ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 13 อนาคตของจิ่นซิ่ว (1)
เซี่ยจินอี้รีบขอร้องอ้อนวอนพร้อมอธิบายเรื่องราวให้ศิษย์พี่ฟังอย่างกระจ่างแจ้ง เมื่อจางจิ่นสยงใจเย็นลงแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า เอาเถิด ดูแล้วคงต้องชำระความกับสมาพันธ์กวนจงเสียก่อน ถึงข้าจะเป็นผู้ดูแลองครักษ์ของรัชทายาทก็มิอาจชำระความกับสมาพันธ์กวนจงได้ นอกจากจะให้รัชทายาทออกหน้า ทว่าจะให้รัชทายาทจัดการเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
เซี่ยจินอี้มองศิษย์พี่ของตนพร้อมทำตาปริบๆ จางจิ่นสยงเห็นเขาเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งขุ่นเคือง สุดท้ายจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา เดิมทีเจ้าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง ต่อให้ไม่แสดงความโดดเด่นออกมาก็ไม่ด้อยกว่าผู้อื่นมากนัก เพียงแต่เจ้ากลับทำให้ตัวเองตกต่ำเพียงเพราะสตรีนางเดียว เฮ้อ แววตาของเซี่ยจินอี้แปรเปลี่ยนไปหม่นหมองยิ่งขึ้น เอาแต่นั่งอยู่ในมุมห้องไม่ยอมกล่าววาจา ท่าทีแข็งทื่อดุจต้นไม้
ขณะนั้นเอง องครักษ์นายหนึ่งพลันกล่าวขึ้นว่า ท่านผู้ดูแล อย่ากังวลไปเลยขอรับ มิสู้พวกเราลองตรวจสอบเรื่องที่สหายเซี่ยเล่าเมื่อครู่นี้ให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียหน่อยว่าเป็นอย่างไร หากมีปัญหาจริงๆ พวกเราก็ไปรายงานต่อรัชทายาท หากสหายเซี่ยสร้างผลงานยิ่งใหญ่ได้ ท่านผู้ดูแลก็จะขอร้องรัชทายาทได้ เช่นนี้ก็แก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายแล้ว อีกอย่าง ปัญหาทางด้านจวนยงอ๋องก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ขอเพียงสหายเซี่ยแก้ปัญหาด้านสมาพันธ์กวนจงได้ พวกเขายังจะมายุ่งวุ่นวายอีกหรือ ถึงตอนนั้นเพียงสหายเซี่ยไปขอรับโทษอีกครั้งก็พอแล้ว
จางจิ่นสยงมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน ดูเหมือนข้าหลงลืมไปสินะ ดี จินอี้ ลองดูหน่อยแล้วกันว่าเจ้าจะมีโชคหรือไม่
เซี่ยจินอี้กล่าวด้วยท่าทีฉงนงงงวย ทำไมหรือขอรับศิษย์พี่ใหญ่ ผู้น้องสร้างผลงานอันใดหรือขอรับ
จางจิ่นสยงแย้มยิ้มตอบ ไปเถิด หากจะเล่าก็ยาวนัก พอถึงเวลาเจ้าจะเข้าใจเอง
รัชทายาทมีอำนาจในการควบคุมเรื่องในนครฉางอันอยู่มาก ในเวลาไม่ถึงหนึ่งคืน รายงานอย่างละเอียดก็ถูกส่งมาถึงเบื้องหน้าหลี่อันแล้ว เขามองไปยังหลู่จิ้งจงผู้เป็นเซ่าฟู่คนสนิทที่มีปัญญาเฉียบแหลมก่อนกล่าวถาม ใต้เท้าหลู่ ท่านว่าข้าสมควรจัดการเรื่องนี้เช่นไร
หลู่จิ้งจงลูบเคราของตน กล่าวอย่างเนิบช้าสบายอารมณ์ว่า องค์ชาย สถานการณ์ชัดเจนยิ่ง กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเป็นผู้เหลือรอดจากแคว้นสู่ ก่อนหน้านี้การเคลื่อนไหวก่อกบฏของพวกเขาเน้นไปที่สู่จงและหนานฉู่เป็นสำคัญ ดังนั้นต่อเรื่องนี้ ต้ายงของพวกเราจึงหลับตาข้างลืมตาข้าง ทว่าตอนนี้สถานการณ์ของหนานฉู่กำลังสับสนอลหม่าน พวกเขาจึงถือโอกาสเคลื่อนไหวในต้ายงให้รวดเร็วยิ่งขึ้น จากความเห็นของกระหม่อม พวกเขาทำการใหญ่อันใดไม่ได้หรอก รู้จักเพียงลอบฆ่าลอบสังหาร บีบบังคับประชาชนยากจนและค้ามนุษย์ค้าทาสเท่านั้น พระองค์ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจัดการ มิแน่ว่าอาจใช้ประโยชน์จากพวกเขาก็เป็นได้ อย่างไรเสียผู้ที่ทำลายแคว้นสู่ก็คือยงอ๋อง แม้ตอนนี้พวกเขาไม่พอใจในความกลิ้งกลอกของหนานฉู่ ทว่าจะช้าจะเร็วก็ต้องสร้างความลำบากให้ต้ายงเป็นแน่ ความหมายของกระหม่อมก็คือ ใกล้จะถึงงานบวงสรวงวันปีใหม่แล้ว มิใช่ว่าพระองค์ต้องการบวงสรวงศาลบรรพชนแทนฝ่าบาทหรอหรือ เรื่องนี้ฝ่าบาทยังไม่ได้ตัดสินพระทัย มิสู้พระองค์เตรียมการเสียหน่อย จัดการพวกเขาในคราวเดียว จากนั้นก็ถวายผลงานแก่ฝ่าบาท แล้วให้จี้กุ้ยเฟยทูลเรื่องนี้ข้างพระกรรณฝ่าบาทอีกสักหลายประโยค เมื่อเป็นเช่นนี้ ความปรารถนาของพระองค์ย่อมเป็นจริงได้แน่
หลี่อันได้ยินดังนั้นก็รู้สึกยินดียิ่ง เซ่าฟู่เป็นดั่งสติปัญญาของข้าจริงๆ พรุ่งนี้จะต้องจัดการให้หมดจดเพื่อสร้างความได้เปรียบให้พวกเรา อย่าให้ยงอ๋องล่วงรู้เป็นอันขาด หากข้าได้บวงสรวงศาลบรรพชนแทนเสด็จพ่อ ผู้ใดยังจะกล้ากล่าวว่าตำแหน่งของข้าไม่มั่นคงอีกเล่า
หลู่จิ้งจงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เช่นนั้นกระหม่อมขอแสดงความยินดีกับองค์ชายล่วงหน้าพ่ะย่ะค่ะ
หลี่อันหัวเราะ หลี่จื้อหนอ หลี่จื้อ เจ้าสยบหนานฉู่ กระทั่งได้รับตำแหน่งแม่ทัพเทียนเช่อแล้วอย่างไรเล่า ขอเพียงข้านั่งอยู่ในตำแหน่งรัชทายาทได้อย่างมั่นคง สุดท้ายเจ้าก็เป็นได้เพียงขุนนางเท่านั้น เมื่อกล่าวจบ หลี่อันก็ขบฟันแน่น
หลู่จิ้งจงเห็นรัชทายาทเสียกริยาเช่นนี้พลันเกิดแววดูแคลนปรากฏในดวงตา
จากการจัดการอย่างรอบคอบของหลู่จิ้งจง สามวันให้หลัง สาขาย่อยของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วที่อยู่ในนครฉางอันก็ถูกกำจัดจนราบคาบ สมาชิกทั้งหมดถูกจัดการในคราวเดียว กระทั่งสมาชิกระดับล่างยังถูกลากเข้ามาพัวพันด้วย การล้อมปราบในคราวนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
หลังจากสอบปากคำเรียบร้อยจึงทราบว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วคิดหาประโยชน์จากความวุ่นวายในหนานฉู่ คิดทำตามเป้าหมายที่ต้องการฟื้นฟูแว่นแคว้นให้สำเร็จ ในระยะเวลาสั้นๆ ยังไม่มีแผนต่อต้านต้ายง ทว่าหลู่จิ้งจงใช้การทรมานอันหนักหน่วงเข้าบีบเค้น ไม่นานก็ได้รับคำสารภาพว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วคิดเคลื่อนไหวและวางแผนลอบสังหารเชื้อพระวงศ์และขุนนางคนสำคัญของต้ายงในช่วงปีใหม่ เพื่อให้บรรลุตามเป้าประสงค์ หลู่จิ้งจงจึงใช้แผนลอบสังหารอันรอบคอบกับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็กำจัดกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วและสยบความวุ่นวายในเรื่องการก่อกบฏของผู้เหลือรอดจากแคว้นสู่ลงได้ นี่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นองเลือดละลานตาก่อนวันปีใหม่
ยังไม่ต้องถูกถึงการเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่มอำนาจชั่วคราว ข้าฉวยโอกาสนี้บอกให้หานอู๋จี้จับตัวสหายเก่าที่เคยข่มขู่เขาและทูตที่ถูกส่งมาจากกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเอาไว้ เท่าที่ข้าทราบ ทูตผู้นี้เป็นคนสนิทของฮั่วจี้เฉิงหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ข้าติดต่อกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วผ่านทางเขาได้ จากข่าวกรองที่ข้ารวบรวมมา เดิมทีฮั่วจี้เฉิงเป็นลูกหลานขุนนางคนสำคัญแห่งแคว้นสู่ มีนิสัยโหดเหี้ยมไร้ใจ มากไหวพริบมากปัญญา ทว่าออกจะหยิ่งยโสไปบ้าง ทั้งยังมีจิตใจคับแคบและขาดแคลนทหารที่มีความสามารถ มิเช่นนั้นกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วคงไม่อาจเจริญรุ่งเรืองในต้ายง แต่กลับก้าวไปอย่างยากลำบากในหนานฉู่หรอก เดิมทีข้าไม่คิดถามไถ่เรื่องของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ทว่าโหรวหลันเป็นบุตรีข้าแล้ว ข้าไม่อยากให้นางคิดแก้แค้นในอนาคต ดังนั้นให้ข้าทำเองเถิด
เมื่อได้รับหนังสือกราบบังคมทูลของรัชทายาท หลี่หยวนก็ให้ดีใจนัก แม้พระองค์จะยืนกรานให้โอรสองค์โตเป็นรัชทายาท ทว่าความธรรมดาสามัญของหลี่อันยังทำให้พระองค์ไม่พอพระทัยอยู่บ้าง คราวนี้นับว่าหลี่อันเคลื่อนไหวรวดเร็วจนกำจัดพิษร้ายออกไปได้จริงๆ หลี่หยวนวางหนังสือบังคมทูลลง หันไปตรัสกับอัครมหาเสนาบดีเหวยกวนว่า ขุนนางเหวย ดูแล้วรัชทายาทยังมีความสามารถอยู่บ้าง เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสแสดงออกมาเท่านั้น
เหวยกวนโค้งคารวะ ฝ่าบาททรงตรัสได้ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ
หลี่หยวนแย้มสรวล มีขุนนางหลายคนถวายฎีกาขึ้นมาขอให้รัชทายาทร่วมบวงสรวงศาลบรรพชนกับเจิ้นในคราวนี้ เจ้าคิดเห็นเช่นไร ‘
เหวยกวนกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง รัชทายาทดำรงตำแหน่งมานานหลายปีแล้ว ถือเป็นผู้สืบชะตาฟ้า เรื่องการบวงสรวงบรรพชนแผ่นดินและร่วมติดตามโอรสแห่งสวรรค์ไปบวงสรวงฟ้าดินนี้ กระหม่อมเห็นสมควรตามนั้น ตอนนี้ด้านยงอ๋องได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพเทียนเช่อก็นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงแล้ว ดังนั้นฝ่าบาทสมควรทำให้ตำแหน่งของรัชทายาทมั่นคงเพื่อมิให้เกิดความวุ่นวายพ่ะย่ะค่ะ
หลี่หยวนพยักพระพักตร์ก่อนตรัส ความคิดของเจ้าตรงประเด็นยิ่งนัก เอาเช่นนี้แล้วกัน คราวนี้ก็ให้รัชทายาทไปบวงสรวงที่ศาลบรรพชนแทนเจิ้น จากนั้นให้ไปรับการคารวะจากเหล่าขุนนางที่ตำหนักเหวินฮว๋า นี่คือสิ่งที่เจิ้นต้องการ
เมื่อยงอ๋องหลี่จื้อทราบเรื่องราชโองการนี้แล้ว ใบหน้าพลันดำมืดดุจชลธารลึก เร่งรุดเดินตรงไปยังสวนเหมันต์ที่อยู่บริเวณทิศตะวันตกของจวนอ๋อง เนื่องด้วยเจียงเจ๋อเห็นว่าเรือนชีเฟิ่งงดงามเกินไปจึงออกไปเดินสำรวจจวนอ๋องรอบหนึ่ง จากนั้นก็เลือกอุทยานที่อยู่ห่างไกลที่สุด จัดการทำความสะอาดให้เรียบร้อยแล้วย้ายเข้ามาพำนัก
เมื่อหลี่จื้อเดินเข้ามาใกล้อุทยานแห่งนี้ แลเห็นองครักษ์กำลังซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาเคยสั่งให้เพิ่มการคุ้มกันที่นี่ให้เข้มงวดเป็นพิเศษแล้ว เมื่อเดินเข้าไปในอุทยาน หลี่จื้อพบว่าอุทยานที่เดิมทีมีหญ้ารกร้างทั้งบุปผาต้นไม้ก็รกรุงรัง ยามนี้กลับถูกจัดการจนงดงามโอภายิ่ง จึงอดพยักหน้าอย่างเปรมปรีดิ์มิได้
เดิมทีอุทยานแห่งนี้ถูกใช้เป็นเรือนรับรองแขก แต่เพราะตำแหน่งที่ตั้งอยู่ไกลเกินไป ดังนั้นนอกจากบ่าวชายหญิงสองสามคนที่มีหน้าที่ดูแลอุทยานและเหล่าองครักษ์ที่ต้องมาเดินตรวจตราแล้วก็ไม่มีผู้ใดสนใจอีก ดังนั้นพืชพันธุ์ในอุทยานจึงค่อยๆ แห้งเหี่ยวไปทีละน้อย คราวนี้เจียงเจ๋อย้ายเข้ามาแล้ว เมื่อหลี่จื้อเห็นที่นี่ก็รู้สึกอับอายกับการดูแลแต่กาลก่อนของตนนัก จึงคิดจะให้บ่าวไพร่ดูแลที่นี่ให้ดียิ่งขึ้น ทว่าเจียงเจ๋อกลับเกลี้ยกล่อมและปฏิเสธอย่างสุภาพ
เจียงเจ๋อชอบความเงียบสงบของที่นี่จึงย้ายเข้ามาอยู่ เขามีนิสัยสุภาพอ่อนโยน ขอเพียงไม่มีคนมาเยือนที่นี่มากเกินไปก็พอใจมากแล้ว หลี่จื้อมีความคิดละเอียดอ่อน สั่งให้ผู้ดูแลมาสอบถามหลี่ซุ่นเกี่ยวกับเรื่องความชอบของเจียงเจ๋อเพื่อจะดูแลให้อีกฝ่ายพักอยู่อย่างสุขอุรา ดังนั้นแม้ในใจหลี่จื้อจะกระวนกระวายหนัก แต่เมื่อเห็นสภาพแวดล้อมอันงดงามโอภาและบ่าวไพร่ที่ได้รับการฝึกอย่างเคร่งครัดแล้วก็ยังยิ้มออกมาบางๆ
เมื่อเดินไปถึงสถานที่ที่เจียงเจ๋ออยู่ หลี่จื้อก็เห็นเจียงเจ๋อกำลังจ้องมองสถานการณ์หมากบนกระดานหมากที่อยู่เบื้องหน้า เจียงเจ๋อมีนิสัยเอ้อระเหย ห้องนั่งเล่นอันกว้างขวางแห่งนี้จึงถูกจัดให้อยู่ด้านหน้าห้องโถงด้านหลังห้องนอนโดยคั่นด้วยฉากกั้นลม มองเห็นเตียงนอนและพลับพลาอันสะอาดสะอ้านด้านหลังได้รางๆ โถงเล็กๆ ด้านหน้าไม่นับว่าใหญ่เกินไป ทว่ามีหมาก ฉิน ตั่งนุ่ม ชั้นหนังสือและโต๊ะหนังสือครบครัน ให้ความรู้สึกสง่างามอย่างเหมาะสม คละเคล้าไปด้วยกลิ่นอายของม้วนตำราอันเข้มข้น
เมื่อเห็นหลี่จื้อเดินเข้ามา เสี่ยวซุ่นจื่อที่กำลังเดินหมากกับข้าก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคารวะตามมารยาท ส่วนข้ากลับเค้นสมองขบคิดว่าหมากก้าวต่อไปสมควรเดินเช่นไร อ่า ตอนแรกเป็นข้าที่สอนเขาเดินหมาก ทว่าตอนนี้ยามข้าเดินหมากกับเขา กลับแพ้มากกว่าชนะเสียได้ ยามนี้เอง ข้าได้ยินเสียงเสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวขึ้นว่า คุณชาย องค์ชายเสด็จมาแล้วขอรับ
ข้าเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นใบหน้าที่อัดแน่นไปด้วยความหม่นหมองของหลี่จื้อก็กล่าวด้วยความประหลาดใจว่า องค์ชาย เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ
หลี่จื้อนั่งลงตรงฝั่งข้ามก่อนกล่าวด้วยท่าทีระทมทุกข์ เสด็จพ่อมีราชโองการลงมาให้รัชทายาทไปบวงสรวงศาลบรรพชนแทนพระองค์ในปีนี้ หากเป็นเช่นนี้ ตำแหน่งของรัชทายาทย่อมมั่นคงยิ่งขึ้น ท่านว่าข้าสมควรทำเช่นไรดีเล่า เฮ้อ กองกำลังของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วในนครฉางอันถูกรัชทายาทปราบปราม หากพวกเราเคลื่อนไหวให้เร็วเสียหน่อยก็คงดี
ข้ายิ้มตอบ องค์ชายทรงลืมไปได้อย่างไร เดิมทีพวกเราต้องการแสดงความอ่อนแอให้เห็นอยู่แล้วมิใช่หรือ ตอนนี้ตำแหน่งรัชทายาทมั่นคงก็นับว่าสมใจเขาพอดี หากต้องการได้อะไรบางอย่างก็ต้องสูญเสียอะไรบางอย่างก่อน เช่นนี้แล้วมิใช่ว่าเหมาะเจาะพอดีหรือไร องค์ชายไม่จำเป็นต้องกังวล หลังจากผ่านปีใหม่ไปแล้วค่อยให้ท่านสือคุ้มครองซื่อจื่อไปโยวโจว เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทและคนอื่นๆ จะคิดว่าองค์ชายเตรียมทางถอยไว้แล้ว องค์รัชทายาทก็จะเลิกบีบบังคับองค์ชาย ส่วนฝ่าบาทก็จะระลึกถึงผลงานความดีขององค์ชาย และเริ่มกลับมาปกป้ององค์ชายอีกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ องค์ชายก็จะปลอดภัยไร้อันตราย ส่วนรัชทายาทอาจมีความอดทนต่ำลงจนกระทั่งรู้สึกกล่าวโทษฝ่าบาทก็เป็นได้