ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 50 ถึงต้ายง (1)
ต้ายง รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบสาม (หนานฉู่ รัชศกจื้อฮวาปีที่หนึ่ง) วันที่สองเดือนสิบเอ็ด ยงอ๋องนำชัยกลับราชสำนัก คุมตัวจ้าวเจีย องค์ชาย นางสนม และราชนิกุลแห่งหนานฉู่ไว้เบื้องหน้า คุมตัวร้อยขุนนางบุ๋นบู๊ไว้เบื้องหลัง ใช้เป็นเชลยถวายแด่ศาลบรรพชน
…พงศาวดารยง พระราชประวัติไท่จง
ข้ามิได้เห็นภาพอันยิ่งใหญ่ตระการตาที่ขุนนางนับร้อยต้อนรับยงอ๋องเข้าประตูเมืองเนื่องจากฐานะของข้า หากพูดให้ฟังดูดีหน่อยก็คือแขกเหรื่อ หากพูดให้ฟังดูแย่หน่อยก็เป็นเชลย ข้าไม่ได้ถูกรวบเข้าศาลบรรพชนในฐานะเชลย แต่ก็มิได้มีเกียรติยศอันใด ดังนั้นข้าจึงต้องไปที่ค่ายทหารกับโก่วเหลียนก่อนจึงจะนั่งรถม้าเข้าเมืองได้
เมื่อรถเคลื่อนผ่านประตูหมิงเต๋อ ข้าก็เปิดหน้าต่างออก มองดูสองข้างทางของถนนหลวงที่กว้างเกือบสี่สิบจั้ง มีต้นไหวปลูกอยู่ทั้งสองฝั่งทาง เพียงแต่ยามนี้เข้าฤดูเหมันต์แล้วจึงไม่เห็นความเขียวขจีและบุปผาเบ่งบาน สองฝั่งของถนนมีรางน้ำขนาดเท่าแม่น้ำเล็กๆ ทอดตัวไขว้กับรางน้ำของถนนหลักสายอื่นๆ ที่คานด้วยหินอย่างดี แม้ยามนี้จะเป็นเหมันตฤดู แต่น้ำในรางก็ยังมีไอร้อนพวยพุ่ง น้ำไหลไม่ติดขัด ทว่าบนต้นไหวกลับมีเพียงน้ำค้างแข็ง เต็มไปด้วยความรู้สึกแห้งเหี่ยวของฤดูหนาว
ข้ารำพึงรำพันว่า “ธาราภูผาพันลี้ เก้าหอคอยแลประตู มิเคยเห็นพระราชวังอันยิ่งใหญ่ จะทราบถึงบารมีของโอรสสวรรค์ได้อย่างไร”
โก่วเหลียนหัวเราะ “ฉินจง[1] นับเป็นเมืองแห่งจักรพรรดิมาแต่โบราณ นครฉางอันมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ทั้งยังมีวรรณกรรมมากมาย ภูมิประเทศอันตราย ใต้มีเทือกเขาฉินหลิ่งซับซ้อน เหนือมีภูเขาทอดยาวคล้ายเป็นเสียงสะท้อนจากฉินหลิ่ง มีแม่น้ำแปดสายล้อมรอบฉางอันเช่นแม่น้ำจิ่ง แม่น้ำเว่ย ฉินชวน[2] ไพศาลแปดร้อยลี้ แสดงถึงพระราชอำนาจของจักรพรรดิมาแต่โบราณ ต้ายงจึงใช้ฉางอันเป็นเมืองหลวงเพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ ต้ายงจะรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งย่อมไม่มีอำนาจใดขวางได้ หนานฉู่สร้างเมืองหลวงอยู่ที่เจี้ยนเย่ ทว่าฮวงจุ้ยของเจี้ยนเย่ไม่ดีพอ เมื่อไปสร้างเมืองที่นั่นมักตกต่ำลงทุกยุคทุกสมัย”
ข้าทำเพียงยิ้มไม่กล่าววาจา ความตกต่ำของหนานฉู่ข้ารู้ดีแก่ใจ ความแข็งแกร่งของต้ายงข้าก็รู้ดีแก่ใจ แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุที่ข้าจำต้องหันไปพึ่งพิงต้ายง
ในดวงตาของโก่วเหลียนปรากฏแววสับสน เขาไม่เคยปวดเศียรเวียนเกล้าถึงเพียงนี้มาก่อน ไม่ว่าตนจะเกลี้ยกล่อมเช่นไร บุรุษหนุ่มผู้นี้บ้างก็แสดงท่าทีเห็นด้วย บ้างก็ทำเพียงยิ้มแย้มไม่กล่าววาจา แต่ที่สุดแล้วยังไม่อาจทำให้อีกฝ่ายยอมเข้ามาพึ่งพิงยงอ๋องได้เลย
โก่วเหลียนคิดว่าตนรีบร้อนเกินไปหรือไม่ แต่หากมิอาจโน้มน้าวเขาได้ หากยงอ๋องสิ้นไร้หนทาง จะต้องตัดสินใจสังหารคนผู้นี้เป็นแน่ เช่นนี้จะไม่น่าเสียดายหรือ โก่วเหลียนเคยเสนอเรื่องกักตัวเจียงเจ๋อชั่วคราวและค่อยๆ โน้มน้าวเขาไปแล้ว ทว่าน่าเสียดายที่ยงอ๋องทำเพียงยิ้มอย่างฝาดเฝื่อนไม่พูดไม่จา คล้ายถูกเวลาบีบคั้น เช่นนี้จะทำอย่างไรเล่า
ข้าชี้ออกไปนอกหน้าต่าง บอกเสี่ยวซุ่นจื่อว่า “เจ้าดู นั่นคือถนนจูเชว่ ถนนที่ยาวที่สุดซึ่งตัดผ่านนครฉางอันตั้งแต่เหนือจรดใต้ เหนือสุดของถนนจูเชว่คือเขตกำแพงวังและเขตพระราชวังหลวง เป็นที่พำนักของราชนิกุลแห่งต้ายง หน่วยราชการทั้งหกกรมของนครฉางอันก็อยู่ในเขตกำแพงวังด้วย
ตำแหน่งที่พวกเราอยู่ตอนนี้เรียกว่ากำแพงรอบนอก กำแพงรอบนอกของนครฉางอันจะเป็นส่วนที่ใช้สำหรับปกป้องเขตกำแพงวังและเขตพระราชวังหลวงทั้งสามด้าน ได้แก่ ด้านตะวันออก ตะวันออก และใต้ เขตกำแพงรอบนอกของนครฉางอันมีถนนเหนือใต้รวมสิบเอ็ดสายและถนนตะวันออกตะวันตกอีกสิบสี่สาย ตัดไขว้กันจนทำให้เขตกำแพงรอบนอกมีซอยทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบซอย ในนั้นมีถนนเหนือใต้สามสายและถนนตะวันออกตะวันออกสามสายที่เป็นถนนสายหลัก โดยจะตัดผ่านประตูเมืองทอดไปถึงถนนในเมืองชั้นใน ถนนจูเชว่ที่พวกเราอยู่ตอนนี้คือถนนที่อยู่ใจกลางนครฉางอันที่สุด ปลายถนนจูเชว่ก็คือประตูจูเชว่ สามารถผ่านประตูนี้เข้าสู่เขตกำแพงวังได้”
โก่วเหลียนพูดยิ้มๆ “ได้ยินเจียงเจ๋อกล่าวเช่นนี้แล้ว ข้ารู้สึกราวกับท่านเป็นชาวเมืองฉางอันเชียว”
ข้ากล่าวเรียบๆ “หากกล่าวถึงลักษณะเมืองเจี้ยนเย่ เกรงว่าพี่หย่งเฉวียนคงรู้ดีกว่าข้าเช่นกัน”
โก่วเหลียนหัวเราะเจื่อนๆ อีกครั้ง
ข้ามองไปยังฝูงชนคึกคักนอกหน้าต่าง ความเจริญรุ่งเรืองของที่นี่เหนือกว่าเจี้ยนเย่หลายเท่า ชาวเจี้ยนเย่ล้วนหลงใหลในความฟุ้งเฟ้อ มีบัณฑิตและสุภาพสตรีมากมาย ส่วนที่นี่กลับเต็มไปด้วยพวกนักปราชญ์เลือดร้อนและนักสู้ที่มีบุคลิกองอาจห้าวหาญ สร้างบรรยากาศเฟื่องฟูไปทั่วทุกแห่งหน ข้ายิ้ม นี่เป็นความชอบอันแท้จริง แม้เจียงหนานจะดีและเป็นบ้านเกิด แต่ข้าไม่อาจมีอคติกับที่นี่เพียงเพราะเหตุนี้ หนานฉู่กลายเป็นเรื่องในความทรงจำของข้าไปแล้ว
เพียงไม่นานรถม้าก็แล่นมาถึงประตูจูเชว่ โก่วเหลียนเลิกผ้าม่านขึ้น แสดงป้ายของจวนยงอ๋อง องครักษ์หลวงที่มีหน้าที่เฝ้าประตูเห็นดังนั้นจึงถอยออกไปด้วยท่าทีนอบน้อม โก่วเหลียนกำลังจะสั่งให้รถม้าเดินทางต่อไป แต่เบื้องหน้ากลับมีเสียงหัวเราะกระจ่างใสดังมาเสียก่อน “ท่านโก่ว ในรถเป็นแขกของเสด็จพี่หรือ”
โก่วเหลียนเงยหน้ามองไป พบรถม้าหรูหราคันหนึ่งเคลื่อนมาด้านหน้า ผ้าม่านของรถม้าคันนั้นทำจากผ้าไหมปักดิ้นทอง หลังม่านที่เลิกขึ้นสูงมีบุรุษวัยเยาว์หน้าตาหล่อเหลาสง่างามและหญิงรับใช้หน้าตาจิ้มลิ้มสองนางนั่งคุกเข่าคอยถวายงานอยู่ บุรุษผู้นั้นกำลังโบกมือให้ตน โก่วเหลียนกล่าวอย่างตื่นตกใจว่า “ฉีอ๋อง เหตุใดไม่เสด็จไปร่วมงานเลี้ยงฉลอง กลับออกมานอกเขตพระราชวังเช่นนี้เล่า”
หลี่เสี่ยนเดินออกมาจากรถม้าภายใต้การประคองของหญิงรับใช้ กล่าวว่า “งานเลี้ยงฉลองยังไม่เริ่ม ต้องให้เสด็จพ่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษเสร็จก่อนจึงจะเริ่ม ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่สบาย ได้ยินว่าพี่รองพาแขกกลับมาด้วย คงเป็นคนรู้จักเก่าของข้ากระมัง จะอย่างไรก็ต้องมาต้อนรับเสียหน่อย ใต้เท้าเจียงใช่หรือไม่ ข้าคือหลี่เสี่ยน”
ข้ารู้สึกจนใจอยู่บ้าง แม้จะรู้แก่ใจว่าคนผู้นี้มาก่อกวน ทว่ารีบร้อนเพียงนี้นับว่าเหนือความคาดเดาของข้าจริงๆ ข้าโผล่หัวออกไป พูดพร้อมรอยยิ้มบางเบาว่า “ที่แท้ก็เป็นฉีอ๋องนี่เอง มาเยาะเย้ยกระหม่อมที่เป็นผู้ต้องโทษหรือ”
หลี่เสี่ยนเดินเข้ามาใกล้ กล่าวว่า “กล่าวอันใดกัน ใต้เท้าเจียงนับเป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่น ไม่ต้องพูดถึงเสด็จพี่เลย กระทั่งเสด็จพ่อของข้าก็ไม่ยินดีปล่อยให้ใต้เท้าถูกพันธนาการ แม้สมุดรายชื่อเชลยที่เสด็จพี่นำขึ้นถวายจะมีชื่อของใต้เท้ารวมอยู่ด้วย แต่เมื่อเสด็จพ่อทรงทอดพระเนตรแล้วก็ตัดรายชื่อใต้เท้าออก ทั้งยังรับสั่งให้เสด็จพี่รับรองใต้เท้าให้ดี อย่าได้ละเลยเป็นอันขาด อีกหลายวันเสด็จพ่ออยากพบใต้เท้าเสียหน่อย แต่ข้าทูลขอเสด็จพ่อไว้แล้ว หากใต้เท้าเจียงเต็มใจ จวนฉีอ๋องของข้ายินดีต้อนรับใต้เท้าเสมอ”
โก่วเหลียนขมวดคิ้ว ในใจคิดว่า มิน่าเล่าองค์ชายจึงทุกข์ใจปานนั้น ที่แท้ก็รู้ว่ามีคนต้องการแย่งคนกับองค์ชายนี่เอง รีบพูดไปว่า “องค์ชาย ยงอ๋องทรงมีพระประสงค์นานแล้ว ทรงรับสั่งให้กระหม่อมรับรองใต้เท้าเจียงให้ดี ฉีอ๋อง ท่านมิอาจแย่งคนไปเช่นนี้ได้”
หลี่เสี่ยนกล่าวอย่างไร้เหตุผล “ต่อให้เสด็จพี่อยู่ที่นี่ก็ไม่ทำให้ข้าลำบากใจ ใต้เท้าเจียง ในอดีตตอนอยู่ที่หนานฉู่ ท่านได้รับราชโองการให้คอยรับรองข้า วันนี้สมควรถึงคราวข้าเป็นเจ้าภาพแล้ว”
เขากล่าวพลางยื่นมือมาลากข้าไป ทว่าพลันนั้นเอง หลี่เสี่ยนรู้สึกว่าข้อมือของตนถูกมืออันเย็นเฉียบยื้อยุด เมื่อมองไปจึงพบใบหน้าประดับรอยยิ้มเย็นชาของเสี่ยวซุ่นจื่อ หลี่เสี่ยนชักมือกลับอย่างสนอกสนใจ กล่าวว่า “ในเมื่อท่านโก่วยืนยันเช่นนี้ ข้าก็ทำได้เพียงปล่อยไป อีกไม่กี่วันใต้เท้าเจียงต้องมาพักอยู่ที่จวนข้าแน่นอน”
ข้าหัวเราะเบาๆ ผงกศีรษะตอบไปว่า “หากมีวาสนาย่อมไปรบกวน”
โก่วเหลียนมองข้างอย่างกังวล คล้ายอยากพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไป
ขณะนี้พระตำหนักทองอร่ามของต้ายงเต็มไปด้วยภาพจักรพรรดิและขุนนางปรองดอง หลังเสร็จพิธีเซ่นไหว้ที่ศาลบรรพบุรุษแล้ว หลี่หยวนก็ทำพิธีต่างๆ ตามที่กรมพิธีการกำหนดมา เช่น ทำความสะอาดศาลบรรพชน นิรโทษกรรม รับการคารวะจากขุนนางและพิธีสวนสนามเป็นต้น เมื่อถึงเวลาเริ่มพิธีเฉลิมฉลองที่ตำหนักทอง หลี่หยวนก็กล่าวเปิดงาน จากนั้นจ้าวเจียและองค์หญิงฉางเล่อก็ถูกเรียกตัวไปที่ตำหนัก หลี่หยวนกล่าวกับจ้าวเจียที่กำลังขออภัยไม่หยุดว่า “ระหว่างพ่อตากับลูกเขยนับเป็นญาติ ไม่จำเป็นต้องรับโทษอีก”
จากนั้นจึงให้จ้าวเจียไปพักที่ศาลาพักม้าชั่วคราว ส่วนองค์หญิงฉางเล่อ เพียงหลี่หยวนเห็นก็น้ำตาไหลพราก เมื่อองค์หญิงฉางเล่อคารวะเสร็จ เขาก็รีบจับมือฉางเล่อพลางมองสำรวจนาง เห็นใบหน้าอีกฝ่ายหม่นหมอง ไม่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหมือนกาลก่อนก็รู้สึกทุกข์ตรมนัก กล่าวกับฉางเล่อว่า “ลูกพ่อ เจ้าลำบากแล้ว พ่อผิดต่อเจ้าจริงๆ มารดาเจ้ารอพบเจ้าอยู่ที่วังหลัง เจ้าไปพบนางก่อนเถิด พ่อจะไปดูเจ้าตอนค่ำๆ อีกครั้ง”
องค์หญิงฉางเล่อมุ่งไปวังหลังภายใต้การคุ้มครองของข้าราชบริพารและนางในกลุ่มหนึ่ง
จากนั้นหลี่หยวนจึงยกจอกสุราขึ้น กล่าวเสียงดังชัดเจนว่า “วันนี้ยงอ๋องกลับมาพร้อมชัยชนะ แม้เจิ้นจะยินดีที่ยงอ๋องได้ลงโทษคนผิดและสร้างผลงาน แต่ที่ยินดียิ่งกว่าคือได้รับธิดาอันเป็นที่รักอย่างฉางเล่อกลับมา เจิ้นดื่มสุราไม่เก่ง หวังว่าขุนนางทุกท่านจะคารวะสุราแก่ยงอ๋องแทนเจิ้นสักหลายจอก วันนี้ทุกคนล้วนยินดีปรีดา ไม่เมาไม่กลับ”
ในพระตำหนัก เหล่าขุนนางต่างร้องตะโกนทรงพระเจริญหมื่นปีพลางยกจอกสุราขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ยงอ๋องหลี่จื้ออาบน้ำชำระฝุ่นดินที่เปรอะเปื้อนมาจากการเดินทางออกไปแล้ว กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งถัดจากรัชทายาทหลี่อัน คอยรับการคารวะสุราจากร้อยขุนนาง
หลี่อันที่นั่งเหนือจากเขา แม้จะมีใบหน้ายิ้มแย้มมิขาด แต่ประกายเย็นยะเยือกในดวงตากลับฉายชัดมิจางหาย ในใจเกลียดชังและขุ่นเคืองยิ่ง เดิมทีเขาจัดแจงให้ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนออกเดินทางไปยังหนานฉู่แล้ว ผู้ใดจะทราบว่ากลับพ่ายแพ้จนทำให้กองทัพเสียหายจึงสิ้นไร้หนทาง ได้แต่ปล่อยให้ยงอ๋องหลี่จื้อแทะกระดูกชิ้นนี้ไปแทน คิดไม่ถึงว่าหลี่จื้อจะลอบโจมตีเจี้ยนเย่ ทั้งยังจับเจ้าแคว้นและขุนนางของหนานฉู่กลับมาด้วย ทำให้หลี่หยวนยินดีจนแทบคลั่ง แต่กลับทำให้หลี่อันเคืองแค้นแทบตาย
สิ่งที่ทำให้หลี่อันเกลียดชังที่สุดก็คือ ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้เหลียงหวั่นซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบเครือข่ายข่าวกรองและสายลับในหนานฉู่กลับมา ทว่าเหลียงหวั่นกลับกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปเสียได้ แรงกายแรงใจที่ตนทุ่มเทไปในหนานฉู่กลับกลายเป็นเพียงหมอกควัน จะไม่ให้หลี่อันเคียดแค้นชิงชังได้อย่างไร
เขามองไปทางหลี่จื้อที่กำลังจดจ่อไปกับบรรยากาศอย่างได้ใจ หลี่อันคิดอย่างโหดเหี้ยมว่า ‘หากข้าไม่ได้เป็นจักรพรรดิ เจ้าก็อย่าหวังจะได้ตามปรารถนาเลย’
[1] ฉินจงหมายถึง แผ่นดินที่ราบภาคเหนือ
[2] ฉินชวน หมายถึง พื้นที่ที่ราบทางเหนือรวมถึงซ่านซีและฉินหลิ่งด้วย