ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 44 เจี้ยนเย่พินาศ (1)
ขณะที่ข้ากำลังเค้นคำสารภาพอยู่ในห้องลับ เจี้ยนเย่ก็เตรียมการป้องกันเรียบร้อยแล้ว ซั่งเหวยจวินคอยออกคำสั่งจัดแจงเรื่องการคุ้มกันเมือง แม้ข่าวที่ว่าเจ้าแคว้นหนีไปแล้วจะถูกผู้ไม่ประสงค์ดีแพร่ออกไป ทหารราชองครักษ์ในเมืองส่วนใหญ่จึงเสียขวัญกำลังใจ แต่ซั่งเหวยจวินออกคำสั่งให้สังหาร ‘สายลับ’ ที่ปล่อยข่าวลือไปหลายร้อยคน เช่นนี้จึงฝืนสงบใจทหารไปได้บ้าง
ซั่งเหวยจวินเป็นขุนนางที่มีอำนาจมากที่สุดในราชสำนักมานาน ดังนั้นแม่ทัพกองราชองครักษ์จึงเต็มใจฟังคำสั่ง ทว่าทหารราชองครักษ์ห้าหมื่นนายคงไม่พอคุ้มกันเมือง ซั่งเหวยจวินรู้สึกลำบากใจยิ่งนัก ทำได้เพียงสั่งให้บุรุษวัยฉกรรจ์ในเมืองขึ้นมารับศึกบนกำแพงด้วย รอให้ทัพหน้าของต้ายงมาถึงเสียก่อน เจี้ยนเย่คงพอสู้ได้บ้าง
วันต่อมา ขณะตะวันเพิ่งโผล่พ้นหมู่ชายคาทางตะวันออก ท่ามกลางแสงอาทิตย์เรืองรอง ทหารแกร่งกล้าดุดันในชุดสีดำสวมทับด้วยเกราะดำขลับจำนวนมากกว่าพันนายเคลื่อนทัพมาแต่ไกล ผู้นำคือขุนพลอาภรณ์ดำนายหนึ่ง รั้งบังเหียนม้ายืนอยู่บนเนินเขา จ้องมองกำแพงเมืองเจี้ยนเย่ที่ตั้งตระหง่านแลน่าเกรงขามอยู่ไกลๆ ทหารม้าคนอื่นๆ ต่างแยกย้ายกันไป ไม่นานก็ไม่เห็นร่องรอยอีก เหลือเพียงขุนพลอาภรณ์ดำและทหารองครักษ์สิบกว่านาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงแตรแผ่วเบาดังแว่วมาจากทั่วทุกสารทิศ ขุนพลอาภรณ์ดำรับแตรที่องครักษ์ส่งมาให้ก่อนเป่าจนเสียงดังกึกก้อง ดังสะท้านปลุกความฮึกเหิม ทหารรักษาการณ์บนกำแพงเมืองรู้สึกตึงเครียดจนแทบอยากกู่ตะโกนร้องออกมา แม้เหล่านายทัพผู้คุ้มกันเมืองจะพากันตวาดตำหนิ ทว่ายังคงมีเสียงร้องด้วยความตื่นตกใจดังมาเป็นระยะ
กองทัพม้าแห่งต้ายงที่อยู่ไกลๆ มีมากประหนึ่งต้นไม้ในป่า ทว่ากลับเงียบกริบไร้สรรพเสียง ผ่านไปครู่หนึ่งมีเสียงพื้นดินสั่นสะเทือนดังแว่วมา เพียงม้าศึกหลายหมื่นตัวจรดกีบเท้ากระทบพื้นก็สร้างความสั่นสะเทือนดังกึกก้องเสียจนผู้สดับปวดไปถึงหูแล้ว
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง นักรบเกราะดำนับพันนับหมื่นปรากฏออกมาบริเวณเส้นขอบฟ้า แรกเริ่มอาจเห็นพวกเขาเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่กระจุกตัวกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน แต่ในยามที่พวกเขาเคลื่อนทัพเข้ามาจนห่างจากกำแพงเมืองเจี้ยนเย่ไปไม่กี่ลี้ จะเห็นว่าพวกเขาแปรกระบวนทัพจากการเกาะกลุ่มเล็กๆ มารวมกันเป็นแนวรบใหญ่อย่างเป็นระบบระเบียบและลื่นไหลดุจมวลเมฆแลสายธาราที่เชี่ยวกราก เมื่ออยู่ห่างจากเจี้ยนเย่หนึ่งพันก้าวก็พากันหยุดเท้า แนวรบแหวกออกเปิดทางตรงกลาง ขุนพลม้าเกราะทองนายหนึ่งควบม้าออกมาอย่างองอาจ เขาสวมเสื้อคลุมดำขนาดใหญ่ ด้านหลังมีองครักษ์ถือธงผืนใหญ่ขี่ม้าตามมา บนธงมีตัวอักษรสีแดงดุจโลหิตเขียนอยู่แถวหนึ่งว่า ‘แม่ทัพใหญ่เทียนเช่อแห่งหลี่’
ชั่วขณะที่ผืนธงคลี่ออกพลันมีเสียงแตรลากยาวดังขึ้นท่ามกลางเหล่าทหารเกราะเหล็ก กลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันแผ่พุ่งทะยานอบอวลไปทั่วท้องนภา อัดแน่นไปด้วยความน่าเกรงขาม ทำให้กองทหารรักษาเจี้ยนเย่รู้สึกหนาวยะเยือกถึงขั้วหัวใจ
ทหารกองราชองครักษ์นายหนึ่งที่รู้หนังสือหรี่ตามองธง กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “แม่ทัพใหญ่เวยหย่วนแห่งหลี่ ยงอ๋องมาแล้วจริงๆ ได้ยินว่าเขาคืออ๋องที่เก่งกาจที่สุดในต้ายง พวกเราจะปกป้องเจี้ยนเย่ไว้ได้จริงๆ หรือ”
ทหารข้างกายที่เพิ่งถูกเกณฑ์มาใหม่กล่าวอย่างกังวล “มิใช่พูดกันว่ายงอ๋องนำทัพมาเองหรือ เหตุใดจึงเป็นแม่ทัพใหญ่เวยหย่วนอันใดนั้นได้เล่า”
ทหารกองราชองครักษ์กลอกตา “เจ้าจะรู้อะไร แม่ทัพใหญ่เวยหย่วนคือตำแหน่งทางราชการของยงอ๋อง ส่วนยงอ๋องคือพระนามอิสริยยศของเขา ได้ยินว่ายงอ๋องใช้ธงสัญลักษณ์แม่ทัพใหญ่มาตลอด บางคนกล่าวว่า ยงอ๋องคิดว่าตำแหน่งแม่ทัพใหญ่คือสิ่งที่ได้มาจากการตวัดดาบวาดหอกในทุกย่างก้าว ดังนั้นจึงให้ความสำคัญมาก นอกจากนี้ยังมีธงมังกรทองอีกผืนหนึ่งด้วย จะใช้เวลาตั้งค่ายหรือรบชนะแล้วเท่านั้น”
ทหารใหม่กล่าวอย่างริษยา “พี่ชาย ท่านรู้มากจริงๆ”
ทหารกองราชองครักษ์กล่าวอย่างลำพองใจ “แน่นอน เมื่อปีนั้นข้าก็ร่วมทัพโจมตีแคว้นสู่ด้วย เคยเห็นกองทัพของยงอ๋องมาแล้ว ยามนั้นพวกเราเป็นพันธมิตรกัน”
เพียะ! เพียะ! เสียงแส้ม้ากระทบเนื้อดังต่อเนื่องสองเสียง ทหารกองราชองครักษ์นายนั้นกรีดร้องออกมาขณะหน้าคะมำลงพื้น ทุกคนหันมามอง เห็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลทัพกำลังจับจ้องมาที่ตนด้วยแววตาถมึงทึง เจ้าหน้าที่นายนั้นตวาดลั่นจนแสบแก้วหู “ถึงกับกล้าก่อกวนขวัญกำลังใจทหารเชียวหรือ หากมิใช่ว่าทัพศัตรูอยู่ตรงหน้าแล้ว ข้าจะเอาชีวิตสุนัขของเจ้าเสีย”
ทหารกองราชองครักษ์ผู้นั้นรีบลุกขึ้น “ผู้น้อยไม่กล้า ผู้น้อยไม่กล้าแล้วขอรับ”
เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่คุมทัพเดินออกไปไกล ทหารกองราชองครักษ์นายนั้นจึงค่อยกระอักเลือดออกมา ด่าผรุสวาทไปหลายครั้งก่อนจะหันไปมองด้านล่างของกำแพง
ซั่งเหวยจวินยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองไปยังทัพศัตรูด้านล่างที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญชาญชัย ในใจคิดวางแผนมากมาย แม้ศัตรูจะแกร่งกล้าห้าวหาญ แต่มีเพียงสองหมื่น หากออกจากเมืองไปปะทะศัตรูและจับตัวยงอ๋องได้ มิใช่ว่าจะคลี่คลายอันตรายได้หรือ เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็พูดกับรองแม่ทัพกองราชองครักษ์ข้างกายว่า “ศัตรูมีเพียงสองหมื่น พวกเราออกไปรบได้หรือไม่”
รองแม่ทัพตอบ “พวกเราไม่มีทหารม้า รักษากำแพงเมืองไว้ดีกว่า”
ซั่งเหวยจวินขมวดคิ้ว ขณะนี้ทัพศัตรูที่อยู่นอกกำแพงพากันโห่ร้องยั่วยุให้ออกมารบแล้ว ซั่งเหวยจวินจึงออกคำสั่งไม่อนุญาตให้ออกนอกเมืองเป็นอันขาด เพียงเตรียมท่อนไม้และก้อนหินเอาไว้ให้ดีเป็นพอ รอทัพศัตรูเข้ามาโจมตีเมือง
หลี่จื้อที่คอยจับจ้องเจี้ยนเย่อยู่ไกลๆ หัวเราะเบาๆ พูดว่า “ข้าคิดอยู่แล้วว่าพวกเขาไม่กล้าออกมาจากเมืองแน่”
ซือหม่าสยงแม่ทัพคนสนิทที่อยู่ข้างกายเอ่ยถาม “องค์ชาย พวกเรานำมาแต่ทหารม้า ควรโจมตีเมืองเช่นไรดี”
หลี่จื้อตอบยิ้มๆ “วางใจเถิด ข้าไม่คิดใช้ทหารม้าโจมตีเมืองหรอก แม้เจี้ยนเย่จะมีการป้องกันเข้มแข็งมั่นคง ทว่าน่าเสียดายที่ขวัญทหารกระเจิดกระเจิงจนสิ้น ข้าประสานกับภายในไว้แล้ว วันนี้พวกเราคอยดูอยู่ที่นี่ก็พอ จริงสิ ข้าว่าทหารที่พวกเราส่งออกไปคงได้อะไรบ้างแล้วกระมัง”
ซือหม่าสยงยิ้ม “พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายกล่าวว่าเจ้าแคว้นและขุนนางของหนานฉู่อาจหนีไปก่อนทำศึก ดังนั้นจึงจัดแจงให้แม่ทัพเฉินไปไล่ล่าสกัดกั้นก่อนแล้ว สายสืบรายงานมาว่าจ้าวเจียผู้นั้นหนีไปก่อนจริงๆ หากพวกเราจับเจ้าแคว้นของพวกเขามามัดไว้ใต้กำแพงเมือง ไม่ทราบว่าพวกเขาจะกระโดดลงมาอย่างเชื่อฟังหรือไม่”
หลี่จื้อกล่าว “จะได้ตัวเจ้าแคว้นของพวกเขาหรือไม่ กว่าครึ่งล้วนต้องพึ่งโชคชะตา ดังนั้นจะหวังพึ่งแต่พวกเขาไม่ได้ ยังต้องคิดหาวิธีชิงเมืองเป็นสำคัญ หากมิใช่ว่าซั่งเหวยจวินผู้นั้นไม่มีความรู้ทางการทหาร สายสืบของพวกเราคงประสานกับภายในไม่ได้แน่ แม่ทัพของหนานฉู่ทุกคนล้วนเชี่ยวชาญการศึก แต่กลับเลือกปักหลักอยู่ในเมืองเจี้ยนเย่อย่างหาได้ยากยิ่ง นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดนัก ไม่เหมือนทหารกองราชองครักษ์ของต้ายงที่ล้วนเป็นทหารกล้าซึ่งคัดเลือกออกมาจากทหารที่เก่งกาจที่สุด”
ซือหม่าสยงกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “แม้ทหารกองราชองครักษ์จะคัดเลือกมาอย่างดี แต่ยังด้อยกว่าทหารองครักษ์ขององค์ชายมากนัก แม้รัชทายาทจะกำจัดคนที่เราส่งเข้าไปแทรกซึมในทหารรักษาพระองค์แล้ว แต่ผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าคนที่ได้เป็นทหารองครักษ์ขององค์ชายล้วนเป็นคนที่ถูกคัดเลือกมาจากทหารกล้าเพียงหนึ่งในพัน”
หลี่จื้อแย้มยิ้มเล็กน้อยแต่มิได้โต้แย้งอีก ทหารม้าเหล็กซึ่งเป็นองครักษ์ของเขาทั้งสามพันล้วนเป็นพยัคฆ์ที่รอดชีวิตมาจากสมรภูมินับร้อย ทหารสองหมื่นนายที่เขาพามาคราวนี้ก็เป็นกองกำลังที่ขยายเพิ่มมาจากกองทัพองครักษ์ของเขา ระดับความเก่งกาจฮึกเหิมเหนือกว่ากองทหารราชองครักษ์ของต้ายงไปไกล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกองทัพหนานฉู่เลย
วันนี้หลี่จื้อสั่งให้กองกำลังอวดศักดาแสดงแสนยานุภาพอยู่ใต้กำแพงเมืองเท่านั้น ซั่งเหวยจวินไม่กล้าออกมาสู้ศึก ทหารของทัพหนานฉู่ล้วนตกอยู่ในอารมณ์ดำดิ่ง เมื่อถึงเวลาโพล้เพล้ หลี่จื้อก็สั่งให้ตั้งค่ายพักผ่อนบริเวณห่างจากเจี้ยนเย่ออกไปสิบลี้
เมื่อซั่งเหวยจวินเห็นหลี่จื้อถอยทัพจึงค่อยผ่อนลมหายใจได้เปลาะหนึ่ง ครั้นกลับมาที่จวนเขาก็คิดวางแผนไม่หยุด หากให้ซั่งเฟยพารัชทายาทไปซ่อนตัวก่อนจะดูขี้ขลาดเกินไปหรือไม่ พรุ่งนี้จะรับพวกเขากลับมาดีหรือไม่ เขากินอาหารพลางคิดด้วยความว้าวุ่นใจ
ซั่งเหวยจวินหลับคาห้องหนังสือโดยไม่ได้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ เพียงแต่หลับไม่สนิทนัก สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายหลายครั้ง สุดท้ายขณะกำลังฝัน จู่ๆ ซั่งเหวยจวินก็สะดุ้งตื่น เขาเช็ดเหงื่อเย็นที่ซึมออกมาบนหน้าผาก ไม่นานก็ได้ยินเสียงก่นด่าและเสียงโห่ร้องดังมาแต่ไกลจึงรีบลุกขึ้นนั่ง พลันนั้นประตูถูกผลักกระแทกอย่างแรง บ่าวรับใช้นายหนึ่งวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นเขาตื่นแล้วก็รีบร้องอย่างผวา “ใต้เท้า แย่แล้ว กองทหารราชองครักษ์ในเมืองก่อเรื่องแล้ว”
ซั่งเหวยจวินสะดุ้งเฮือกรีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปเปิดหน้าต่าง พบว่าด้านนอกมีเสียงโห่ร้องดังชัด บ้างตะโกนว่า “ทัพศัตรูเข้าเมืองแล้ว” บ้างตะโกนว่า “เจ้าแคว้นหนีไปแล้ว พวกเราจะถวายชีวิตไปเพื่ออะไร”
คำพูดของทุกคนสับสนไม่ชัดเจน ทว่าบางคนกำลังตะโกนด่าและบางคนตะโกนยุยงปลุกปั่น ซั่งเหวยจวินหัวใจเย็นยะเยือกดุจธารน้ำแข็ง ในตอนนี้เองเขาเห็นไฟลุกท่วมอยู่กลางเมือง โหมกระหน่ำทั่วทุกสารทิศ ซั่งเหวยจวินจับจ้องแสงจากเปลวไฟอย่างนิ่งงัน อึกอักอยู่นานไม่ทราบว่าควรพูดอะไรดี
ในตอนนี้เอง ทหารรักษาเมืองบริเวณประตูตะวันตกของเจี้ยนเย่ถูกลอบโจมตี ประตูเมืองถูกเปิดออก ทหารม้าเหล็กของกองทัพต้ายงควบทะยานฝ่าด่านเข้ามา ไม่ทันไรทั่วทุกถนนและตรอกซอกซอยของเจี้ยนเย่ก็เต็มไปด้วยทหารม้าเหล็กเกราะดำอาภรณ์ดำวิ่งทะยานอยู่ท่ามกลางแสงจากเปลวเพลิงที่ลุกท่วมฟ้า การมาถึงของพวกเขาสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงดุจดั่งมารปีศาจโกลาหล บนถนนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยเสียงคนกรีดร้องและเสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้น กองทัพหนานฉู่เริ่มไหลทะลักไปทางประตูตะวันตกคิดไล่ทัพศัตรูออกไป แต่เมื่อเผชิญกับการเข่นฆ่าสังหารอย่างโหดเหี้ยมของต้ายง ไม่นานก็ต้องพ่ายแพ้จนแตกกระเจิง ทหารทั่วท้องถนนที่เผชิญกับความพ่ายแพ้เริ่มหนีเอาชีวิตรอด ทหารบางคนถึงขั้นพุ่งเข้าไปในบ้านของชาวบ้านเพื่อสังหารปล้นชิง เจี้ยนเย่จมอยู่ในเสียงกรีดร้องของสงครามและเปลวไฟ
เมื่อฟ้าสว่าง กองทัพต้ายงที่ควบคุมเจี้ยนเย่ได้แล้วก็เริ่มจัดระเบียบในเมืองทันที ทหารหนานฉู่ทั้งหมดที่ยอมจำนนถูกเนรเทศและคุมขังไว้ในคุกที่ค่ายนอกเมือง ทหารที่ฉวยโอกาสยามสับสนอลหม่านกระทำความผิดถูกประหารชีวิตและแขวนศีรษะประจานต่อสาธารณชน ชาวบ้านทุกคนถูกสั่งให้อยู่ในบ้านปิดประตูให้แน่นห้ามออกมาเพ่นพ่าน เปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำถูกดับลงด้วยการสั่งการของกองทัพต้ายง
ต่อมากองทัพต้ายงที่ควบคุมประตูเมืองและเหตุการณ์ในเมืองได้แล้วก็เริ่มไต่สวนชาวเมือง ราชนิกุลของหนานฉู่และขุนนางขั้นสามขึ้นไปถูกจับขังคุกรอการจัดการ คนอื่นๆ ถูกสั่งให้อยู่แต่ในบ้านปิดประตูให้แน่นห้ามออกมา บนท้องถนนและตรอกซอกซอยเงียบสงัดประหนึ่งเมืองคนตาย คนที่ออกมาเดินเพ่นพ่านจะถูกจับไปไต่สวนทันที
เดิมทีซั่งเหวยจวินคิดฉวยโอกาสยามสถานการณ์วุ่นวายหนีไป แต่กลับถูกทหารของต้ายงจับตัวได้ ยามนี้จึงถูกขังอยู่ในคุก ส่วนทหารราชองครักษ์คนอื่นๆ ที่กล้าต่อต้านก็ถูกประหารจนสิ้น
ครั้นถึงยามอู่[1] หลี่จื้อก็เดินทางเข้าเมือง มองดูถนนที่เต็มไปด้วยรอยเลือด พูดพร้อมรอยยิ้มบางเบาว่า “หากมิใช่เพราะเจ้าแคว้นและขุนนางของหนานฉู่ไร้ความสามารถเกินไป จะโจมตีเจี้ยนเย่ง่ายดายเพียงนี้ที่ไหนกัน”
ซือหม่าสยงมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง ตอบว่า “องค์ชาย กระหม่อมได้รับรายงานแล้ว ในวังหลวงเหลือเพียงขันทีและนางข้าหลวงจำนวนหนึ่ง นางสนมที่ต้ายงของพวกเราส่งมายังอยู่ ทว่าเหล่าองค์ชายถูกพาตัวไปแล้ว ส่วนซั่งเฟยและรัชทายาทก็ไม่อยู่ในวังเช่นกัน เมื่อไต่สวนแล้วเป็นไปได้ว่าซั่งเหวยจวินจะลอบส่งพวกนางออกไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จื้อคิดครู่หนึ่ง “สตรีต้ายงเหล่านั้น เจ้าส่งคนไปถามพวกนางเสียหน่อยว่าอยากกลับแคว้นหรือไม่ จากนั้นให้พวกนางเตรียมตัวให้ดี หากจับตัวจ้าวเจียได้ก็ให้ปรนนิบัติจ้าวเจียต่อไป หากจับตัวไม่ได้ก็เตรียมส่งพวกนางกลับบ้าน ส่วนซั่งเหวยจวินเป็นบิดาของซั่งเฟย นับว่าสำคัญยิ่ง อย่าปล่อยให้เขาฆ่าตัวตายเป็นอันขาด ดูแลให้ดี พาเขากลับไปด้วย ส่วนขุนนางหนานฉู่คนอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องสนใจ รอให้พวกเราไปก่อนค่อยปล่อยพวกเขา”
ทั้งสองกำลังเดินอยู่บนถนนอย่างเนิบช้า ขณะนั้นมีทหารม้าคนหนึ่งควบม้าทะยานมาเบื้องหน้า กล่าวรายงานว่า “แม่ทัพเฉินให้กระหม่อมมารายงานว่าจับตัวจ้าวเจียได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จื้อกล่าวอย่างยินดี “จับได้แล้วหรือ อยู่ที่ไหน”
[1] ยามอู่ คือเวลา 11.00 – 12.59 น.