ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 7 ชมภาพวาดและถูกใส่ความ (1)
รัชศกเสี่ยนเต๋อ จี่ซื่อ[1] ปีที่สิบแปดเดือนสาม ข้าอายุยี่สิบสองแล้ว เมื่อครั้งที่ข้าเพิ่งสอบได้จ้วงหยวน มีคนไม่น้อยมาเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ข้าถึงประตู ล้วนถูกข้าปฏิเสธจนสิ้น เหตุผลที่ใช้คืออายุยังน้อย ต้องการอ่านตำรับตำราให้มาก สร้างผลงานเพื่อราชสำนัก ภายหลังเรื่องเช่นนี้ยิ่งน้อยลงทุกวัน เนื่องจากผู้มีสายตากว้างไกลล้วนดูออกว่า ข้าซึ่งเป็นจ้วงหยวนหนุ่มแน่นไม่มีใจคิดทะยานโบยบินอันใด เอาแต่จมอยู่ในกองหนังสือจนถึงขั้นคลั่งไคล้เสียด้วยซ้ำ คนเช่นนี้ไม่เหมาะกับความต้องการของตระกูลใหญ่ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้ความสงบอันหาได้ยากยิ่งกลับมา
วันนี้ข้ามาทำงานที่สำนักฮั่นหลินตามกิจวัตร กลับพบคนกลุ่มหนึ่งล้อมวงกันอยู่ในห้องโถง ข้าเกิดความอยากรู้อยากเห็นอย่างอดไม่อยู่ ต้องทราบว่าแม้จะถูกเรียกขานเป็นบัณฑิตฮั่นหลิน ทว่าในสำนักฮั่นหลินยังแบ่งเป็นระดับสูงต่ำ เนื่องจากข้าเป็นจ้วงหยวนจึงได้ข้ามตำแหน่งที่ต่ำที่สุดอย่างซู่จี๋ซื่อและเจี่ยนเถ่า กลายเป็นเปียนซิวซึ่งเป็นขุนนางขั้นเจ็ดโดยตรง เหนือจากนี้ยังมี เปียนจ้วน ซื่อเจี่ยง ซื่อตู๋ บัณฑิตซื่อเจี่ยง บัณฑิตซื่อตู๋ และหัวหน้าสำนักศึกษาอยู่อีก รวมแล้วมากมายหลายระดับ
ข้าพบว่า ในหมู่คนกลุ่มนั้นมีเซี่ยเสียนหัวหน้าสำนักฮั่นหลิน จิ้นซื่อผู้ได้อันดับสองที่ร่วมสอบครั้งเดียวกับข้าคนหนึ่ง และซู่จี๋ซื่ออีกคนหนึ่ง นี่ทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจนัก ต้องทราบว่าเหล่าผู้ที่เหนือกว่าบัณฑิตซื่อเจี่ยงขึ้นไปล้วนเป็นคนที่ตามเสด็จข้างพระวรกายเจ้าแคว้นอยู่บ่อยๆ เหตุใดจึงมาล้อมวงอยู่ด้วยกันเล่า
ข้าเดินเข้าไปเห็นบัณฑิตอิ่นและบัณฑิตเถียนกำลังถกเถียงอันใดไม่จบไม่สิ้น บนโต๊ะที่อยู่กลางพวกเขามีภาพโบราณม้วนหนึ่งวางไว้ มีอักษรสีแดงประทับอยู่ด้านข้าง ในนั้นเขียนว่า ‘ชิงซานจวี่ซื่อหันสู่นที’ ที่แท้พวกเขากำลังถกกันว่าภาพนี้คือของจริงหรือของปลอม ข้ากระจ่างแจ้งขึ้นมาโดยพลัน ตั้งแต่เจ้าแคว้นมีราชโองการก่อตั้งตำหนักฉงเหวิน คนไม่น้อยพากันส่งอักษรภาพและตำรับตำราล้ำค่ามาให้ หวังได้รับการรวบรวมเข้าไปด้วย เพียงแต่ผลงานชิ้นเอกอันแท้จริงกลับหาได้ยากยิ่ง
บัณฑิตอิ่นกล่าวด้วยท่วงท่าสง่างาม “ภาพนี้จะต้องเป็นภาพปลอมแน่นอน ผลงานของชิงซานจวี่ซื่อล้วนเป็นภาพขุนเขาธาราเขียว มีลักษณะวิจิตรตระการตา ทว่าภายหลังเนื่องจากเข้าสู่ทางพุทธ ผลงานส่วนใหญ่จึงเป็นภาพขุนเขาธาราหมึก อารมณ์ของภาพแปรเปลี่ยนไปงดงามสงบนิ่ง แม้ภาพนี้จะเป็นภาพขุนเขาธาราหมึก แต่ท่านลองดูเถิด ฝีพู่กันคมเฉียบฉวัดเฉวียน เมฆหมอกในภาพราวจะพุ่งปะทะหน้า ธาราไหลเชี่ยวเกรี้ยวกราดคล้ายมีเสียงปะทุออกมา ดังนั้นข้าจึงกล่าวว่านี่มิใช่ผลงานของชิงซานจวี่ซื่อ”
บัณฑิตเถียนไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน “ท่านกล่าวเช่นนี้ แม้จะมีเหตุผล แต่ลองดูคุณภาพของกระดาษก่อนเถิด นี่คือกระดาษเหลียนเหวินที่เลือกมาอย่างพิถีพิถัน แม้จะเก็บรักษาอย่างดี แต่ยังดูออกว่าสมควรเป็นผลงานภาพวาดในยุคสมัยของชิงซานจวี่ซื่อเมื่อสองร้อยปีก่อน ท่านลองดู บนภาพวาดมีตราประทับพุทธองค์ทั้งห้าของชิงซานจวี่ซื่ออยู่ด้วย ดูจากถ้อยคำสั้นๆ บนม้วนภาพแล้ว ย่อมมิใช่ปัญหาเด็ดขาด”
คนอื่นต่างสนับสนุนแต่ละฝ่าย ถกเถียงกันมิหยุดพัก ข้าพลันเกิดความสนใจ ยืนสำรวจอย่างละเอียดอยู่ครู่ใหญ่ พยายามค้นหาจากความทรงจำอยู่นาน ในที่สุดจึงตัดสินได้แน่ชัด ยามนี้เอง พวกเขาเห็นการมาเยือนของข้าแล้ว เนื่องจากระยะนี้ข้าแสดงออกว่าเชี่ยวชาญการประเมินภาพอักษร ทั้งยังเป็นผู้มาใหม่ บัณฑิตทั้งสองจึงหันมาทางข้าอย่างมิได้นัดหมาย หัวหน้าสำนักฮั่นหลินกระแอมออกมาครั้งหนึ่ง “สุยอวิ๋น เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
ข้าเดินมาเบื้องหน้ารูปภาพ พิจารณาอย่างละเอียดก่อนเอ่ยปาก “ประการแรก ดูจากถ้อยอักษรที่เขียนอยู่บนภาพ ปรากฏอักษรความว่า ‘ให้พี่เคอจื่อชมเล่น’ ด้านล่างเขียนว่า ‘สรรค์สร้างยามชูจิ่ว [2]เดือนเจ็ด ปีเจี่ยเซิน[3] หลังรัชศกหยวนโย่วสองปี’ ด้านล่างเป็นตราประทับนาม ‘หลันซื่อหลิงเฉวียน’ มุมทั้งสี่ด้านมีตราประทับของชิงซานจวี่ซื่อ โดยมุมซ้ายบนคือตราประทับอักษรแดง ‘รูปภาพหนิงเฉวี่ยน’ มุมซ้ายล่างใช้ตราประทับอักษรขาว ‘หลินหยวนถัง’ มุมขวาบนใช้ตราประทับอักษรขาว ‘หลันซื่อเจี่ยง ผู้ดูแลหอขุยจาง’ และมุมขวาล่างคือตราประทับอักษรแดง ‘ชิงซานจวี่ซื่อ’ ปกติตราประทับทั้งสี่ล้วนเคยปรากฏในผลงานของชิงซานจวี่ซื่อทั้งสิ้น ในด้านการจำแนกตราประทับ ใต้เท้าเถียนนับเป็นผู้ยอดเยี่ยมโดดเด่น ย่อมดูไม่ผิดเป็นแน่ เมื่อพิจารณาจากผลงานศึกษาค้นคว้า เดิมชิงซานจวี่ซื่อเป็นบัณฑิตเลื่องชื่อของต้าจิ้น กินตำแหน่งบัณฑิตซื่อเจี่ยงขั้นสี่พิเศษแห่งหอขุยจาง ภายหลังชิงซานจวี่ซื่อเสียใจเรื่องแว่นแคว้นจึงเดินทางออกจากซีจิ้น (จิ้นตะวันออก) สู่แดนใต้ เร้นกายอยู่ที่หลินยวนถังในสู่จง ว่ากันว่า ยามนั้นจวี่ซื่อยากจนมิอาจพึ่งพาตนเอง โชคดีที่เคอหมิงคหบดีชาวสู่จงให้ความช่วยเหลือจึงข้ามผ่านกลียุคหลายปีนั้นมาได้ พวกท่านลองดูมุมขวาล่างของภาพ มีตราประทับสองด้านของตระกูลเคอปรากฏ เห็นได้ว่า ภาพนี้ชิงซานจวี่ซื่อมอบให้เคอหมิง”
ข้าสูดหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวต่อไป “ตราประทับเหล่านี้ล้วนมีที่มาที่ไป ยิ่งกว่านั้นข้าเคยอ่าน ‘บันทึกเรื่องราวในแดนสู่จง’ ของชิงซานจวี่ซื่อ ในวันที่เก้าบันทึกไว้ว่า ‘ฤดูชิวเฟิน[4] จื่อหยวนจัดงานเลี้ยง แขกและเจ้าบ้านเพลิดเพลิน ก่อนจาก เคอซื่อกุมมือขอยลผลงานอันต่ำต้อย ข้ารับรู้ถึงความจริงใจจึงกลายเป็นภาพหันสู่นที’ ภายหลังข้าอ่านบันทึกของคนสกุลเคอ แม้สกุลเคอจะสูญสิ้นไปแล้ว ทว่าข้าจำได้ ใน ‘บันทึกแดนสู่ บทสือฉง’ ซึ่งเป็นผลงานของเถาไคสมัยปลายราชวงศ์ตงจิ้น (จิ้นตะวันออก) เคยกล่าวว่า ‘ยามสือฉงต้อยต่ำ เคยรับใช้สกุลเคอ สกุลเคอปฏิบัติอย่างโหดร้าย ภายหลังสือฉงกลายเป็นผู้ร่ำรวยมั่งคั่งในใต้หล้า คิดสมคบเหล่าขุนนางในราชสำนัก ล้างแค้นสกุลเคอ ประหารเก้าชั่วโคตร’ พวกท่านลองดู บริเวณมุมซ้ายล่างของรูปภาพมีตราประทับ ‘ของสะสมลับสวนผาทอง’ ของสือฉงอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ภายหลังสือฉงตายด้วยโรคระบาด ทรัพย์สมบัติล้วนถูกริบเข้าคลังหลวง พวกท่านดู ซ้ายกลางมี ‘ตราประทับฉางหลิงอ๋อง’ อยู่ด้วย เขาคืออ๋องปลายราชวงศ์ตงจิ้นที่ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิหย่วนแห่งจิ้น และผู้ที่ริบทรัพย์สือฉงก็คือจักรพรรดิหย่วนพระองค์นี้เอง ดังนั้นเป็นไปได้มากว่า ภาพนี้จะตกอยู่ในมือของฉางหลิงอ๋อง จากเหตุทั้งหมดทั้งมวล จะเห็นว่าภาพนี้ถูกสืบทอดอย่างประจักษ์ชัด ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเป็นของจริง”
ทุกคนได้ยินพลันผงกศีรษะปลกๆ มีเพียงบัณฑิตอิ่นที่กล่าวอย่างมิยอมแพ้ “สิ่งเหล่านี้นับว่าท่านกล่าวได้ถูกต้อง ทว่าจะอธิบายลักษณะการวาดอย่างไร”
ข้ายิ้มกล่าว “จุดนี้เป็นเพียงแนวคิดของข้า หากผิดพลาดประการใดขอทุกท่านโปรดชี้แนะด้วย ภาพวาดก่อนหน้านี้ของชิงซานจวี่ซื่อมีลักษณะสดใสเฉียบคม ดังนั้นจึงชอบภาพขุนเขาธาราเขียว ทว่าหนึ่งถึงสองปีก่อนอพยพไปแดนใต้ ลักษณะภาพของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปสุขุมนุ่มลึก ปรากฏภาพขุนเขาธาราเขียวน้อยลง กลับใช้น้ำหมึกกดลาก ใช้สีอ่อนเป็นพื้นถมทับสีเขียวขจีสดใส บางครั้งภาพขุนเขาธาราหมึกก็ปรากฏให้เห็นบ้าง หลายปีที่อยู่ในสู่จง ชิงซานจวี่ซื่อเผยแพร่ผลงานเพียงไม่กี่ชิ้น กระทั่งหลังตงจิ้นสงบจึงค่อยเริ่มมีภาพขุนเขาธาราหมึกปรากฏ ทว่าช่วงแรกยังชอบใช้หมึกเข้มสะบัดวาด ฝีพู่กันหนักแน่น เมื่อมองจากส่วนนี้ ข้าคิดว่าช่วงเวลาในสู่จงต้องเป็นช่วงเวลาที่แนวภาพของชิงซานจวี่ซื่อเริ่มเปลี่ยนไปเป็นแน่ นี่จึงสอดคล้องกับการตกทอดของผลงานต่างๆ ถึงอย่างไรก็มิใช่ผลงานที่สุกงอม จึงมักถูกเจ้าของเผาทำลายอยู่บ่อยๆ ข้าเคยอ่านในตำรา ‘บันทึกเรื่องราวในแดนสู่’ ม้วนที่เจ็ด มีบันทึกเรื่องชิงซานจวี่ซื่อทำลายภาพผลงานอยู่ด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนจึงยอมรับการตัดสินของข้า ทั้งสายตาก็เปลี่ยนไปสนิทสนมเป็นมิตร อย่างไรเสียผู้ที่มีความทรงจำเป็นเลิศเช่นข้าก็พบเห็นได้ไม่มากนัก
หลังเรื่องนี้ ข้าก็มีงานเพิ่มขึ้น งานสำคัญที่สุดคือการจัดระเบียบและสังคายนาราชโองการถึงคลังตำราหลวง เดิมทีขณะรอตำหนักฉงเหวินสร้างเสร็จ มีคนเสนอว่า หนานฉู่ของเราก่อตั้งแคว้นมาแล้วหกสิบปี มีจ้าวเซ่อจักรพรรดิผู้ก่อตั้งแคว้นและจ้าวเซิ่งจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเพียงสองรัชสมัย ทว่าประวัติศาสตร์ในพงศาวดารกลับมิสมบูรณ์ จึงหวังใช้โอกาสนี้สังคายนาราชโองการที่เขียนด้วยมือและประกาศจากราชสำนักที่มีลายพระหัตถ์ขององค์จักรพรรดิให้เรียบร้อย เพื่อให้ลูกหลานแห่งราชวงศ์และขุนนางผู้มีความดีความชอบศึกษา
แม้ข้าจะคิดว่าน่าเบื่อหน่าย แต่คนในสำนักฮั่นหลินทั้งบนล่างต่างเห็นพ้องอย่างยิ่ง หลังจากร้องทูลต่อเจ้าแคว้น เจ้าแคว้นพลันมีใบหน้าปีติยินดี ทว่าการจัดระเบียบราชโองการและประกาศราชวงศ์ที่มีลายพระหัตถ์เหล่านั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก แม้ข้าเป็นขุนนางหน้าใหม่ แต่เพราะข้ามีความสามารถไม่ธรรมดา เซี่ยเสียนหัวหน้าสำนักฮั่นหลินจึงตัดสินใจให้เซี่ยส่ง บัณฑิตซื่อตู๋ผู้มีประสบการณ์มากที่สุดเข้ามาเป็นผู้รับผิดชอบ และให้ข้าเป็นผู้ช่วยเซี่ยส่ง แต่ความจริง เซี่ยส่งอายุอานามเกินหกสิบปีแล้ว อีกไม่นานจะเกษียณ ดังนั้นแท้จริงข้าจึงเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนบัณฑิตเซี่ยส่งน่ะหรือ หลังวิ่งตามข้าอยู่ไม่กี่วันก็ลากลับไปพักผ่อนที่บ้านด้วยตนเองแล้ว
ส่วนที่ยุ่งยากที่สุดของงานนี้คือ ต้องทำงานในคลังตำราหลวงซึ่งอยู่ด้านหลังห้องทรงพระอักษร เอกสารตำราต่างๆ ถูกเก็บไว้ที่นั่นทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าจะหยิบอ่านเอาเองก็มิได้ จำเป็นต้องให้ขุนนางผู้ดูแลคลังตำราหลวงไปเป็นเพื่อน ดังนั้นข้าจึงเริ่มงานของข้าโดยอยู่ห่างจากเจ้าครองแคว้นเพียงไม่ถึงร้อยจั้ง นี่น่าจะเป็นคำอธิบายของสำนวนที่ว่า ใกล้เพียงเอื้อมแต่ไกลสุดหล้าก็เป็นได้
[1] จี่ซื่อ คือปีที่หกหรือปีงูในรอบหกสิบปีตามแผนภูมิฟ้า
[2] วันชูจิ่ว หมายถึง ฤกษ์ลักษระตามหลักอี้จิง ชู คือ 6 เป็นตำแหน่งต่ำสุด ส่วน จิ่ว คือ 9 จัดเป็นหยาง ลักษณ์มังกรซ่อน มิควรทำการ
[3] เจี่ยเซิน คือ ปีที่ 21 หรือปีลิงในรอบ 60 ปีตามแผนภูมิฟ้า
[4] ฤดูชิวเฟิน คือฤดูกาลที่ 16 ใน 24 ฤดูกาลของจีน มีลักษณะเด่นคือ อุณหภูมิจะลดลง อุณหภูมิกลางวันกลางคืนจะแตกต่างกันมาก เป็นฤดูที่เวลากลางวันและกลางคืนยาวเท่ากัน