ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 55 ชมหิมะร่ายบทกวี (2)
ต่งจื้อรีบลุกขึ้นยืน กล่าวขออภัยว่า “เป็นข้าไม่ดีเอง กระตุ้นให้สุยอวิ๋นคิดถึงเรื่องในใจแล้ว โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
ข้ารีบโบกมือพูดว่า “ข้าหดหู่เศร้าสลดมานานหลายวัน สุดท้ายทุกสิ่งอย่างล้วนว่างเปล่า ต้องขอบคุณบทกวีอันยอดเยี่ยมของพี่ต่งจริงๆ”
ต่งจื้อไม่กล้าเกลี้ยกล่อมข้าอีก ในใจคิดว่า ดูท่าทางในใจเขายังคงคิดถึงหนานฉู่อย่างลึกล้ำยากจะคลาย เช่นนี้จะทำอย่างไรดี เขามองไปทางยงอ๋อง หลี่จื้อมีสีหน้าชื่นชมทว่ายังคละเคล้าไปด้วยความโศกเศร้าปวดใจ
กวนซิวเห็นดังนั้นจึงรีบพูดว่า “ความรู้ทางอักษรของข้าตื้นเขินยิ่งนัก ขอทุกท่านอย่าได้หัวเราะเยาะไป”
กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน ถือจอกสุราร่ายกลอนว่า
“เดินข้ามผ่านเหมันต์อันยะเยือก หากโปรดหิมะย่อมต้องข่มกลั้นความหนาว ดึงลำไผ่ทำเป็นจอกใส่สุรา สะพายตะกร้าสานเดินขึ้นคีรี ยามเมื่อผมขาวหงอกย้อม เมื่อมองย้อนกลับเห็นเพียงความดื้อรั้น ขอบคุณสวรรค์ที่บันดาลความเกียจคร้านมาให้ข้า แม้นักพรตยังติดหนี้สรรพสัตว์ ส่วนข้าอยู่ในกระโจมขาวดอกเหมยแดง ดุจจมจ่อมกลางภาพฝัน”
ทุกคนได้ยินก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ โก่วเหลียนถูกสุราที่ค้างอยู่ในปากทำเอาสำลัก เช็ดน้ำตาพลางกล่าวว่า “เหล่ากวน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยรู้เลยว่าท่านมีอารมณ์ขันเพียงนี้ วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
ข้าก็หัวเราะเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ ยกจอกสุราขึ้นกล่าวว่า “พี่กวน นับเป็นบทกวีที่ดีจริงๆ สุยอวิ๋นนับถือ สู้ไม่ได้ สู้ไม่ได้จริงๆ” ทุกคนหัวเราะเฮฮากันคำรบหนึ่ง บรรยากาศจึงคึกคักครื้นเครงขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อครู่เสี่ยวซุ่นจื่อเห็นข้าเศร้าสลดจึงลอบถลึงตาใส่ต่งจื้อด้วยความขุ่นเคืองอย่างอดไม่อยู่ เมื่อเห็นว่าบทกวีของกวนซิวทำให้ข้ามีสีหน้าเบิกบาน ในใจพลันรู้สึกเปรมปรีดิ์ไปด้วย รีบยกสุราที่เพิ่งอุ่นร้อนไปเมื่อครู่มารินให้กวนซิว ในดวงตาส่องประกายเบิกบานใจ ทว่ากลับถูกสืออวี้ที่แย้มยิ้มจ้องมองอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดเห็นเข้า เขาจึงกล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ภักดีจริงๆ”
ทุกคนเห็นข้าเบิกบานขึ้นแล้วจึงค่อยผ่อนลมหายใจได้เปลาะหนึ่ง พวกเขามิได้มาทำให้ข้าขุ่นเคือง ยิ่งไปกว่านั้น ภายหลังยังมีบทกวีอีกมาก มิอาจปล่อยให้ข้าบันดาลโทสะจนหนีไปเสียก่อน
สืออวี้ลุกขึ้นยืน “ท่านเจียง ผู้แซ่สือพบท่านเจียงช้าไปจริงๆ น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับท่าน สุราจากนี้ข้าขอคารวะแก่ท่านเจียง ขอให้ท่านเจียงเปี่ยมสุข สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง”
ข้าก็ลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “ท่านสือทำเช่นนี้ สุยอวิ๋นไม่กล้ารับจริงๆ สุยอวิ๋นได้ยินมานานว่าท่านสือคือเซียวเหอ[1] ของยงอ๋อง องค์ชายออกเดินทางปฏิบัติราชกิจอยู่ด้านนอก ท่านสือก็คอยดูแลด้านหลังให้องค์ชายอยู่เสมอ หากไม่มีท่านสือ เกรงว่าองค์ชายคงถูกศัตรูลอบโจมตีจากด้านหลังไปนานแล้ว นับเป็นอัจฉริยะยอดคนจริงๆ สุยอวิ๋นนับถือมาตลอด”
สืออวี้กล่าวยิ้มๆ “สุยอวิ๋นยกยอข้าเช่นนี้ กลับทำให้ข้ารู้สึกละอายใจนัก”
ยงอ๋องลุกขึ้นยืน “นี่มิใช่การยกยอ หากข้าไม่มีท่านสือ จะมีวันนี้ได้อย่างไร”
ยงอ๋องอดคิดถึงยามที่ตนออกไปทำภารกิจอยู่ด้านนอกไม่ได้ ยามนั้นรัชทายาทมักคอยจับจ้องอยู่ด้านหลัง หากมิใช่ว่าสืออวี้คอยดูแลหลังให้ตนที่ออกไปด้านนอก ตนจะทำสงครามรบชนะทุกคาบสมุทรได้อย่างไร หลี่จื้อยกจอกสุราขึ้น กล่าวว่า “วันนี้ข้าขอคารวะท่านสือหนึ่งจอก แทนความรู้สึกซาบซึ้งใจของข้า”
สืออวี้รีบยกจอกสุราคารวะกลับ น้ำตาไหลคลอเบ้า ผ่านไปครู่หนึ่งสืออวี้จึงกล่าวว่า “ความรู้ด้านบทกวีของผู้แซ่สือไม่สูงนัก แต่จะพยายามสุดความสามารถ ขอองค์ชายและทุกท่านอย่าได้ขบขันไปเลย”
กล่าวจบก็เอื้อนเอ่ยบทกวี “นครฉางอันหลังหิมะเหมันต์ กลับคืนสู่วสันต์ที่เคยร่วงหาย กวีออกมาขับกลอนสาธยาย แสงเทียนสีเงินคล้ายแสงสะท้อนจากอาภรณ์ จันทราย่างสู่แดนประจิม เหนือบุรินทร์ถูกเมฆากระจ่างกักขัง ยินเสียงดนตรีแว่วพิสุทธิ์ดุจหิมะเหมันต์ ล่องมาคลอเคล้ายามผู้คนบางตา”
ข้าคลี่ยิ้มกล่าวชมไปว่า “บทกวีของท่านสือ เพียงสดับก็คล้ายเห็นบุคลิกองอาจดุจอัครมหาเสนาบดีแล้ว น่าเสียดายที่สุยอวิ๋นเพิ่งมาแดนเหนือได้ไม่นาน มิเช่นนั้นจะต้องเห็นท่านสือนำฝูงชนขับบทกวีเคล้าดนตรีเป็นแน่”
สืออวี้ยิ้มเจื่อน “หากสุยอวิ๋นยอมลดตัว สืออวี้ยินดีรอเข้าคู่กับท่าน”
ข้ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ผู้แซ่เจียงเป็นคนสมถะ มิอาจทนรับไหว หากท่านสือกล่าวเช่นนี้ จะไม่ทำให้ผู้น้อยอายุสั้นหรือไร สุยอวิ๋นมีเพียงบทกวีเล็กๆ แทนคำขอบคุณในเจตนาดีของท่านสือ”
กล่าวจบข้าก็เริ่มร่ายบทกวี “เมฆาแข็งลึกล้ำ วาโยอ่อนเบาลอยล่อง เหมันต์หนาวคลุมถิ่นแผ่ขจร หิมะโปรยพลิ้วร่อนทั่วท้องนภา ดอกเหมยยามเช้าบานสะพรั่ง รับแดดส่องจ้าสว่างไสว สดใสมิเคยโรยราไป มีเพียงหาญกล้าคงทน ดนตรีของมวลหยก ภาพโรงเตี๊ยมแลกลิ่นสุราหอม เทียบทิวทัศน์ที่ได้ทัศนาจร คุณค่าพลันพุ่งขจรไกล ขายบุปผาในตรอกแปลกหน้า พบเพียงแสงเทียนส่องมาชวนฉงน นับเป็นยามเทศะยอดเยี่ยมน่ายล จะอยู่อย่างสุขสมได้หรือไร บิดพลิ้วปลิวไปตามลมหนาว โยกคลอนไปมาหลายครั้งครา นับเป็นแสงสว่างกลางราตรี ถนนหยกบุปผางามล้น เกิดประกายวาววับแผ่ขยาย แลเห็นพลันรู้สึกสบายฤทัย เปี่ยมสะดวกมากสบาย น่าสัญจรท่องไปด้วยสุขล้นอุรา”
ร้องจบ ข้าก็ยิ้ม พูดว่า “ยามนี้ทิวทัศน์งดงามยิ่ง เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวทัศนาจร เหตุใดต้องสนทนาเรื่องแว่นแคว้นเรื่องการทหารด้วยเล่า ยิ่งคิดกลยุทธ์ยิ่งชวนให้หงุดหงิดรำคาญใจ ในอดีตผู้สูงศักดิ์ค้นหาผู้มากพรสวรรค์ ทว่าผู้แซ่เจียงกลับไร้ความสามารถ มิอาจอยู่กินข้าวของยงอ๋องได้ ทั้งยังมิอาจกินเงินเดือนจากต้ายงได้เช่นกัน”
ทุกคนได้ยินดังนั้นพลันรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ หลี่จื้อลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ท่านเจียงมีปณิธานสูงส่งสะอาดบริสุทธิ์ ข้ารู้สึกนับถือนัก”
ข้ายิ้มพราย “องค์ชายเป็นเจ้าบ้านของที่แห่งนี้ สมควรร่ายบทกวีสักบทเพื่อแสดงความคิดในใจหรือไม่”
หลี่จื้อกล่าว “เช่นนั้นทำให้ท่านเจียงขบขันแล้ว”
กล่าวจบก็เอื้อนเอ่ยเสียงใส “ราชสำนักหม่นหมองดุจหมอก ม้วนสีแดงไร้แสงใดคลอเคล้า ล้วนขมวดปมด้วยสีแสงแห่งเกียรติยศ แข็งตัวคล้ายน้ำแข็งไถลลื่นแสนไกล หอน้อยส่องแสงเรืองรอง สะท้อนม่านพิศวงรุมเร้า กิ่งหลิวปลิวพลิ้วตามลม แต่งแต้มเหมยแดงจนพิลาสงามตา พิศมองจันทราเต็มดวง คล้ายมีประกายทองสกาวใส ขั้นบันไดพิสุทธิ์แลไม่ไกล มองลงมาเห็นพฤกษาหยัดยืน สะท้อนเห็นสาสน์แสดงรัก คล้ายถูกสายบัวพันรัดมิอาจก้าว ลมหายใจกระชั้นถี่ใกล้สิ้นชีวา สติล่องสัญจรไปในม่านอัมพร ยึดครองคุณธรรมที่แฝงซ่อน ประกาศก้องความรุ่งเรืองที่เรียกหา เกสรพลิ้วเข้าเขตหวงห้ามแห่งนครา นกกระสาคลอเคล้าขับทำนองพรรณนาบุปผา สุขอุราไปพร้อมทิวไผ่งาม”
ข้าดื่มด่ำไปกับบทกลอนเนิ่นนาน จากนั้นจึงกล่าวด้วยความเลื่อมใส “บทกวีขององค์ชาย เห็นได้ชัดว่าฝึกฝนเรียนรู้มาอย่างมั่นคงมิเคยว่างเว้น ทั้งยังแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจ ให้ความรู้สึกดั่งจักรพรรดิ นี่นับเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่ง ส่วนบทกวีของพวกกระหม่อม แม้งดงามแต่กลับไร้ประกาย สุยอวิ๋นเลื่อมใสนัก เลื่อมใส”
หลี่จื้อกล่าวยิ้มแย้ม “ข้าเป็นองค์ชาย บุคลิกดังจักรพรรดิหรือ คำนี้ข้ามิกล้ารับจริงๆ ท่านเจียงอย่าได้ทำร้ายข้าเลย นับว่าไม่ขายหน้าเป็นพอ ข้ารู้สึกพอใจนัก กลับเป็นบทกวีของสุยอวิ๋นงดงามไพเราะตั้งแต่ต้นจรดปลาย”
ข้ายิ้มตอบ “หากร่ายบทกวีต่อไป กระหม่อมคงเป็นท่านเจียงไร้พลังแล้ว”
ข้าเมามายไปแล้วถึงเจ็ดส่วน รู้สึกร่างกายร้อนผะผ่าวจึงปลดสาบเสื้อขนสัตว์ออกเล็กน้อย เดินไปริมศาลา เงยหน้ารับลมกล่าวว่า
“มีกายาดั่งมนุษย์ อย่าหลงผิดคิดโบยบินดั่งมังกร หากแม้นมีมังกรซ่อน อย่าตะลอนหาจับพยัคฆ์ร้าย พิศดูฉางอันในวันวาน คล้ายดั่งเซียนเกศาขาวงามพิลาส ซุกกายซ่อนตัวในกาหยก ไยต้องกลัดกลุ้มกับสุราของแขกเหรื่อแดนไกล แขกมากสุขมาก มิสู้จิบรสหวานล้ำเคล้าแสงเทียน สดับเสียงลมกระทบไผ่ เชื้อเชิญมาเมามายกลางน้ำสุรา ตะวันลับลายามใดล้วนมืดหม่น ปุยหิมะขาวโปรยปรายในครรลอง ยามเลื่อมใสผุดลุกขึ้นเต้นร้อง ปลดเปลื้องความหนาบเหน็บในกายา ทะยานข้ามลำน้ำเคล้าเสียงกลอง คล้ายเห็นหอหมิงเยว่อยู่ไกลๆ”
สิ้นสุดเสียงเอื้อนเอ่ยบทกวียาว ข้าก็เดินกลับมาหน้าโต๊ะ ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมด ความเมามายทำให้ข้าเลอะเลือนจนหัวเราะดังลั่น “วันนี้กลับไปอย่างมีความสุข สุยอวิ๋นต้องขอบพระทัยองค์ชายแล้ว”
หลี่จื้อมองเจียงสุยอวิ๋น วันนี้มาชมหิมะ ในความคิดของเขาเพียงอ๋องหาโอกาสให้ซื่อจื่อมาคารวะอาจารย์เท่านั้น และหาทางใกล้ชิดกับเจียงสุยอวิ๋นไปตามโอกาส คิดไม่ถึงว่าบทกวีของเจียงสุยอวิ๋นจะน่าสนใจเพียงนี้ ในทางลับซ่อนแฝงไปด้วยการต่อต้านคำเกลี้ยกล่อมของทุกคน ไม่เปิดช่องว่างแม้แต่น้อย ในทางตรงใช้บทกวีกดข่มผู้คน ความสง่างามเช่นนี้ไม่รู้ว่าคนผู้นี้มีอัจฉริยภาพสะท้านฟ้าเพียงใด มิอาจปล่อยไปได้เป็นอันขาด เมื่อคิดถึงตรงนี้ในใจก็ยิ่งแน่วแน่
ตอนนี้เอง เสี่ยวซุ่นจื่อถือโอกาสเดินมาข้างกายข้า กระซิบข้างหูว่า “มีคนมาขอรับ คุณชายระวังเสียวาจาด้วย”
จากนั้นจึงจัดอาภรณ์ให้ข้าจนเรียบร้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณชายสุขภาพไม่ดี วันนี้ก็ดื่มไปหลายจอก อย่าปล่อยให้ต้องลมเย็นเลยขอรับ”
สติของข้าพลันกระจ่างชัด ในหูได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วมา ฟังคล้ายเสียงฝีเท้าของคนประมาณสี่ห้าคน ในนั้นมีคนหนึ่งฝีเท้ากระชั้นถี่ ร่างกายเบาหวิวคล้ายเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่ง
ข้าที่ได้สติแจ่มชัดขึ้นบ้างแล้วรับผ้าร้อนที่เสี่ยวซุ่นจื่อส่งมาให้ นำมาเช็ดใบหน้าแล้วกล่าวว่า “ผู้แซ่เจียงร่ำสุราจนเสียกิริยาแล้ว ขอองค์ชายและทุกท่านโปรดอภัยด้วย”
[1] เซียวเหอ ที่ปรึกษาคนสนิทของหลิวปังในช่วงต้นราชวงศ์ฮั่น