ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 8 ชมภาพวาดและถูกใส่ความ (2)
ขันทีผู้ดูแลแซ่หวัง อายุมากจนเคราและผมขาวโพลนแล้ว การนั่งทำงานวันละหกถึงเจ็ดชั่วยามแทบจะเอาชีวิตเขาอยู่รอมร่อ ดังนั้น วันแรกข้าจึงโน้มน้าวอีกฝ่ายอย่างชาญฉลาด “หวังกงกง จะอย่างไรพวกเราก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกสิบวันครึ่งเดือน ท่านมิต้องเกรงใจไป เพียงหาขันทีน้อยมากไหวพริบมาช่วยข้าสักคน ส่วนท่านก็มาดูทุกสามวัน ห้าวันเป็นพอ”
หวังกงกงอายุมากแล้ว ตำแหน่งหน้าที่ของเขาจึงค่อนข้างว่าง แม้คลังตำราหลวงจะอยู่ใกล้ห้องทรงพระอักษร ทว่ากงกงของฝ่ายตรวจฎีกาล้วนเป็นข้าราชบริพารหนุ่มแน่นแข็งแรง หวังกงกงไม่มีเรี่ยวแรงปีนป่ายไปอยู่ข้างกายเจ้าแคว้น ในเมื่อไม่มีความสามารถแย่งชิงความโปรดปรานทั้งยังอายุมากแล้ว ผู้ใดจะสร้างความลำบากให้เขาโดยใช่เหตุเล่า ดังนั้นเขาย่อมไม่กังวลว่าจะมีผู้ใดกล่าวหาว่าเขาทำหน้าที่บกพร่อง จึงส่งเสี่ยวซุ่นจื่อ ลูกศิษย์เยาว์วัยที่เพิ่งรับมาได้ไม่ถึงปีมาช่วยข้า
เสี่ยวซุ่นจื่อผู้นี้ชาญฉลาดมากความสามารถ ทั้งยังเคยอ่านตำรับตำรามาไม่น้อย จดจำอักษรได้หลายร้อยตัว นี่นับว่าหาได้ยากยิ่งในหมู่ขันที จะอย่างไรก็มิใช่ทุกคนที่ได้รับการฝึกฝนเฉพาะด้านเช่นขันทีฝ่ายตรวจฎีกาเหล่านั้น
ทว่าเมื่อข้าเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อก็ต้องตะลึงงัน หากจำไม่ผิด เจ้าเด็กนี่คือคนที่ขายตัวทำศพบิดาที่ข้าพบยามเพิ่งมาถึงเจี้ยนเย่ เหตุใดจึงกลายเป็นขันทีได้เล่า คาดว่าคงมีเรื่องเจ็บปวดอันใดกระมัง ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมที่จะถามไถ่ อย่างไรเสียเขาก็จำข้าไม่ได้ เช่นนั้นคิดเสียว่าเป็นคนแปลกหน้าก็พอแล้ว แต่เจ้าเด็กนี่ไม่เลวจริงๆ ไม่เพียงจัดเตรียมเครื่องเขียนล้ำค่าทั้งสี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงข้ากล่าวว่าต้องการหาฎีกาฉบับใดหรือหนังสือกราบทูลฉบับใด เขาก็หาเจออย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเราจึงร่วมงานกันอย่างสุขสันต์ คะเนจากความเร็วในตอนนี้ ปริมาณงานยี่สิบวันคงใช้เวลาเพียงสิบสองสิบสามวันเท่านั้น
ยามเที่ยงของวันที่สาม ขณะข้ากำลังดื่มชาหลังอาหาร เตรียมพักผ่อนสักเล็กน้อยแล้วค่อยทำงานต่อ จู่ๆ หวังกงกงก็เดินเข้ามาภายใต้การประคองของขันทีน้อยสองคน มีท่าทีเกรี้ยวกราด ปากก็ตะโกนว่า “เสี่ยวซุ่นจื่อ เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าเด็กคนนี้อยู่ที่ใด”
ข้ามองเขาด้วยความฉงน นี่มันเกิดอะไรขึ้น
หวังกงกงมองข้า พลันเปลี่ยนเป็นเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เจียงจ้วงหยวน ท่านก็อยู่หรือขอรับ”
ไร้สาระ หากข้าไม่อยู่ที่นี่แล้วจะอยู่ที่ใดเล่า ที่นี่ไม่อนุญาตให้ข้ากลับไปนอนกลางวันเสียหน่อย ข้าคิดในใจ ปากก็กล่าวไปว่า “กงกง มีอะไรหรือ เรื่องใดทำให้ท่านโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพียงนี้”
หวังกงกงเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “เสี่ยวซุ่นเจื่อ เจ้าลูกกระต่ายนั่น มือเท้าสกปรกโสมม ถึงกับขโมยขวดยานัตถุ์ของข้าไป นั่นเป็นของที่จักรพรรดิองค์ก่อนพระราชทานให้บ่าวเฒ่าผู้นี้เชียว”
เสี่ยวซุ่นจื่อเบิกตาโพลง คุกเข่าลงพื้น กล่าวด้วยเสียงปกติว่า “ไม่มีเรื่องเช่นนั้นแน่ขอรับ บ่าวไม่มีความกล้าเพียงนั้น ไม่กล้าขโมยของพระราชทานแน่ขอรับ” เขาเพิ่งตอนได้ปีกว่า เพิ่งอายุสิบสี่สิบห้าซึ่งเป็นวัยเจริญเติบโต ดังนั้นน้ำเสียงจึงเล็กแหลม ผนวกกับยามนี้เขาตกใจจนลนลาน น้ำเสียงจึงยิ่งแหลมเสียดหู
ขันทีน้อยที่อยู่ข้างๆ กล่าวเสียงแหลม “ยังกล้าปากแข็งอีก เจ้าคิดว่าพวกเราไม่รู้หรือ เดิมทีเจ้าเป็นผู้กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ของของผู้ดูแลหวังหายไป ข้าว่าเจ้าต้องเอาไปแน่ พอให้กงกงไปค้นห้องเจ้าก็พบของจริงๆ”
เสี่ยวซุ่นจื่อหน้าเขียว ลนลานโขกศีรษะ “ไม่ใช่บ่าว บ่าวไม่ได้ทำ ต้องมีคนยัดของโจรใส่ร้ายบ่าวเป็นแน่”
หวังกงกงเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าว่าข้าใส่ร้ายเจ้าหรือเสี่ยวฝูจื่อใส่ร้ายเจ้าเล่า”
เสี่ยวซุ่นจื่อเหงื่อไหลพลั่ก รีบหันมากระโจนใส่ข้า กล่าวอ้อนวอน “ใต้เท้าเจียง ท่านเป็นผู้ทรงภูมิ ขอท่านร่วมตัดสินกับกงกงเถิด หลายวันนี้บ่าวจัดฎีกาอยู่กับใต้เท้าตลอด ไหนเลยจะมีเวลาไปขโมยของได้”
เดิมทีข้ากำลังชมละครฉากนี้อย่างสนอกสนใจ แม้เสี่ยวฝูจื่อผู้นั้นจะมีทักษะการแสดงยอดเยี่ยม ทว่าข้าได้ยินเสียงลมหายใจของเขากระชั้นถี่ หัวใจเต้นเร็ว ดูออกนานแล้วว่าเขาเป็นผู้ยัดของโจรเพื่อใส่ความผู้อื่น เพียงแต่เสี่ยวซุ่นจื่อมีประวัติความเป็นมาไม่ดี พื้นเพไม่แน่ชัด จึงมิอาจตัดสินได้ ข้าไม่คิดกระโดดเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องในวังหลัง ดังนั้นจึงทำเพียงมองเขาอย่างเรียบเฉย มิได้ส่งเสียงตอบ เสี่ยวซุ่นจื่อร้อนใจอย่างกับอะไรดี หวังกงกงเห็นข้ามิกล่าวคำ จึงพูดเสียงขรึม “พวกเจ้าจับตัวเขามัด ส่งไปห้องจิ้งซื่อ[1] ให้ข้าเสีย โบยเขาให้ตาย ข้าจะทำให้เขารู้ว่ากล้ามาขโมยของของข้า นับเป็นความผิดใหญ่หลวง”
ข้าใจสั่น ไม่กระมัง จะโบยให้ตายเชียวหรือ เสี่ยวซุ่นจื่อตกใจ รีบกอดขาข้าร้องไห้สะอื้น “ใต้เท้า โปรดเห็นแก่ที่เสี่ยวซุ่นจื่อปรนนิบัติรับใช้มิขาดตกบกพร่อง ช่วยบ่าวด้วยเถิด บ่าวมิได้ขโมยของจริงๆ”
พริบตานั้นข้าคิดไปถึงสภาพน่าอดสูของเขา ยามขายตัวฝังศพบิดาจนอดใจอ่อนไม่ได้ จะอย่างไรก็มิใช่เรื่องใหญ่ อีกทั้งเขาถูกใส่ความจริงๆ ข้ากลอกตา คิดวางแผนในใจ ก่อนจะเอ่ยอย่างเฉยเมย “หวังกงกง ข้าเห็นบ่าวผู้นี้ร้องไห้หนัก บางทีคงถูกใส่ความกระมัง”
หวังกงกงเกิดลังเล พักหนึ่งจึงค่อยเอ่ย “ทว่าหาของพบที่ห้องเขาจริงๆ ขอรับ”
ข้ายิ้ม “หลายวันมานี้ เด็กคนนี้ติดตามข้าตลอด มิทราบว่าของของกงกงหายไปเมื่อใด”
หวังกงกงคิดก่อนเอ่ย “เมื่อคืนตอนมืดยังอยู่ วันนี้ตอนกลางวันก็หายไปแล้ว”
ข้าจงใจขมวดคิ้ว “นี่ยากตัดสินจริงๆ เอาเช่นนี้เถิด ข้าเชี่ยวชาญวิชาอี้จิง[2] สิ่งที่ตัดวาสนาผู้คนได้ดีที่สุดก็คือการใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์ ข้าจะทำนายให้สักครั้ง”
ขันทีอย่างพวกหวังกงกงมีชะตาชีวิตย่ำแย่ทารุณจึงเชื่อเรื่องดวงชะตาเป็นที่สุด ดวงตาของเขาสว่างวาบ “ใต้เท้าดูดวงได้หรือ ดียิ่ง บ่าวจะไปนำซ่วนโฉวมาให้ขอรับ”
ข้าสั่นศีรษะ “เพียงทำนายเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องใช้ซ่วนโฉว เช่นนี้แล้วกัน ในเมื่อตัดสินว่าเป็นการใส่ร้าย ปกติผู้ถูกใส่ร้ายจะมีจิตใจซื่อตรง ข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง ก็คือให้เสี่ยวซุ่นจื่อและเสี่ยวฝูจื่อผู้กล่าวหากินโอสถจินตันที่ข้าหลอมขึ้นเป็นพิเศษคนละหนึ่งเม็ด แล้วข้าจะสวดอ้อนวอนต่อสวรรค์ หากไร้ความผิด คนผู้นั้นจะไม่เป็นอันตราย หากมีความผิดจะปวดท้องหนัก” กล่าวจบข้าก็หยิบขวดหยกออกมาจากสาบเสื้อ เทโอสถจินตันสีทองเปล่งประกายออกมาสองเม็ดส่งให้ขันทีน้อยทั้งสอง
หวังกงกงกล่าวยิ้มๆ “ดีขอรับ นับว่าบ่าวเฒ่าผู้นี้ได้เห็นความสามารถของเจียงจ้วงหยวนแล้ว พวกเจ้าสองคนยังไม่กินลงไปอีก”
เสี่ยวซุ่นจื่อกลืนโอสถจินตันลงไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เสี่ยวฝูจื่อลังเลครู่หนึ่งก่อนส่งโอสถจินตันเข้าปาก จากนั้นจึงขยับเล็กน้อย โอสถจินตันพลันกลิ้งเข้าไปในแขนเสื้อ ความสามารถยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าอดถอนใจอย่างชื่นชมไม่ได้ จากนั้นจึงแสร้งทำท่าสวดอ้อนวอนสวรรค์ เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป[3] เสี่ยวซุ่นจื่อพลันหน้าขาวซีด ร้องโอดครวญทรุดเข่าลงกับพื้น มือทั้งสองกุมท้อง เจ็ดปวดทรมานจนทนไม่ไหว ส่วนเสี่ยวฝูจื่อกลับไร้อันตราย เขากล่าวอย่างลำพองใจ “เป็นเจ้าขโมยไปจริงๆ คำสวดภาวนาของเจียงจ้วงหยวนได้ผล”
หวังกงกงมองข้าอย่างลังเลครู่หนึ่ง กำลังจะออกคำสั่งตัดสิน ข้าจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย “แม้ข้าจะมีความสามารถอยู่บ้าง ทว่าไม่มีความสามารถถึงขั้นเชิญเทพเสด็จลงมาลงโทษพวกเจ้าหรอก โอสถจินตันนี้ข้าหลอมขึ้นโดยเฉพาะ มีฤทธิ์ล้างลำไส้ เมื่อคืนข้าได้ยินหวังกงกงกล่าวว่าตนอายุมากแล้ว มักมีอาการอาหารไม่ย่อย โอสถนี้ควรให้ผู้เฒ่าผู้แก่กินคู่กับต้มเม็ดบัวจึงจะได้ผลดี หากเป็นผู้เยาว์เลือดลมร้อนแรงกินเข้าไปโดยตรงจะปวดท้องราวถูกบิดไส้ เสี่ยวฝูจื่อ โอสถของเจ้าเล่า ซ่อนอยู่ที่ใด”
เสี่ยวฝูจื่อสะดุ้ง ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว หวังกงกงเดินพุ่งตรงไปเบื้องหน้าเขาราวลูกศร บีบข้อมือเขาเบาๆ แล้วยกขึ้น เสี่ยวฝูจื่อเจ็บจนหน้าซีด หวังกงกงค้นหาโอสถจินตันเม็ดนั้นออกมาจากแขนเสื้อของเสี่ยวฝูจื่อด้วยท่วงท่าสบายๆ แล้วค่อยคลายมือ เสี่ยวฝูจื่อทรุดเข่าลงกับพื้น ตกใจราววิญญาณออกจากร่าง หวังกงกงกล่าวอย่างเฉยเมย “เสี่ยวซุ่นจื่อ ไปที่ห้องข้า บนโต๊ะมีต้มเม็ดบัวเย็นๆ อยู่ถ้วยหนึ่ง”
เสี่ยวซุ่นจื่อผงกศีรษะ รีบพุ่งตัวออกไปโดยพลัน ไม่นานก็วิ่งกลับมา ใบหน้าอัดแน่นไปด้วยความเปรมปรีดิ์ หวังกงกงยิ้มจนตาหยี กล่าวว่า “ขอบคุณเจียงจ้วงหยวนมากขอรับที่คิดเพื่อบ่าวเฒ่า” ว่าแล้วก็ชิงขวดโอสถไปจากมือข้า เขากล่าวอีกเล็กน้อยพลางอำลาจากไป ไม่นานขันทีน้อยสองคนก็เข้ามาคุมตัวเสี่ยวฝูจื่อ
เสี่ยวซุ่นจื่อคุกเข่าเบื้องหน้าข้าอย่างซาบซึ้งใจ เอ่ยอย่างสำนึกขอบคุณ “ผู้มีพระคุณช่วยไว้สองครั้งแล้ว ต่อให้เสี่ยวซุ่นจื่อเป็นวัวเป็นม้าก็มิอาจตอบแทนบุญคุณยิ่งใหญ่นี้ได้”
ข้าเบิกตากว้าง ครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ย “เจ้าจำข้าได้ด้วยหรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวอย่างเขินอาย “ความจริง เห็นครั้งแรกบ่าวก็จำเจียงจ้วงหยวนได้แล้วขอรับ ความเอื้ออาทรของใต้เท้าในตอนนั้น ผู้น้อยจำได้ราวเพิ่งเกิดขึ้น”
ข้าถามเขาอย่างแปลกใจ “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่บอกแต่แรกว่าจำข้าได้”
เสี่ยวซุ่นจื่อลังเลอยู่นาน “บ่าว เรื่องที่บ่าวขายตัวฝังศพบิดาตอนนั้นเป็นเรื่องเท็จ”
ดวงตาของข้าเบิกกว้างขึ้นโดยพลัน เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวต่อไป “เดิมทีบ่าวเกิดในครอบครัวบัณฑิต เพียงแต่หลังจากบิดาตายจาก ท่านอาก็แอบขายข้าให้คณะละครแห่งหนึ่งหวังแย่งชิงทรัพย์สมบัติ ตั้งแต่นั้น บ่าวก็ร่อนเร่พเนจรไปทั่ว สุดท้ายเพราะทนรับการหยามเกียรติจากเจ้าคณะละครไม่ไหว จึงแอบหนีออกมากับพี่น้องหลายคน ด้วยไร้หนทาง จึงได้แต่ขอทานลักขโมยหลอกลวงผู้คนไปทั่ว คราวนั้นที่พบใต้เท้า บ่าวร่วมมือกับขอทานชราผู้หนึ่ง เขาแต่งกายปลอมเป็นบิดาของข้า ให้ข้าเล่นบทลูกกตัญญู ใต้เท้าเอื้ออาทร แต่พวกเราสองคนกลับจิตใจต่ำช้าเกิดความโลภ แอบตามใต้เท้าไป…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ข้าก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี ข้าเข้าใจกระจ่างขึ้นมาโดยพลันว่าผู้ที่ตีข้าจนสลบในตอนนั้นคือผู้ใด อย่างไรก็ตาม ข้ายังคงเอ่ยถามอย่างสับสน “พวกเจ้ามีเงินมากเพียงนั้น มากพอที่จะใช้ชีวิตแล้ว เหตุใดเจ้า เหตุใดเจ้าจึง” ข้ารู้สึกพูดไม่ออก
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้ม “บางทีอาจเป็นกรรมตามสนองกระมัง หลังจากนั้นพวกเราถูกบังคับให้เป็นโจร ไม่นึกว่าจะถูกทหารทางการเข้าปราบปรามเพราะไปปล้นราชนิกุลผู้หนึ่ง ทั้งยังปล้นชิงผู้อื่นจนเป็นสันดานกันหมดแล้ว จึงถูกตัดสินโทษตาย พวกเราหลายคนอายุยังน้อย ใต้เท้าตัดสินคดีกล่าวว่า หากเต็มใจเข้าวังเป็นบ่าวจะเลี่ยงโทษตายให้ครั้งหนึ่ง พี่น้องของข้าใจแข็งเลือกเดินขึ้นลานประหาร แต่บ่าวขี้ขลาดจึงเลือกเข้าวัง”
ข้าทอดถอนใจ “มิใช่เจ้าขี้ขลาด แต่เจ้ามีความกล้ามากต่างหาก ชีวิตคนเราแม้จะยากแค้นแสนเข็ญ แต่พวกเราก็ต้องมีชีวิตอยู่อย่างลำบากลำบนต่อไป เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อมาได้ ทั้งยังกล่าวเรื่องในอดีตราวกับเป็นเรื่องขำขัน นี่จึงจะเป็นความกล้าหาญ ผู้ที่เลือกตายสบายมิใช่พวกเขากล้าหาญ แต่พวกเขาต้องการหนีความรับผิดชอบต่างหาก”
จู่ๆ เสี่ยวซุ่นจื่อก็กอดขาทั้งสองของข้า ข้าเจ็บเสียจนคลางใจว่า เขาคิดใช้ความแค้นตอบแทนพระคุณหรือไม่ ไม่นานข้ารู้สึกคล้ายมีหยดน้ำเปียกทะลุชุดขุนนางเข้ามา จากนั้นเด็กคนนี้จึงกล่าวสาบานว่าจะรับใช้ข้าอย่างสุดกายใจ
ภายหลัง ได้ยินว่าหวังกงกงเป็นยอดฝีมือผู้มีวรยุทธ์ เสี่ยวซุ่นจื่อกำลังเรียนวรยุทธ์กับเขา พริบตานั้นข้าพลันเกิดความคิดไหลเวียน รวมกับที่เลื่อมใสความยืนหยัดไม่ย่อท้อของเด็กคนนี้จึงแอบนำ ‘คัมภีร์ทานตะวัน’ ฉบับคัดลอกเข้ามา เสี่ยวซุ่นจื่อมองอย่างเงียบงัน ทำเพียงรับไปด้วยท่าทีเคร่งขรึม
ครึ่งเดือนให้หลัง ข้าออกจากวังหลวงพร้อมด้วยราชโองการที่จัดระเบียบเรียบร้อยแล้ว และผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง นั่นคือข้ามีสหายที่คบหากันด้วยความลึกซึ้งจริงใจเพิ่มมากขึ้นอีกผู้หนึ่ง
[1] ห้องจิ้งซื่อ ฝ่ายที่รับผิดชอบเรื่องขันทีและนางใน
[2] วิชาอี้จิง คือศาสตร์แห่งการทำนายอย่างหนึ่ง
[3] หนึ่งก้านธูป หมายถึงเวลาเท่ากับธูปก้านหนึ่งเผาไหม้จนหมด