ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 54 ชมหิมะร่ายบทกวี (1)
ข้าลุกขึ้นยืนหันหน้าสู่ทะเลสาบ จู่ๆ ก็เกิดอารมณ์สุนทรีย์อยากร่ายบทกวีขึ้นมา จึงกล่าวเอื้อนเอ่ยไปว่า “แลคีรีหนาวเหน็บไกลตา คล้ายดั่งมวลปัทมาแช่มช้อย เงาเหมยคลอนสะท้อนจันทร์อ้อยอิ่ง ถอนใจกับไผ่เขียวแทงยอดเสียดไกล ไยผกาหอมต้องถูกเชยชม บุษบงแดงเด่นในใต้หล้า พลิ้วพรายดุจดั่งคนรำร่าย สยายมือยักย้าย ดีดเครื่องสายเคล้าน้ำตา”
หลังเอื้อนบทกวีไปบทหนึ่งก็อดหัวเราะเบิกบานออกมาไม่ได้ ยื่นมือออกไปรองหิมะให้ร่วงหล่นใส่มือ ไม่ทันไรก็ละลายกลายเป็นน้ำไปเสียแล้ว ขณะนี้เองมีเสียงคนหัวเราะลั่นดังมาแต่ไกล “ท่านเจียงมีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนี้ เหตุใดไม่เชิญเจ้าบ้านมาร่วมด้วยเล่า”
ข้าหันกลับไปมอง พบยงอ๋องหลี่จื้อสวมชุดขนสัตว์บางๆ มีเหล่าเสนาธิการหลายคนยืนอยู่ด้านหลัง ทุกคนล้วนยิ้มแย้มแพรวพราว มีบ่าวรับใช้สองคนเดินตามอยู่หลังสุด คนหนึ่งถือไหสุรา อีกคนถือกล่องอาหาร
ข้ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “องค์ชายมีราชกิจรัดตัว สุยอวิ๋นเป็นเพียงคนว่างงานเร่ร่อน จะกล้ารบกวนองค์ชายและท่านเสนาธิการทั้งหลายได้อย่างไร”
หลี่จื้อเดินเข้ามาในศาลาหลินปัว ปัดปุยหิมะบนร่างออกพลางกล่าวว่า “คนไร้สุนทรีย์เช่นพวกเรามารบกวนความสุนทรีย์ของท่านแล้ว สุราไหนี้เสด็จพ่อพระราชทานมาให้ นับเป็นสุราเลิศรส ท่านเจียงไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง”
ข้าหัวเราะเบาๆ กล่าวไปว่า “ทุกอย่างย่อมอยู่ในหลักเหตุผลที่ว่ามาก่อนได้ก่อน ในเมื่อวันนี้สุยอวิ๋นมาก่อน เช่นนั้นท่านทั้งหลายคงต้องร่ายบทกวีเป็นเพื่อนข้าแล้ว เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้ามาอุ่นสุรา หลังดื่มสุราวนครบสามรอบ ทุกท่านต้องร่ายบทกวีหนึ่งบท หัวข้อคือ ‘พรรณนาหิมะ’ หากเป็นบทกวีที่ดีให้ดื่มสุราหนึ่งจอก หากเป็นบทกวีไม่ดี เช่นนั้นต้องทำโทษด้วยสุราสามจอก”
หลี่จื้อเห็นข้าไม่ได้ไม่พอใจจึงพูดอย่างเบิกบานว่า “ในเมื่อท่านกำหนดบทลงโทษแล้ว เช่นนั้นข้าก็จำต้องทำตาม เอาละ พวกเจ้าฟังให้ดี หากแต่งบทกวีไม่ดีจะต้องดื่มสุราสามจอก ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ สุราพระราชทานนี้มีฤทธิ์สุรามาก ทว่ามีกลิ่นหอมหวาน หากดื่มมากไปจะฟังบทกวีดีๆ ของท่านเจียงไม่ไหว เช่นนั้นย่อมเสียดายยิ่ง”
พวกเราพากันนั่งลง บ่าวรับใช้คนหนึ่งนำผลไม้แกล้มสุราหลายชนิดออกมาจากกล่องอาหาร จัดเรียงลงบนโต๊ะ บ่าวรับใช้อีกคนหนึ่งเปิดฝาดินเผาของสุราพระราชทาน กลิ่นหอมของสุราพลันโชยเข้าจมูก หอมละมุนกลมกล่อมยิ่ง โก่วเหลียนได้กลิ่นหอมสุราก็พูดขึ้นว่า “หากได้ฟังบทกวียอดเยี่ยมของสุยอวิ๋น ยินดีฟังจนกว่าจะเมามาย”
หลี่จื้อโบกมือให้บ่าวรับใช้ถอยออกไป พูดยิ้มๆ ว่า “เอาละ วันหลังข้าจะมอบสุราให้เจ้าหนึ่งไห ให้เจ้ากินจนเมามายไร้สติเลยเชียว”
โก่วเหลียนรีบคารวะขอบคุณ “องค์ชายกล่าวแล้วอย่าเสียใจไปเชียว”
สนทนากันไปไม่นาน เสี่ยวซุ่นจื่อก็นำสุราอุ่นร้อนกาแรกเข้ามา รินให้ทุกคนจนเต็มจอก ข้าจิบลงไปจอกหนึ่งอย่างเนิบช้า ปล่อยให้กลิ่นหอมและรสสัมผัสของสุราไหลเวียนอยู่ในปาก แขนขาทั้งสี่และกระดูกนับร้อยท่อนพลันอุ่นวาบขึ้นมา อดกล่าวไม่ได้ว่า “เป็นสุราดีจริงๆ สุราของหนานฉู่แม้จะยอดเยี่ยม แต่เมื่อเทียบกับสุราทางเหนือแล้วย่อมมิควรค่าให้กล่าวถึง”
สืออวี้กล่าวยิ้มแย้ม “ในเมื่อสุยอวิ๋นชอบ เช่นนั้นก็ดื่มอีกสักหลายจอกเถิด”
หลี่จื้อยกจอกสุราขึ้นด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย ทุกคนร่วมดื่มกันไปหลายจอก ล้วนรู้สึกล่องลอยประหนึ่งบรรลุขึ้นเป็นเซียน เมื่อบรรยากาศครื้นเครงขึ้นมาแล้ว หลี่จื้อจึงพูดยิ้มๆ ว่า “เมื่อครู่พวกเราได้ยินบทกวีของสุยอวิ๋นแล้ว เช่นนั้นตามเหตุผลพวกเราควรเป็นฝ่ายร่ายบทกวีก่อน หย่งเฉวียน เจ้ามีสัมผัสทางบทกวีเฉียบแหลมที่สุด เริ่มจากเจ้าก่อนแล้วกัน”
โก่วเหลียนลุกขึ้นยืนมองไปยังหิมะโปรยปรายนอกศาลา กล่าวเสียงดังว่า “ได้ เช่นนั้นเริ่มจากกระหม่อมก่อน หิมะโปรยคลุมกำแพงครึ่งค่อน ชโลทรอุ่นเจือควันหมอกเรืองไสว ทิวทัศน์ ณ ที่แห่งนี้งามเพริศพราย ไร้ริษยาไร้อิจฉาชั้นฟ้าแดนเซียน”
หลี่จื้อกล่าวขึ้นก่อน “ดี แม้จะมีแนวคิดทางศิลปะธรรมดาไปบ้าง แต่กลับหลอมรวมกับทิวทัศน์เบื้องหน้าได้อย่างลงตัวเพียงนี้ ดื่มสุราหนึ่งจอก”
ข้ายิ้ม กล่าวว่า “หิมะโปรยคลุมกำแพงครึ่งค่อน ชโลทรอุ่นเจือควันหมอกเรืองไสว พี่หย่งเฉวียนนับเป็นผู้เลิศล้ำทางบทกวีจริงๆ ความสัมพันธ์ของทุกท่านและองค์ชาย อยู่นอกจวนเป็นดั่งนายบ่าว อยู่ในจวนเป็นดั่งเลือดเนื้อญาติมิตร จะบนหรือล่างล้วนไร้ความบาดหมางแคลงใจ ในวันหนาวเหน็บเช่นนี้ยังร่ำสุราอย่างสุขสันต์ ไร้ริษยาไร้อิจฉาชั้นฟ้าแดนเซียนจริงๆ”
โก่วเหลียนเห็นว่ามีช่องว่างแล้วจึงพูดว่า “องค์ชายปฏิบัติต่อพวกเราเช่นญาติมิตรเลือดเนื้อ สุยอวิ๋นมิอยากเป็นเช่นพวกเราหรือ รับใช้องค์ชาย ลิ้มลองรสชาติของการไร้ริษยาไร้อิจฉาชั้นฟ้าแดนเซียนเสียหน่อยเป็นอย่างไร”
ข้ายิ้มพราย ตอบไปว่า “สุยอวิ๋นไร้ความสามารถอื่นใด เพียงเชี่ยวชาญแต่งกลอนแต่งบทกวีเท่านั้น มาต่อกันที่บทกวีเถิด ข้าขอร่ายบทกวีเพื่อตอบแทนน้ำใจของทุกท่านเสียหน่อย วิหคน้อยเกาะกิ่งเฟิงกี่ครา บุปผากระเพื่อมไหวผลัดกิ่ง เงาสกุณากระพือปีกมุ่งหนาว งานเลี้ยงเคล้าเตาเมฆอบอุ่นทั้งกายใจ พิณสามฉื่อทั้งเหมยล้วนเบ่งบาน ดนตรีคลายหมอกม่านกระจ่างใส บอกตนไร้พิณเซียวในหัวใจ กลับพเนจรร่อนไปสุดฟ้าอัมพร”
ต่งจื้อปรบมือกล่าวว่า “ดีจริงๆ ‘บอกตนไร้พิณเซียวในหัวใจ กลับพเนจรร่อนไปสุดฟ้าอัมพร’ เห็นได้ว่าจิตใจของสุยอวิ๋นประดุจดังจันทร์กระจ่างฟ้าโปร่ง ไร้พรมแดนปิดกั้นเพียงนี้ ย่อมต้องจิบสุราหนึ่งจอก”
ข้ารับจอกสุราที่เสี่ยวซุ่นจื่อส่งมาให้ พูดยิ้มๆ ว่า “ยามสุยอวิ๋นอยู่ที่หนานฉู่ เพราะไร้ปัญญาทั้งยังตำแหน่งต่ำต้อย จึงจำเป็นต้องขบคิดเค้นสมองอย่างหนัก ไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย ตอนนี้นับว่าหลุดพ้นกรงขังแล้ว ที่เรียกกันว่า ‘หลอมรวมสู่ธรรมชาติ’ ก็เป็นเช่นนี้เอง พี่หย่งเฉวียน เหตุใดต้องปลดเปลื้องข้าออกจากอิสระ บีบบังคับให้ข้าอยู่ในกรงขังด้วยเล่า”
โก่วเหลียนคล้ายถูกคำพูดอุดปาก ทำได้เพียงหัวเราะเจื่อนๆ ส่วนข้ากลับยิ้มพราย พูดต่อว่า “เมื่อก่อนข้ากับพี่ต่งเคยหารือเกี่ยวกับเรื่องกระบวนทัพ วันนี้กลับต้องการให้พี่ต่งสั่งสอนเรื่องบทกวีเสียแล้ว”
ต่งจื้อคำนับแล้วกล่าวว่า “คงได้แต่แสดงความด้อยให้ทุกท่านเห็นแล้ว” จากนั้นจึงลุกขึ้น เอื้อนเอ่ยบทกวี “ดาราชี้บอกบูรพา กลับพเนจรร่อนมาทิศเหนือ ไร้แม่สื่อไร้คนทามทาบ พลาดโอกาสรับใช้อ๋องกล้านายดี หิมะราตรีร่วงสู่เท้า น้ำค้างแข็งยามเช้าเต็มเสื้อขาดวิ่น แขกแดนไกลไร้ใจทิ้งสุราเลิศ สดับเสียงสกุณาคลอเคล้าเมามาย”
เมื่อข้าฟังถึงตรงนี้มือพลันสั่นระริก สุราจอกหนึ่งคล้ายรินเทลงบนโต๊ะ ขณะที่ข้าเป็นขุนนางอยู่หนานฉู่ แม้เดิมทีจะไม่มีโอกาสรับใช้นายดี ไร้อุดมการณ์รวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง ทว่าต่อมาทุกอย่างที่ข้าพบเจอกลับทำให้ข้านึกเสียใจกับการเลือกในตอนแรก หากเมื่อปีนั้นข้าถูกยงอ๋องพากลับมาที่นครฉางอันจริงๆ อาจไม่ต้องพบกับความทุกข์ตรมรวดร้าวที่บ้านเมืองแว่นแคว้นล่มสลายก็เป็นได้ ตอนนี้ข้ามาเป็นแขกที่นครฉางอัน มองไปไม่เห็นกลุ่มควันของหนานฉู่ ความโศกเศร้าประดุจห่านป่าไร้คู่เช่นนี้ แม้เป็นข้าที่ทอดทิ้งมาตุภูมิกึ่งเต็มใจกึ่งไม่เต็มใจก็ยังเต็มไปด้วยรสชาติขมฝาดในปาก ยกจอกสุราขึ้นเนิบช้า จิบสุราชั้นเลิศ ปล่อยสุราไหลลงท้อง ความรู้สึกหม่นหมองยิ่งเพิ่มเป็นทวี
ข้าที่เริ่มรู้สึกเมามายบ้างแล้วหยิบตะเกียบเงินมาแท่งหนึ่งตามแต่ใจ เคาะกาสุราสร้างดนตรี พลางร้องว่า
“ยกสุรามาศาลาหลินปัว ทอดมองทุกสิ่งสุดหล้าประจักษ์แจ้ง ทิวทัศน์แลคล้ายคลึงทั่วหล้า หลับใหลดุจขงเบ้งนิทรา ไร้อาสาไร้รู้สึกไร้ใจ ปักษาโบยบินแห่งหนใด เหยียบหิมะเกาะกิ่งสนขมขื่น คิดทำลายความสงบที่ชอบชื่น ผมขาวหงอกเกศาร่วงแล้วโรยรา ภูผาธาราล้วนไร้ใจ ดอกเหมยขจรขจายห่างเหิน วาโยพัดพาคลอเคล้าเริงรื่น ยั่วยุจันทรามิหมางเมินมิจากคลาย ห่านป่าสดับเสียงพิณเซียว คนงามเพียงใดยังมิเหลียวลาจาก ธาราโศกนภาหนาวไร้คลื่น วารีลึกเย็นดุจน้ำแข็งยากละลาย รถม้าพังทลายสี่ทิศ คนเดินดินขาหักยากเดินไหว เรียนถามใครเศร้าใครห่วงใย หล่อหลอมกลายเป็นความคิดผิดพลาดพลั้งไป คะนึงถึงยามนั้น กลืนทั้งโลหิตและเหงื่อที่หลั่งไหล เสียงขลุ่ยยามค่ำคืนยาวนานเพียงใด สุดท้ายกลับต้องแตกสลาย ไร้ลักษณ์ไร้เศษใด”
เมื่อข้าร้องจบก็ร้องขึ้นอีกว่า “แม้วันนี้เลือกทางผิด ยังคะนึงถึงยามนั้น กลืนทั้งโลหิตและเหงื่อที่หลั่งไหล เสียงขลุ่ยยามค่ำคืนยาวนานเพียงใด สุดท้ายกลับต้องแตกสลาย ไร้ลักษณ์ไร้เศษใด”
ย้อนคิดถึงตอนที่ข้าวางแผนให้เต๋อชินอ๋องเมื่อปีนั้น ทุกค่ำคืนล้วนยากข่มตา น่าเสียดายกลับทำได้เพียงเคารพอยู่ห่างๆ คิดอยากเข้าไปร่วมวางแผนหรือทัดทาน แต่กลับมิอาจใช้งานข้าอีกตลอดไป ในใจข้าพลันเกิดความโศกเศร้าถาโถม น้ำตาหลั่งไหลดุจหยาดพิรุณ