเรื่องเกี่ยวกับคนเหล่านี้และภรรยาข้าเป็นอันขาด”
ชายฉกรรจ์คนนั้นรับปากอย่างไม่เต็มใจนัก ข้ายิ้มบางก่อนหมุนตัวแล้วเดินออกไป เรื่องต่อจากนั้นย่อมให้เฉินเจิ่นจัดการ เสี่ยวซุ่นจื่อเดินตามหลังข้ามา ถามขึ้นว่า “พวกเขาจะรักษาคำพูดหรือ”
ข้าพยักหน้าพูดว่า “ข้าไม่ดูคนผิดแน่ พวกเขาเป็นนักรบกล้าที่ซื่อสัตย์”