ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 49 หนทางไกลนับพันลี้ (2)
โก่วเหลียนกลอกตา “ในเมื่อท่านตัดสินใจภักดีต่อหนานฉู่แล้ว ตอนนี้เจ้าแคว้นหนานฉู่ก็อยู่ในค่ายของพวกเรา จ้าวเจียคุกเข่ารับใช้ต้ายงของเราแล้ว เหตุใดท่านจึงดื้อรั้นเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้ยินว่าขุนนางย่อมเลือกนายดี จ้าวเจียเบาปัญญา บีบบังคับอ๋องมากสามารถจนตาย ส่วนยงอ๋องนายข้าจิตใจกว้างขวางดุจหุบเขา นับถือนักปราชญ์เคารพบัณฑิต กระทำการเด็ดขาดชัดเจน มากคุณธรรมมากความสามารถ ชื่อเสียงระบือไกลทั่วทั้งใต้หล้า เหตุใดท่านจึงหัวโบราณไม่ยอมคล้อยตาม กลายเป็นที่เย้ยหยันไปทั่วทั้งแผ่นดิน”
ข้าหัวเราะอย่างเย็นชา “แม้ขุนนางต้องเลือกนายดี แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่าขุนนางคนใด นายเก่ายังอยู่ก็หันไปสวามิภักดิ์ต่อนายใหม่แล้ว ในอดีตอวี้ลั่งรับใช้จื้อป๋อ หลังนายเก่าสิ้นชีพระหว่างเดินทาง แม้นายเก่าปฏิบัติต่อเขาอย่างปุถุชนมาตลอด อวี้ลั่งก็ไม่เคยละทิ้ง ยิ่งไปกว่านั้น ในอดีตสุยอวิ๋นก็มิได้ทำงานให้จ้าวเจียเพียงผู้เดียว แต่เป็นราชวงศ์หนานฉู่ เจ้าแคว้นองค์ก่อนรับข้าเข้าสำนักฮั่นหลิน เต๋อชินอ๋องใช้ข้าเป็นที่ปรึกษา ความเมตตากรุณาเหล่านั้นข้าล้วนเห็นอยู่ในสายตา จะเห็นเกียรติยศความมั่งคั่งแล้วหันไปซบนายใหม่ทันทีได้อย่างไร”
โก่วเหลียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “แม้คำพูดของท่านจะงดงามสวยหรูทุกประโยค แต่จะอย่างไรท่านก็ถูกประณามหยามเหยียดไปนานแล้ว เหตุใดจึงต้องหลงใหลงมงายเช่นนี้อีก”
ข้ากล่าวอย่างเรียบเฉย “ในอดีต แม้ปี่ก้านต้องกรีดหัวใจ เจตนาก็มิแปรเปลี่ยน แม้ซวีหยวนถูกลดตำแหน่ง เมื่อได้ยินว่าแคว้นฉู่ล่มสลายยังเลือกกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย สุยอวิ๋นมิใช่โง่งม ไม่กล้าเลียนแบบปราชญ์เมธีที่ล่วงลับ ทว่าเรื่องอย่างเห็นแก่เกียรติยศจนวิ่งโร่เข้ารับใช้นายใหม่ หวังทรัพย์สินชื่อเสียงเช่นนี้ ข้าก็มิกล้าทำเช่นกัน”
โก่วเหลียนได้ยินข้าพูดเช่นนี้ก็ทำเพียงคารวะแล้วพูดว่า “ท่านเจียงมีใจบริสุทธิ์ยอดเยี่ยม ข้ารู้สึกเลื่อมใสนัก แต่องค์ชายมีบุคลิกดังจักรพรรดิ หากท่านพลาดไปจะไม่เสียดายหรือ ตอนนี้ท่านอยู่ในกองทัพทั้งยังป่วยติดเตียง หย่งเฉวียนมิกล้าบีบคั้น กว่าจะถึงต้ายงยังมีหนทางอีกพันลี้ หย่งเฉวียนขอมารบกวนรับคำสั่งสอนชี้แนะจากท่านได้หรือไม่”
ข้ายิ้มตอบ “พี่หย่งเฉวียนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน สุยอวิ๋นต่างหากที่สมควรขอคำชี้แนะจากท่านให้มาก หนทางเปล่าเปลี่ยว หากท่านมีเวลาและมิรังเกียจก็มาสนทนายามค่ำคืนที่นี่ได้ ทว่าแม้สุยอวิ๋นจะอ่านตำรามาอย่างกว้างขวาง แต่กลับมิเข้าใจพิณหมากอักษรภาพวาดเท่าใดนัก ได้ยินว่าท่านมีชื่อเสียงทางด้านนี้ ยังต้องเชิญท่านมาสั่งสอนชี้แนะแล้ว”
เมื่อหลี่จื้อรู้ว่าโก่วเหลียนมาพบข้าเป็นการส่วนตัว เดิมทียังกังวลยิ่ง รีบส่งคนมาหวังคลี่คลายสถานการณ์ ผู้ใดจะทราบว่าคนผู้นั้นมาถึงแล้วกลับเห็นข้าและโก่วเหลียนสนทนากันอย่างออกรส หลี่จื้อได้ยินดังนั้นก็อดยินดีไม่ได้
ตั้งแต่นั้นมาหลี่จื้อก็ให้เสนาธิการใต้บัญชามาสนทนาเป็นเพื่อนข้าบ่อยๆ ข้าก็มิได้ปฏิเสธ หลังจากจับเข่าพูดคุยกันมานานวัน ข้าก็รู้สึกชื่นชมเสนาธิการใต้บัญชายงอ๋องยิ่ง กวนซิวเชี่ยวชาญเรื่องการจัดหาเสบียงและการบัญชี ต่งจื้อเชี่ยวชาญการเดินทัพและการแปรกระบวนทัพ เมื่อสนทนากันก็กล่าวลื่นไหลไม่หยุดหย่อน ส่วนโก่วเหลียนเป็นบัณฑิตมากความสามารถ คุยถูกคอกับข้าที่สุด เพียงแต่นิสัยของเขาชอบเอาชนะ ชอบสนทนาเรื่องยากๆ กับข้า เมื่อได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันมาหลายวัน อารมณ์ข้ากลับไม่เลวนัก รวมกับที่เสี่ยวซุ่นจื่อดูแลอย่างดี อาการป่วยของข้าจึงค่อยๆ ดีขึ้นระหว่างเดินทาง
ความรู้สึกที่ข้ามีต่อพวกเขาไม่เลวนัก ส่วนพวกเขาก็เคารพเลื่อมใสข้าเป็นอย่างยิ่ง
กวนซิวเชี่ยวชาญเรื่องการเสบียงและการเงินของกองทัพ เป็นดังจู่เป๋า[1] ที่ยงอ๋องไว้ใจ แต่ยามเขาสนทนากับบัณฑิตหนุ่มผู้นี้ขึ้นมา กลับพบว่าไม่ว่าตนจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็จะเข้าใจกระจ่างทันที บางครั้งพูดไปเพียงประโยคสองประโยคก็เข้าใจความทั้งหมดแล้ว ภายหลังเจียงเจ๋อกล่าวเรื่องที่ตนเคยจัดการตำราให้เต๋อชินอ๋องโดยไม่ตั้งใจ จึงทำให้กวนซิวทราบว่าเหตุใดบัณฑิตฮั่นหลินผู้นี้จึงรู้เรื่องสัพเพเหระมากมายปานนั้น เดิมทีเขาคิดว่าเจียงเจ๋อเคยเป็นเสนาธิการให้เต๋อชินอ๋อง แต่กลับเป็นเพียงการให้คำปรึกษาทางการทหารเล็กน้อย
ต่งจื้อเชี่ยวชาญเรื่องการเดินทัพแปรกระบวน ยามเมื่อพูดคุยกับเจียงเจ๋อ พบว่า ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบกระบวนทัพใด จะในอดีตหรือในปัจจุบัน ไม่มีกระบวนใดที่เจียงเจ๋อไม่รู้จัก กระทั่งส่วนที่ตนไม่ค่อยเข้าใจเจียงเจ๋อก็พูดได้อย่างไหลลื่น อธิบายได้อย่างละเอียดยิ่ง เมื่อถามว่าเขารู้ได้อย่างไร บุรุษหนุ่มผู้นี้กลับยิ้มแย้ม กล่าวว่าเคยอ่านพบในตำราการทหารของจวนเจิ้นหย่วนโหว ภายหลังมาทำงานที่สำนักฮั่นหลินก็เคยจัดการตำรากลยุทธ์การศึกเช่นกัน
เดิมทีต่งจื้อคิดว่าเจียงเจ๋อรู้จักเพียงสนทนากลยุทธ์บนกระดาษ ดังนั้นจึงลองแสดงกระบวนทัพให้เขาดู ไม่คิดว่าเจียงเจ๋อจะใช้ทหารได้ดั่งใจนึก ไม่มีช่องว่างใดให้ค้นหา ทุกครั้งจะโผล่พรวดออกมาจากตำแหน่งที่ไม่คาดคิดที่สุด แต่พอไตร่ตรองในภายหลังกลับพบว่าสมเหตุสมผล ช่างยอดเยี่ยมเหลือคณา ต่งจื้อเลื่อมใสสุดจิต แต่ก็ยังอยากเอาชนะ จึงชวนสนทนาเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่คิดว่าเจียงเจ๋อจะกล่าวได้อย่างสมบูรณ์พร้อม ภายหลังแม้เจียงเจ๋อจะเงียบงันไม่พูดจา แต่หากหลุดปากมาเป็นบางครั้งก็ทำให้ต่งจื้อต้องขบคิดไปครึ่งวัน กลับไปยังต้องไปศึกษาเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์อีกด้วย
ส่วนโก่วเหลียนกลับนับถือเลื่อมใสเจียงเจ๋อเป็นที่สุด เดิมทีเขาทะนงว่าตนเองมากความรู้ ไม่คิดว่ายามเจียงเจ๋ออยู่ที่หนานฉู่เคยร่วมก่อตั้งตำหนักฉงเหวินด้วย ดังนั้นจึงอ่านตำรามาไม่ต่ำกว่าสิบล้านเล่ม ทุกครั้งที่เถียงกันเรื่องบทความ เจียงเจ๋อจะมีข้ออ้างอิงที่ทำให้โก่วเหลียนต้องตะลึงพรึงเพริด ส่วนด้านศิลปะการโต้วาที แม้เจียงเจ๋อจะใช้ไม่บ่อยนัก แต่หากโก่วเหลียนเกิดลำพองใจ วางตัวสูงส่งยโสโอหังขึ้นมา เจียงเจ๋อมักใช้ประโยคเดียวทำให้เขายอมแพ้ ชื่นชมด้วยใจจริง
สิ่งที่ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกนับถือที่สุดก็คือ แม้เจียงเจ๋อจะมีอัจฉริยภาพปานนี้แต่กลับพูดคุยกับผู้อื่นด้วยท่วงท่าสบายๆ เป็นธรรมชาติ ยามสนทนากับเขาล้วนให้ความรู้สึกชุ่มฉ่ำคล้ายหยาดพิรุณยามวสันต์โปรยปราย คิดว่าคนผู้นี้มีความสามารถมากล้น แต่กลับไม่บีบคั้นผู้อื่นให้จนตรอก มีเพียงยามค่ำคืนที่จะทำให้พวกเขาต้องหลั่งเหงื่อเย็น
ต่อมาทั้งสามยิ่งมีใจร้อนรนอยากเอาชนะขึ้นเรื่อยๆ แต่เจียงเจ๋อกลับยอมถอยหลบอย่างสุขอุรา ทำให้ความร้อนรนอยากเอาชนะของทั้งสามแปรเปลี่ยนไปเบาสบายดังสายลมฤดูใบไม้ผลิ เนิ่นนานผ่านไปจึงค่อยรู้ว่าเจียงเจ๋อเพียงไม่คิดสู้ด้วยเท่านั้น
การเดินทางพันลี้ แม้เส้นทางยาวไกล แต่จะอย่างไรก็ต้องมีวันสิ้นสุด เมื่อใกล้ถึงต้ายงทั้งสามก็ตัดสินใจไปพบหลี่จื้อพร้อมกันอีกครั้ง ต้องการให้เขารับเจียงเจ๋อมาอยู่ใต้บัญชาให้จงได้ โก่วเหลียนกระตือรือร้นที่สุด พูดว่า “องค์ชาย หากไม่ได้คนผู้นี้มาอยู่ใต้บัญชาคงน่าเสียดายจริงๆ คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะ เหนือกว่ากระหม่อมหลายเท่า หากเป็นศัตรูกัน เกรงว่ากระหม่อมคงไม่มีแม้แต่ศพให้ฝัง”
หลี่จื้อกล่าวด้วยรอยยิ้มฝาดเฝื่อน “ทุกท่าน เหตุใดข้าจะไม่รู้ถึงความสำคัญของคนผู้นี้เล่า แต่ทุกครั้งที่ข้าไปเกลี้ยกล่อมเขา คนผู้นี้มักเงียบงันไม่พูดจา ทำให้ข้ารู้สึกอับจนหนทางยิ่ง”
กวนซิวกล่าวว่า “องค์ชายไม่จำเป็นต้องร้อนใจ คนผู้นี้ให้ความเคารพองค์ชายมาก ทั้งยังไม่มีเจตนาเป็นศัตรูกับพวกเรา คงไม่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดแน่นอน กลับเมืองคราวนี้พวกเราก็ส่งตัวเขาไปกักบริเวณอยู่ที่จวนยงอ๋องเสียก่อนแล้วค่อยๆ เกลี้ยกล่อมไป จะอย่างไรก็ต้องมีวิธี ยิ่งไปกว่านั้นสือจื่อโยวเป็นผู้มากคุณธรรมน้ำใจ จะต้องโน้มน้าวเขาได้แน่”
หลี่จื้อทอดถอนใจ “คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว หากสือจื่อโยวยังโน้มน้าวเขาไม่ได้ ข้า ข้า เฮ้อ จะให้ข้ายอมตัดใจได้อย่างไร”
พวกกวนซิวทั้งสามมองหน้าสบตากัน รู้ว่าหลี่จื้อมีใจคิดสังหารแล้ว
“นอกม่านพิรุณโปรยปราย วสันต์คล้อยจวนอำลา ผ้าบางมิอาจทนหนาวยามเดือนห้า ในฝันมิรู้ว่าตนเป็นเพียงผู้มาเยือน ยังนิยมรื่นเริงร่ำไป ยามพิงรั้วกลับเดียวดาย ภูผาธารากว้างไกล ยามจากง่ายดาย ยามพานพบกลับยากสุดแสน ธาราไหลใบไม้ปลิดปลิว จากสวรงสวรรค์ลงสู่แดนดิน”
ข้าสวมเสื้อคลุมยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ที่นี่คือศาลาพักม้า พรุ่งนี้จะถึงต้ายงแล้ว ข้าเอื้อนเอ่ยบทกวี ‘คลื่นซัดทราย’ ที่ข้าเขียนเพิ่งขึ้นมาใหม่ ในใจรู้สึกโดดเดี่ยวสุดเปรียบ คิดถึงทิวทัศน์ชวนหลงใหลของหนานฉู่ ในใจคิดวนเวียนนับร้อยตลบ
เสี่ยวซุ่นจื่อเดินมาข้างกายข้า กล่าวเสียงเบา “คุณชาย หลายวันมานี้ท่านทำให้เสนาธิการใต้บัญชาของหลี่จื้อศรัทธาเลื่อมใสแต่กลับไม่ยอมโอนอ่อนกับหลี่จื้อ หากหลี่จื้อมีใจคิดสังหาร ท่านจะทำเช่นไร”
“เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ข้าเพียงไหลไปตามคลื่นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นขุนนางอยู่ที่ใดล้วนไม่สำคัญ ต่อให้อยู่ต่อหน้าเต๋อชินอ๋องข้าก็ทำงานเพียงฉาบฉวย แต่ยงอ๋องมีจิตใจดุจกระจกเงา หากข้ารับใช้เขาแต่ไม่ทุ่มเทกายใจให้เขาเต็มที่ เช่นนั้นยงอ๋องย่อมไม่พอใจ ยิ่งไปกว่านั้นจะมิอาจคลี่คลายสถานการณ์อันตรายให้เขาได้ด้วย หากคิดให้ข้าทุ่มเทแรงใจเพื่อเขา เช่นนั้นข้าต้องดูน้ำจิตน้ำใจของยงอ๋องเสียก่อน ข้าตั้งใจบีบบังคับให้เขาคิดสังหารข้า หากสุดท้ายเขายอมปล่อยมือ ข้าจึงจะเห็นเขาเป็นจักรพรรดิมากปรีชา หากสุดท้ายเขาคิดสังหารข้า เช่นนั้นเขาก็เป็นได้เพียงทรราช ภายหน้าหากอยู่กับเขาคงต้องกังวลว่าจะถูกเขาสังหารอยู่ร่ำไป มิสู้ทดสอบจิตใจเขาเสียตั้งแต่วันนี้ หากเขายอมปล่อยข้าไป เช่นนั้นข้าเชื่อว่าวันหน้าพวกเราจะปรองดองกันได้จนถึงที่สุด หากเขา…ข้าก็จะแกล้งตายแล้วถอนตัวไปเสีย”
เสี่ยวซุ่นจื่อมีสีหน้าร้อนรุ่ม “คุณชาย ยงอ๋องมีอำนาจยิ่งใหญ่ หากคิดสังหาร ท่านจะถอนตัวออกไปได้อย่างไร แม้วรยุทธ์ของข้าจะไม่เลว แต่ก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะช่วยคุณชายออกไปได้”
ข้าหัวเราะเบาๆ “ข้าคิดว่ายงอ๋องคงไม่มีใจทำร้ายยอดบัณฑิตแห่งแผ่นดินหรอก จะต้องไม่คิดใช้ดาบหอกสังหารข้าแน่ ดังนั้นการใช้พิษจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ข้าเตรียมยาพิษชั้นเลิศเอาไว้เม็ดหนึ่งแล้ว ถึงตอนนั้นเมื่อข้ากินเข้าไป ร่างกายจะแข็งทื่อดุจคนตาย ชิงคนเป็นเรื่องยาก แต่ชิงศพมิใช่ว่าเป็นเรื่องง่ายหรือ รอข้าถอนตัวไปได้ก่อน ข้าจะซ่อนตัวอยู่ในต้ายง รอโอกาสมาถึงแล้วค่อยล้างแค้นผู้สังหารภรรยาข้า ถึงตอนนั้น เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้ากับข้าก็ปิดบังชื่อแซ่ออกพเนจรสุดขอบฟ้า มิใช่ว่าจะมีความสุขมากหรือไร ผู้คนมักกล่าวว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่มมิสู้เดินทางหมื่นลี้ ข้าคาดหวังมากเชียว”
เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวอย่างจริงใจ “เช่นนั้นข้ากลับคาดหวังให้ยงอ๋องคิดสังหารคุณชายจริงๆ คุณชายจะได้ไม่ถูกลากเข้าไปพัวพันจนต้องทุ่มเทกายใจทำงานเพื่อเขา”
ข้าหัวเราะ หากคิดให้ข้าทุ่มเทกายใจ มิใช่ว่าทุกคนจะมีคุณสมบัติเช่นนั้น กล่าวตามจริง เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดผ่านการทดสอบของข้าด้วยซ้ำ ใช้งานไม่ได้ก็สังหารทิ้งเสีย นั่นเป็นความคิดที่มิอาจพรรณนาออกมาของยอดราชาและยอดวีรบุรุษ น่าเสียดาย ยงอ๋องเป็นคนที่ข้านับถือจริงๆ ข้าคิดอย่างเสียดาย
[1] จู่เป๋า เป็นขุนนางในราชวงศ์ฮั่น เป็นเสนาธิการผู้ยอดเยี่ยมในกองทัพ รับหน้าที่จัดการเอกสารต่างๆ