ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 46 คุมเชลยกลับแคว้น (1)
รัชศกจื้อฮวา ปีที่หนึ่ง เดือนสิบ หลี่จื้อโจมตีเจี้ยนเย่ฉับพลัน หยิบยืมพลังของสายลับทำลายเจี้ยนเย่ยามราตรี จับกุมร้อยขุนนาง วันเดียวกัน องค์หญิงฉางเล่อกลับตำหนัก องครักษ์ร่วมทางปลิดชีพฆ่าตัวตายจนสิ้น ยามฟ้ามืดหลี่จื้อเสด็จไปยังเคหาสน์ชางอวิ๋น เสนอตำแหน่งและทรัพย์สินมากมายแก่เจียงเจ๋อ เจียงเจ๋อไม่สนใจ วันต่อมาเจ้าแคว้นถูกจับเป็นเชลย หลี่จื้อใช้คำสั่งทหารปล้นสะดมเจี้ยนเย่ หลายวันต่อมาทัพหลวงของฉินอ๋องใกล้ถึงเจี้ยนเย่ หลี่จื้อถอยทัพกลับ นำเหล่าราชนิกุลของหนานฉู่และขุนนางทั้งบุ๋นบู๊กลับไปเป็นเชลย เจียงเจ๋อก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ต่อมาเจียงเจ๋อจึงเข้ารับราชการ
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
เมื่อจัดหาที่พักให้องค์หญิงฉางเล่อเรียบร้อยแล้ว หลี่จื้อก็ไปยังเคหาสน์ชางอวิ๋นที่อยู่ชานเมืองเจี้ยนเย่พร้อมความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มท้อง คราวนี้เขาเคลื่อนทัพอย่างเร่งร้อนจึงมิได้พานักยุทธศาสตร์มาด้วยแม้เพียงคนเดียว ความทุกข์ตรมที่ไม่มีผู้ใดให้หารือทำให้เขายิ่งรีบร้อนไปพบคนที่เป็นเป้าหมายของตน
เมื่อมาถึงเคหาสน์ชางอวิ๋น หลี่จื้อก็อารมณ์เย็นลงแล้ว เขาขบคิดอย่างหนักว่าจะทำเช่นไรเจียงเจ๋อจึงจะยอมมาอยู่ใต้บัญชา ตลอดทางเขาคิดแต่ปัญหานี้ เพียงแต่คิดไปคิดมา ไม่ว่าจะวิธีใดก็ไม่มีความมั่นใจแม้เพียงนิด เจียงเจ๋อผู้นี้เป็นคนที่หาโอกาสเข้าพบได้ยากยิ่ง สุดท้ายหลี่จื้อจึงตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องพาเจียงเจ๋อกลับไปด้วย มิเช่นนั้นตนคงมาเจี้ยนเย่เสียเปล่าแล้ว
เมื่อสงบลงแล้วหลี่จื้อก็เดินเข้าไปที่เคหาสน์ชางอวิ๋น จากคำสั่งของเขา กองทัพต้ายงจึงไม่ได้รบกวนเจ้าของเคหาสน์ชางอวิ๋น ทำเพียงควบคุมทุกคนในเคหาสน์เท่านั้น หลี่จื้อเดินไปยังอุทยานหว่านเซียงที่เรือนหลังโดยมีซือหม่าสยงนำทาง นั่นเป็นสถานที่ที่เจียงเจ๋อมักใช้เวลาอ้อยอิ่งอยู่ทุกวัน
หลี่จื้อเห็นนักรบของกองทัพต้ายงอยู่ในสวนทุกที่จึงมองไปยังซือหม่าสยงด้วยความกังวล ถามว่า “ท่านเจียงไม่ได้ไม่พอใจใช่หรือไม่”
ซือหม่าสยงกระซิบตอบ “ท่านเจียงทำราวไม่เห็นพวกเราพ่ะย่ะค่ะ ในเคหาสน์มีบ่าวไพร่น้อยมาก นอกจากหลี่ซุ่นก็มีบ่าวรับใช้อีกสี่คน แต่ชื่อแปลกประหลาดยิ่งนัก ชื่อจี้ เต้าหลี หวาหลิว ลวี่เอ่อร์อันใดนั่น บ่าวเหล่านี้เชื่อฟังมาก ไม่ได้ก่อความวุ่นวายอะไร แต่หลี่ซุ่นผู้นั้นกระหม่อมรู้สึกพิกลนัก เขาเป็นขันทีในวังพ่ะย่ะค่ะ”
ฝีเท้าของหลี่จื้อชะงักไปเล็กน้อย “ชื่อจี้อะไรพวกนั้นเป็นชื่อยอดอาชาทั้งแปดของมู่อ๋อง ดูแล้วท่านเจียงเป็นผู้มากความสามารถด้านวรรณกรรมจริงๆ ส่วนหลี่ซุ่นผู้นั้นข้ารู้เรื่องเขาคร่าวๆ แล้ว สายลับในกองทัพหนานฉู่ของพวกเราเคยบอกว่าขันทีที่เป็นผู้ใต้บัญชาผู้ตรวจตราทัพคนหนึ่งมีความสัมพันธ์สนิทสนมใกล้ชิดกับเจียงเจ๋อมาก เดิมทีข้าคิดว่าเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวแบบสหาย แต่ตอนนี้ดูแล้ว คนผู้นี้คงไปมาหาสู่กับท่านเจียงบ่อยๆ กระมัง แต่ก็ช่างเถิด ขันทีเพียงคนเดียว พวกเราไม่จำเป็นต้องทำให้เขาลำบากใจ จะได้ไม่ล่วงเกินท่านเจียง”
ซือหม่าสยงกระซิบ “หลี่ซุ่นผู้นั้น กระหม่อมรู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดา ยามพบเขา กระหม่อมรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ”
หลี่จื้อมองเขาแวบหนึ่ง กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “อืม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ใส่ใจให้มากหน่อยเป็นพอ”
ขณะสนทนาทั้งสองก็เดินไปถึงอุทยานหว่านเซียงแล้ว พบว่าชื่อจี้และเต้าหลีนั่งอยู่บนระเบียงทางเดินหน้าประตูกำลังสนทนายิ้มแย้มกันเสียงเบา เมื่อเห็นหลี่จื้อเดินเข้ามา ทั้งสองก็รีบลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะ
หลี่จื้อถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านเจียงอยู่ด้านในหรือไม่”
ชื่อจี้ตอบด้วยท่าทีนอบน้อม “วันนี้คุณชายรู้สึกไม่สบาย เมื่อครู่รับประทานอาหารเย็นเสร็จก็ไปพักผ่อนแล้วขอรับ”
ซือหม่าสยงได้ยินดังนั้นโทสะพลันพุ่งทะยานถึงสมอง กดเสียงกล่าวว่า “องค์ชาย กระหม่อมบอกเขาแล้วว่าคืนนี้องค์ชายจะมาเยี่ยมเยียน คนผู้นี้ช่างไร้มารยาทเสียจริง”
หลี่จื้อโบกมือหยุดไม่ให้เขาพูดต่อ ส่วนตนกล่าวไปยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ท่านเจียงพักผ่อนแล้ว เหตุใดสุขภาพท่านเจียงจึงย่ำแย่มาตลอดเล่า”
ชื่อจี้ตอบ “ตั้งแต่กลับมาจากสู่จง คุณชายก็ป่วยติดเตียงมาตลอด เดิมทีหลายวันก่อนคุณชายดีขึ้นแล้ว ทว่าเต๋อชินอ๋องสวรรคตค ฎีกาของคุณชายก็ถูกประณามหยามเหยียด ดังนั้นโรคเก่าของคุณชายจึงกำเริบขึ้นอีกครั้ง หากองค์ชายมีสิ่งใดจะรับสั่ง กระหม่อมจะเรียกผู้ดูแลหลี่เข้ามา ให้องค์ชายฝากธุระไว้”
ซือหม่าสยงสะบัดมือจับกระบี่ ถลึงตาจ้องชื่อจี้ด้วยความโกรธเกรี้ยว ชื่อจี้กลับทำเพียงคารวะอย่างนอบน้อมรู้ความ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
หลี่จื้อคิดครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ก็ดี เช่นนั้นให้ข้าพบผู้ดูแลหลี่เถิด”
กล่าวจบหลี่จื้อก็เดินไปนั่งลงในศาลาเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล ทอดมองสวนที่เต็มไปด้วยต้นไผ่เขียวขจีดูสบายอารมณ์ยิ่ง เต้าหลีและชื่อจี้ยกชามาต้อนรับได้อย่างประจวบเหมาะและครบครัน ไม่นานเสี่ยวซุ่นจื่อในอาภรณ์สีเขียวก็เดินมา คารวะอย่างนอบน้อมเช่นผู้น้อยเข้าพบองค์ชาย “บ่าวหลี่ซุ่นถวายพระพรองค์ชาย นายท่านไม่สบายจึงเสียมารยาทไปบ้าง มิอาจออกมาต้อนรับได้ องค์ชายโปรดประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จื้อเงยหน้ามองไป พบว่าหลี่ซุ่นพผู้นี้มีบุคลิกหน้าตาไม่ธรรมดาดังคาด ยามอยู่ต้ายงหลี่จื้อพบเห็นขันทีในราชสำนักมาไม่น้อย แต่ไม่ว่าพวกเขาจะมีตำแหน่งสูงหรือต่ำ ไม่ว่าพวกเขาจะโอหังหรือถ่อมตน ล้วนมีลักษณะเด่นเหมือนกัน นั่นก็คือความรู้สึกต่ำต้อยที่แฝงอยู่ในดวงตา ทว่าแววตาของหลี่ซุ่นผู้นี้กลับมีเพียงกลิ่นอายสุขุมและเย็นยะเยือก แม้กิริยาของเขาจะแสดงความถ่อมตน แต่หลี่จื้อสัมผัสได้ถึงความหยิ่งผยองของเขา เป็นความหยิ่งผยองดุจชนชั้นควบคุมความเป็นความตายผู้อื่น
หลี่จื้อจำได้ชัดเจน เขาเคยเห็นแววตาเช่นนี้มาก่อนแล้ว เป็นตอนที่เขาพบเจ้าสำนักเฟิงอี้ครั้งแรก เมื่อปีนั้นเขาติดตามเสด็จพ่อไปทำศึกทั้งเหนือใต้ มีอยู่ครั้งหนึ่งในระหว่างเดินทัพ เจ้าสำนักเฟิงอี้ก็พลิ้วกายมาเยือน สนทนากับหลี่หยวนข้ามวัน คุยกันถูกคอยิ่ง จากนั้นไม่นานต้ายงก็ได้รับการสนับสนุนจากสำนักยุทธ์ฝ่ายธรรมะ และข้างกายเสด็จพ่อก็มีจี้กุ้ยเฟยเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง
หลี่จื้อจำดวงตาของเจ้าสำนักเฟิงอี้ได้มิลืมเลือน นั่นเป็นแววตาที่อ่อนโยนมากเมตตา แฝงด้วยความสงสารเห็นใจผู้คน หลี่จื้อจำได้ว่าตอนที่เขานำทัพเข้าโจมตีเฒ่าหยาง หลังคนผู้นั้นช่วยตนลงมือสังหารแม่ทัพข้างกายเฒ่าหยางไปแล้ว เจ้าสำนักเฟิงอี้พลันมีกลิ่นอายราวกับต้องการประกาศว่าตัวข้าเป็นผู้ล้ำเลิศหนึ่งเดียวในใต้หล้าพุ่งทะยานออกมาเทียมฟ้า ในชั่วขณะนั้น หลี่จื้อก็เกิดใจระแวงเจ้าสำนักเฟิงอี้ผู้นี้แล้ว เมื่อเห็นบุคลิกของหลี่ซุ่น หลี่จื้อก็เข้าใจทันที คนผู้นี้จะต้องเป็นยอดฝีมือโดดเด่นไร้ที่เปรียบเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น คาดว่าต้องเป็นบุคคลที่ต่อกรกับเจ้าสำนักเฟิงอี้ได้ด้วย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลี่จื้อก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ข้าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับผู้ดูแลหลี่มาบ้างแล้ว หากเดาไม่ผิด ผู้ดูแลหลี่ก็เคยร่วมสงครามที่สู่จงด้วยกระมัง”
หลี่ซุ่นมองหลี่จื้อด้วยสายตาแปลกใจ “องค์ชายถึงกับรู้เรื่องผู้ต่ำต้อยเช่นบ่าวเชียวหรือ บ่าวรู้จักกับคุณชายมานานปี ได้รับความกรุณาจากคุณชายมากมาย ทั้งยังคอยดูแลบ่าวอยู่เสมอ วันนี้เจี้ยนเย่อลหม่านจึงละทิ้งเกียรติยศจอมปลอมมาดูแลเรื่องกินอยู่และชีวิตประจำวันข้างกายคุณชายเสียเลย หากองค์ชายคิดลงโทษคนที่เคยทำงานอยู่ในวังหลวงเช่นบ่าว บ่าวย่อมมิกล้าต่อต้าน”
หลี่จื้อโบกมือยิ้มๆ “สองแคว้นทำศึก เกี่ยวข้องอันใดกับผู้มีชีวิตลำบากลำบนเช่นพวกเจ้าเล่า ยิ่งไปกว่านั้นผู้ดูแลหลี่อยู่ข้างกายท่านเจียง วันหน้าข้ายังต้องพูดจาดีๆ กับผู้ดูแลหลี่อีกหลายประโยค ดูแล้วท่านเจียงคงขุ่นเคืองมากกระมัง”
ในดวงตาหลี่ซุ่นคล้ายมีประกายความรู้สึกดีปรากฏ “แม้คุณชายจะถูกสถานการณ์บีบบังคับให้เป็นขุนนาง แต่จะอย่างไรก็ทำงานให้หนานฉู่มานานปี วันนี้เห็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา หากคุณชายยินดีปรีดา ไปที่ใดคงมิอาจเงยหน้าสู้ผู้คน ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้องค์ชายทำศึกด้วยแผนการเป้าประสงค์ไม่ชัดเจน คุณชายของกระหม่อมขบคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ หากองค์ชายยอมบอกผู้ต่ำต้อยเสียหน่อย ผู้ต่ำต้อยจะนำไปบอกต่อคุณชาย บางทีคุณชายอาจยิ้มได้บ้าง”
หลี่จื้อใจสั่น หรือเจียงเจ๋อจะคิดขับไล่ตนแล้ว จึงรีบพูดอย่างกังวลว่า “การโจมตีเจี้ยนเย่ในคราวนี้ หากดูจากมุมมองท่านเจียงอาจคิดว่าข้าเลอะเลือน แต่ความจริงข้าตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายยิ่ง ราวกับเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ทุกวัน หากไม่ได้ท่านเจียงมาเป็นผู้ช่วย เกรงว่าข้าหลี่จื้อคงรักษาชีวิตได้ไม่นานแล้ว ผู้ดูแลหลี่ โปรดนำความจริงใจและเจตนาของหลี่จื้อไปบอกต่อท่านเจียงด้วยเถิด คราวนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องเชิญท่านเจียงกลับไปต้ายงกับข้าให้ได้ หากท่านเจียงไม่ยอม เกรงว่าหลี่จื้อคงไร้วาสนา มิอาจฟังคำสอนคำชี้แนะจากท่านเจียงได้อีก”
หลี่ซุ่นกล่าวตามมารยาท “องค์ชายให้ความสำคัญกับคุณชายเช่นนี้ บ่าวขอขอบพระทัยองค์ชายแทนคุณชายด้วย ทว่าทูลถามองค์ชาย คุณชายข้าโปรดปรานเพียงความงามของภูเขาและสายน้ำ ในเมื่อไร้ใจจะช่วยเหลือใต้หล้าและปวงประชา ทั้งยังไม่มีความคิดประกอบอาชีพแสวงหาความสำเร็จ ไม่ทราบว่าองค์ชายจะอาศัยสิ่งใดมาซื้อความเพียรพยายามของคุณชาย นอกจากนี้ เกรงว่าคุณชายคงเป็นดั่งคันศรหลังศึก ใช้งานเสร็จก็ถูกถีบหัวส่ง เป็นดั่งสุนัขล่ากระต่ายที่ทำงานสำเร็จก็ถูกสังหาร”
หลี่จื้อผุดลุกขึ้นโดยพลัน กล่าวอย่างจริงใจว่า “ข้ามิกล้ากล่าวว่านายบ่าวจะปรองดองกันได้แน่นอน ทว่าหลี่จื้อมิใช่คนริษยาอัจฉริยะ ทั้งมิเหมือนเยว่อ๋องที่รู้จักเพียงร่วมทุกข์มิร่วมสุข ข้ารู้ว่าท่านเจียงไม่ชอบทรัพย์สินเกียรติยศและไม่ชอบประกอบอาชีพแสวงหาความสำเร็จ แต่หากใต้หล้าวุ่นวาย เกรงว่าท่านเจียงคงไม่อาจมีชีวิตสงบสุขเช่นกัน ยามนี้ต้ายงของข้าวุ่นวายภายใน หนานฉู่ก็เป็นดั่งมังกรไร้หัว เกรงว่าคงจะเข้าสู่ความโกลาหลในอีกไม่ช้า แม้เป่ยฮั่นจะนับว่ามั่นคง แต่ที่นั่นเคารพนักสู้ไม่เคารพบัณฑิต ส่วนคนสู่จง หากได้ยินชื่อท่านเจียงเกรงว่าจะมีใจแก้แค้นมากกว่าเจตนาเคารพเลื่อมใส มิใช่ว่าข้าต้องการข่มขู่ แต่หากต้ายงของเราไม่อาจรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง เกรงว่าจะสั่นคลอนไปทั่วแดนดิน ไม่มีที่ใดสงบสุขอีกต่อไป หากท่านเจียงยอมช่วยเป็นแขนขา ยอมเป็นกำลังให้ข้า ข้ารับประกันว่าในอนาคตท่านเจียงจะได้ทำงานในต้ายงอย่างสงบสุข ข้าหลี่จื้อยินดีร่วมแบ่งปันเกียรติยศไปกับท่านเจียง”