ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 47 คุมเชลยกลับแคว้น (2)
หลี่ซุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “น้ำใจจริงแท้ขององค์ชาย บ่าวจะนำไปรายงานคุณชายโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว”
กล่าวจบหลี่ซุ่นก็โค้งตัวคารวะแล้วถอยออกไป หลี่จื้อนั่งลงในศาลาอีกครั้ง ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวัง เมื่อดูจากคำพูดของหลี่ซุ่น หลี่จื้อคิดว่าเจียงเจ๋อมิได้ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่มีความกังวลมากมายเท่านั้น
ผ่านไปครู่หนึ่งหลี่ซุ่นก็กลับมา “คุณชายให้บ่าวนำคำพูดมาบอกต่อองค์ชายว่า เรื่องถวายงานรับใช้เกี่ยวข้องกับเกียรติยศและความอัปยศชั่วชีวิตของคุณชาย มิอาจตัดสินตามแต่ใจ ตอนนี้องค์ชายยุ่งเรื่องกิจทหาร เชิญองค์ชายกลับค่ายไปโดยเร็วเถิด คุณชายกล่าวว่า องค์ชายจับอัครมหาเสนาบดีซั่งเหวยจวินเป็นเชลยแล้ว ท่านอัครมหาเสนาบดีเป็นบิดาของซั่งเฟย มิอาจปฏิบัติอย่างเย็นชาเป็นอันขาด ตอนนี้รัชทายาทกับซั่งเฟยยังอยู่ระหว่างหลบหนี หากวันหน้าองค์ชายอยากปกครองหนานฉู่ให้ง่ายเสียหน่อย อย่าตามล่าจนเกินไปนักย่อมเป็นการดี ตอนนี้เจ้าแคว้นหลบหนี หากองค์ชายจับพวกเขาได้แล้ว นั่นจึงจะเป็นเรื่องดีที่สุด”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หลี่ซุ่นก็มองไปยังหลี่จื้อครู่หนึ่ง หลี่จื้อจึงพยักหน้า “พรุ่งนี้จ้าวเจียจะถูกส่งตัวมาที่เจี้ยนเย่แล้ว”
หลี่ซุ่นจึงกล่าวต่อไป “เจ้าแคว้นปัญญาสามัญ โง่เขลาเชื่อคำลวง ยามนี้ถูกคุมขัง บ้านเมืองไม่สงบ แผ่นดินวุ่นวาย หากปล่อยไว้ที่หนานฉู่ย่อมไม่มีประโยชน์อันใด แต่หากพากลับไปที่ต้ายงคงมีชีวิตได้เพียงไม่กี่ปี ยากจะมีชีวิตรอด กลัวก็แต่ว่าขุนนางและราษฎรหนานฉู่จะเคียดแค้นชิงชังต้ายงอย่างล้ำลึกเพราะเหตุนี้ ในอดีตกาล ฉู่ไหวอ๋องเสด็จไปเป็นแขกที่แคว้นฉินแต่กลับต้องดับดิ้น ประชาชนฉู่เคียดแค้นล้ำลึก ก่อให้เกิดคำพูดที่ว่า ‘แม้ฉู่มีเพียงสามครัวเรือน ฉินก็ต้องถูกฉู่เข่นฆ่า’ และต่อมา ฉินก็ล่มสลายด้วยชาวฉู่จริงๆ”
หลี่จื้อกล่าวอย่างลังเล “แต่ข้าเคลื่อนทัพมาโจมตีเจี้ยนเย่คราวนี้ หากมิอาจนำตัวจ้าวเจียและเหล่าขุนนางกลับไปเป็นเชลย จะทูลต่อเสด็จพ่อเช่นไร”
หลี่ซุ่นกล่าวเฉยเมย “คุณชายเองก็ทราบว่าองค์ชายลำบากใจ ดังนั้นจึงกล่าวไว้ว่า หากไร้ซึ่งหนทางจำเป็นต้องพาเจ้าแคว้นกลับต้ายงให้ได้ อย่าทำร้ายหรือปล่อยให้เขาบาดเจ็บเป็นอันขาด สมควรรีบถอนทัพพักรบทันที รีบเข้าเจรจากับหนานฉู่ให้เจ้าแคว้นพระองค์ใหม่แบ่งดินแดนยอมจำนนอย่างจริงใจ นำแผ่นดินส่วนหนึ่งมาไถ่ถอนตัวเจ้าแคว้นและขุนนางที่ถูกจับเป็นเชลย ทำเช่นนี้ ประการแรกจะลดทอนกำลังของหนานฉู่ได้ ประการที่สองจะเลี่ยงมิให้ชาวหนานฉู่มีความแค้นฝังลึกต่อต้ายง”
หลี่จื้อใคร่ครวญอยู่นานจึงค่อยพูดว่า “ขอบคุณคำแนะนำของท่านเจียงมาก ไม่ว่าท่านเจียงจะยอมทำงานให้หลี่จื้อหรือไม่ หลี่จื้อก็จะซาบซึ้งใจมิแปรเปลี่ยน”
เมื่อเห็นแผ่นหลังของหลี่จื้อจากไป หลี่ซุ่นพลันเผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า ข้าจงใจให้เขาไปรับรองยงอ๋องแทนข้า ให้เขาใช้สายตาของตนเองประเมินว่าหลี่จื้อควรค่าพอให้ติดตามหรือไม่ คำตอบของเขาคือ ควรค่าแล้ว
ข้าฟังเสี่ยวซุ่นจื่อกลับมารายงานอย่างละเอียด วางม้วนตำราในมือลง กล่าวเสียงราบเรียบว่า “ดูท่าทางหลี่จื้อต้องการตัวข้าเสียให้ได้จริงๆ”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยถาม “คุณชาย ท่านเห็นว่าอย่างไร”
ข้าตอบนิ่งๆ “มีประโยคหนึ่งของยงอ๋องที่ทำให้ข้าใจสั่นจริงๆ หากใต้หล้าวุ่นวาย ข้าจะไปใช้ชีวิตสงบสุขได้ที่ไหนกัน”
เสี่ยวซุ่นจื่อพูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรัชทายาทหลี่อันด้วย หากคนผู้นั้นคือหลี่อันจริงๆ และคุณชายอยากแก้แค้นก็จำต้องเป็นกำลังให้ยงอ๋องอย่างเลี่ยงไม่ได้”
ข้าทอดถอนใจ “ใช่แล้ว การสังหารหลี่อันมิได้ลำบากยากเย็นปานนั้น เพียงแต่ภายหลังคงยุ่งยากไม่น้อย แล้วข้าก็ไม่อยากติดตามหลี่จื้อไปง่ายๆ ด้วย ตอนแรกข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อเต๋อชินอ๋อง แต่หรงเยวียนกลับทำให้ข้ายอมแพ้ หลี่จื้อเป็นราชนิกุลเปี่ยมความสามารถ ข้าอยากรู้เสียจริงว่าข้างกายเขาจะมีขุนนางมากปัญญาอยู่หรือไม่ เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าจะยังไม่รับปากว่าจะทำงานให้เขา ปล่อยให้ยืดเยื้อไปชั่วคราว ข้าคิดว่าพวกเราก็ทำตัวเป็นเชลย ไปที่ต้ายงเลยแล้วกัน”
เสี่ยวซุ่นจื่อหน้าเจื่อน “ทำเช่นนี้จะอัปยศเกินไปแล้ว คุณชายถึงกับจะเป็นเชลยเชียวหรือ ห้องรับแขกดีๆ ไม่นั่งกลับจะไปนั่งในคุก”
ข้ายิ้มพราย “กลัวก็แต่ว่า หากวันนี้นั่งที่ห้องรับแขก อนาคตกระทั่งห้องนักโทษก็ยังนั่งไม่ได้น่ะสิ”
วันต่อมา จ้าวเจียถูกทหารต้ายงพาตัวกลับเจี้ยนเย่ เมื่อได้พบยงอ๋อง จ้าวเจียก็รีบขอร้องอ้อนวอน “ข้าไม่เคยมีใจคิดทรยศต้ายง องค์ชาย โปรดเห็นแก่หน้าพระมเหสี ปล่อยข้าไปเถิด”
หลี่จื้อกลับใช้คำพูดประนีประนอมเกลี้ยกล่อม กล่าวว่าเสด็จพ่อคิดถึงธิดาและเขยยิ่งนัก ต้องการรับตัวพวกเขาไปอยู่พร้อมหน้าที่ต้ายงเสียหน่อย จ้าวเจียขอร้องอ้อนวอนอย่างทุกข์ตรม สุดท้ายจึงทำได้เพียงหลั่งน้ำตายอมรับ ทั้งยังขอพบพระมเหสีซึ่งก็คือองค์หญิงฉางเล่อ แต่กลับถูกหลี่จื้อกล่าวปฏิเสธไปว่าองค์หญิงฉางเล่อได้รับความสะเทือนใจจึงมิอาจพบตอนนี้
ผ่านไปอีกหลายวัน หลี่จื้อปล้นสะดมเจี้ยนเย่ทุกหย่อมหญ้ารอบหนึ่งแล้วพาตัวเจ้าแคว้น ราชนิกุล นางสนม และขุนนางนับร้อยออกไปจากเจี้ยนเย่ วันนั้นในหมู่ราษฎรหนานฉู่ดังกึกก้องไปด้วยเสียงร้องไห้ระงม ชาวบ้านที่มาส่งต่างพากันหลั่งน้ำตาปลอบใจกันเอง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าทหารม้าเหล็กแห่งกองทัพต้ายงก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนน้ำตากลับลงไป
หลี่จื้อนั่งบนหลังม้า กวาดตามองสายตาเย็นชาจากทั้งสองฝั่งทาง กล่าวด้วยรอยยิ้มฝาดเฝื่อน “ดูแล้วชาวหนานฉู่ยังไม่ได้เสียขวัญกำลังใจไปทั้งหมด”
ซือหม่าสยงที่ติดตามอยู่ด้านข้างกล่าวว่า “ใช่แล้ว แต่พวกเขาไม่มีความกล้าที่จะต่อต้าน มิเช่นนั้นพวกเรามีคนเพียงสองหมื่น พวกเขาหนึ่งคนถือหนึ่งดาบ พวกเราก็จบสิ้นแล้ว”
หลี่จื้อกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ชาวหนานฉู่อ่อนแอ แต่อย่าดูถูกพลังของพวกเขาเป็นอันขาด หากพวกเราบีบบังคับพวกเขาอย่างโหดร้ายเกินไป เกรงว่าพวกเขาคงเพียรสร้างความลำบากให้พวกเราสุดชีวิต พวกเขาเชี่ยวชาญกลยุทธ์ ถึงตอนนั้นคงกลายเป็นอุปสรรคของพวกเราไปทุกที่”
ซือหม่าสยงได้ยินคำว่า ‘ชาวหนานฉู่อ่อนแอ’ ก็อดแค่นเสียงเย็นออกมาไม่ได้ “ชาวหนานฉู่มีจิตใจลึกล้ำจริงๆ องค์ชายปฏิบัติต่อจ้วงหยวนเจียงเจ๋ออย่างมากมารยาทปานนั้น แต่เขากลับไม่ยอมจำนนจนกระทั่งวันนี้ ตอนนี้องค์ชายจะพาเขากลับไปในฐานะเชลย ดูสิว่าเขาจะวางมาดอันใดอีกหรือไม่”
หลี่จื้อส่งเสียงหัวเราะอย่างฝาดเฝื่อน เขาเองก็คิดไม่ถึงจริงๆ หลังจากวันนั้น เขาไปเยี่ยมคารวะเจียงเจ๋ออีกหลายครั้ง แต่เจียงเจ๋อยังใช้ข้ออ้างเรื่องอาการป่วยมาบอกปัด เพียงพบกันอย่างเร่งร้อนแล้วกล่าวอำลา จะอย่างไรก็ไม่ยอมสนทนากับตนอย่างลึกซึ้ง ตนจึงไปหยั่งเชิงเจตนาของเจียงเจ๋อผ่านทางหลี่ซุ่นหลายครั้งหลายครา ทว่าหลี่ซุ่นเพียงพูดจาคลุมเครือ กล่าวว่าเจียงเจ๋อไม่ยินดีเป็นขุนนางที่ต้ายง สุดท้ายด้วยสิ้นไร้หนทาง หลี่จื้อจึงทำได้เพียงฝืนใส่ชื่อเจียงเจ๋อลงในบัญชีรายชื่อของเชลยแล้วพากลับต้ายงไปด้วย
เขาไปคารวะขออภัยเจียงเจ๋อด้วยตนเองแล้ว แต่เจียงเจ๋อกลับทำเพียงยิ้มบางๆ คล้ายมิได้โกรธเกรี้ยวนัก เมื่อถึงเวลาเดินทาง เจียงเจ๋อพาหลี่ซุ่นไปด้วยเพียงผู้เดียว ส่วนเด็กรับใช้คนอื่นเขาก็มอบเงินชดเชยและให้แยกย้ายกันไปแล้ว เมื่อมาถึงค่ายเชลย เขาก็ดูคุ้นเคยกับขุนนางมากหน้าหลายตา แม้มิตรภาพมิได้ลึกซึ้ง แต่นับว่าคุยกันได้ และยังคงทำตัวอย่างเรื่อยเฉื่อยสบายอุรา กลับทำให้ขุนนางไม่น้อยที่กังวลเคร่งเครียดอารมณ์ดีขึ้นมาก
หลี่จื้อกังวลเรื่องที่ตนล่วงเกินเจียงเจ๋อยิ่งนัก หลายวันนี้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่กองทัพฉินอ๋องของหนานฉู่กำลังเคลื่อนทัพมาจากทุกสารทิศ เข้าโจมตีเจี้ยนเย่สุดชีวิต กองทัพต้ายงสกัดกั้นไม่ไหวเขาจึงต้องรีบออกไปจากเจี้ยนเย่
องค์หญิงฉางเล่อก็ติดตามกองทัพกลับทางเหนือเช่นเดียวกัน แม้จะได้รับความตกใจ แต่เมื่อองค์หญิงฉางเล่อคิดถึงเรื่องกลับต้ายงก็เบิกบานใจขึ้นมาก นางเหินห่างจากต้ายงไปนาน หลี่จื้อรู้สึกว่าองค์หญิงฉางเล่อคล้ายมีคำจะกล่าวแต่กลับไม่ยอมกล่าวออกมา จิตใจคล้ายเหม่อลอยอยู่บ้าง หลี่จื้อลองถามดูหลายครั้งแล้ว แต่กลับถูกองค์หญิงฉางเล่อตอบอย่างขอไปที หลี่จื้อเห็นองค์หญิงฉางเล่อมิได้สนใจจ้าวเจีย จึงมิได้เป็นห่วงเกินไป อย่างไรเสียเมื่อกลับไปแล้วย่อมมีจ่างซุนกุ้ยเฟยคอยปลอบโยน
ส่วนเหลียงหวั่นที่สติเลอะเลือนก็เป็นดั่งเด็กน้อยผู้หนึ่ง แต่ละวันหากไม่ร้องไห้ก็หัวเราะเล่นสนุก ในกองทัพหลี่จื้อไม่มียอดฝีมือของสำนักเฟิงอี้จึงทำได้เพียงให้คนคอยจับตาดูนางอย่างใกล้ชิด และส่งนางข้าหลวงส่วนหนึ่งไปดูแล
หลี่จื้อคิดถึงเรื่องที่ตนประสบพบเจอเหล่านี้ ช่างขมขื่นยากบรรยายจริงๆ ยกทัพมาโจมตีเจี้ยนเย่เที่ยวนี้นับเป็นการเดินหมากผิดตาหรือไม่ ผลประโยชน์เบื้องหน้าเหล่านี้ อนาคตอาจเปลี่ยนเป็นยาพิษไร้ทางแก้ที่ตนกล้ำกลืนลงไปด้วยตนเองก็เป็นได้
ท่ามกลางฝูงชนข้างทางที่มาดูกองทัพต้ายงออกไปจากเจี้ยนเย่ เฉินเจิ่นและหานอู๋จี้มองทหารม้าเหล็กแห่งต้ายงด้วยสายตาเย็นชา หานอู๋จี้กระซิบว่า “ความจริงหากจะช่วยคุณชายออกมาย่อมไม่ใช่เรื่องยากอันใด แต่คุณชายกลับไม่ยอม”
เฉินเจิ่นกล่าวราบเรียบ “เจ้าไม่รู้กระมัง คุณชายกับยงอ๋องติดต่อกันมาตลอด แม้ส่วนใหญ่จะทำเพื่อหนานฉู่ แต่ข้าว่าคุณชายยังให้ความสำคัญกับยงอ๋องอยู่บ้าง คราวนี้ยงอ๋องมาขอร้องหลายครั้ง ข่าวจากชื่อจี้บอกว่า คราวนี้เขามาเพื่อแสดงความจริงใจให้คุณชายเห็น คุณชายจะไม่ซาบซึ้งที่เขาให้ความสำคัญได้อย่างไร เพียงแต่คุณชายยังจดจำเต๋อชินอ๋องได้ดี ทั้งยังมีใจคิดถึงหนานฉู่อยู่หลายส่วน จึงยอมติดตามกองทัพไปในฐานะเชลย”
หานอู๋จี้เอ่ยเย็นชา “คุณชายจะใจอ่อนเกินไปแล้วจริงๆ ตอนนั้นคุณชายทุ่มเทจิตใจเพื่อหนานฉู่ หากไม่มีคุณชาย แคว้นสู่ของพวกเราคงไม่พ่ายแพ้ง่ายดายปานนั้น เต๋อชินอ๋องผู้นี้กลับมิให้ความสำคัญต่อคุณชายอย่างหมดใจ แต่คุณชายก็ยังไม่ยอมแพ้ วันนั้นยังไปช่วยเต๋อชินอ๋องถึงเซียงหยางด้วยตัวเอง น่าเสียดายที่เจ้าแคว้นแห่งหนานฉู่เบาปัญญาไร้ความสามารถ ถึงกับบีบบังคับเต๋อชินอ๋องจนตาย ทำให้คุณชายทั้งเสียใจและผิดหวัง”
เฉินเจิ่นทอดถอนใจ “ใช่แล้ว ตั้งแต่กลับมาจากเซียงหยาง คล้ายว่าอาการเก่าของคุณชายจะกำเริบหลายครั้ง ดีที่ท่านหลี่ไปปลอบใจหลายร้อยครั้ง คุณชายจึงไม่เสียใจอีก”
หานอู๋จี้กล่าวอย่างฝาดเฝื่อน “คุณชายอยู่ที่หนานฉู่ก็ทุกข์ใจเช่นเดียวกับตอนที่พวกเราอยู่แคว้นสู่ แม้ปกติเจ้าจะกล่าวว่าตนเองเย็นชาไร้ใจ แต่ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่มีใจผูกพันกับแคว้นสู่แม้แต่น้อย”
เฉินเจิ่นเงียบไปพักใหญ่จึงค่อยกล่าวขึ้นว่า “แคว้นสู่ปฏิบัติต่อข้าอย่างโหดเหี้ยมไร้น้ำใจ ทว่าเมื่อข้าคิดถึงยังมีความคะนึงหาอยู่บ้าง ส่วนหนานฉู่ นับว่าปฏิบัติต่อคุณชายไม่เลว ไม่น่าแปลกใจที่คุณชายจะไม่ยอมละทิ้งจนถึงท้ายที่สุด”