ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 30 ระหว่างห้วงความเป็นความตาย
ชีวิตเจียงเจ๋อแขวนอยู่บนเส้นด้าย ยงอ๋องประทานโสมดำช่วยเขาจึงยื้อชีวิตเอาไว้ได้ ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนและองค์หญิงฉางเล่อต่างส่งยามาช่วยเหลือ สุยอวิ๋นวนเวียนระหว่างห้วงความเป็นความตายทุกวันคืนอยู่ครึ่งเดือน ทุกวันยงอ๋องมิอาจวางใจพักผ่อน กินนอนล้วนอยู่ที่สวนเหมันต์ ผู้ที่สดับฟังล้วนถอนใจด้วยความชื่นชม
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
เขาฝืนเอ่ยปากถาม สุยอวิ๋นเป็นอย่างไร
เสี่ยวซุ่นจื่อหันกลับมา ดวงหน้าเกลี้ยงเกลายามนี้ดุร้ายยิ่งนัก ดวงตาสีเลือดแดงก่ำยิ่งทำให้คนมองเกิดความหวาดกลัว ไม่รู้เหตุใดคุณชายจึงยังมีลมหายใจอยู่ บ่าวใช้พลังภายในต่อชีวิตคุณชายเอาไว้ เมื่อครู่องครักษ์ไปเชิญหมอหลวงแล้ว
หลี่จื้อใจชื้นขึ้นเล็กน้อยแล้วรีบออกคำสั่ง ไปเอาโสมดำพันปีที่เสด็จพ่อพระราชทานให้ข้าเมื่อปีกลายจากพระชายา แล้วเอาโสมคนชั้นเลิศมาอีกสักหน่อย ต้มน้ำแกงโสมยื้อชีวิตท่านเจียงไว้ก่อน หากหมอหลวงเห็นว่าทำได้ก็ต้มโสมดำไปด้วยเลย
ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อฉายแววซาบซึ้ง แต่เขาแบ่งสมาธิมาพูดจาไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่งองครักษ์หลายนายก็รีบเร่งพยุงหมอหลวงสองสามคนมาถึง หมอหลวงทั้งหลายรับทราบอาการมาระหว่างทางแล้ว เมื่อเข้ามาในห้องก็ไม่สนใจคารวะหลี่จื้อแต่ตรงไปหน้าตั่งนุ่มรักษาเจียงเจ๋อทันที พวกเขายุ่งวุ่นวายกับการดึงลูกศรออก จัดการบาดแผล น้ำสีเลือดอ่างแล้วอ่างเล่าถูกยกออกไป น้ำแกงโสมที่ต้มเสร็จแล้วยกเข้ามาอย่างทันเวลา หลังจากดื่มน้ำแกงโสมลงไปชามหนึ่ง ลมหายใจของเจียงเจ๋อก็ค่อยๆ มีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง แต่หากมิได้เสี่ยวซุ่นจื่อใช้พลังภายในคอยช่วย ก็ยังเดินทางสู่ยมโลกได้ตลอดเวลา
หมอหลวงทั้งหลายหารือกันครู่หนึ่งจึงก้าวเข้าไปกล่าวกับหลี่จื้อว่า องค์ชาย โสมดำต้นนั้นฤทธิ์ยาแรงเกินไป ขอให้องค์ชายแบ่งต้มสามครั้ง แต่ละครั้งให้ดื่มห่างกันสี่ชั่วยาม ต่อจากนั้นใช้โสมคนชั้นเลิศยื้อชีวิตไว้อย่าให้ขาด ทำเช่นนี้พอจะรักษาชีวิตของใต้เท้าผู้นี้ไว้ได้อย่างน้อยครึ่งเดือน ใต้เท้าผู้นี้ดวงแข็งนัก หัวใจของเขาเบี่ยงเล็กน้อย ดังนั้นแม้ศรดอกนี้จะทำร้ายถูกชีพจรหัวใจ แต่นับว่าไม่ทำให้ตายทันที ทว่าหลังจากนั้นพวกข้าไร้ความสามารถแล้วจริงๆ
หลี่จื้อทรุดนั่งบนเก้าอี้อย่างเงียบงันแล้วโบกมือสั่งว่า ไปจัดการเดี๋ยวนี้ มีคนรับคำสั่งเดินออกไป หลี่จื้อใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า มีผู้ใดรู้บ้างว่าท่านหมอเทวดาซังอยู่ที่ใด
ทุกคนมองหน้ากัน หมอเทวดาไม่อยู่เป็นหลักแหล่งประหนึ่งมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอยู่ที่ใด หลี่จื้อเอ่ยอย่างสิ้นหวัง หากหาหมอเทวดาพบอาจยังมีหวังสักเสี้ยว ส่งคนไปตามหาเดี๋ยวนี้
ทันใดนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อก็ตะโกนว่า องค์ชาย คุณชายเป็นศิษย์ของหมอเทวดา แล้วยังชำนาญวิชาแพทย์พอสมควร ปลุกคุณชายให้ฟื้นสติขึ้นมาเขียนเทียบยายื้อชีวิตไว้ก่อนดีหรือไม่
หลี่จื้อตกตะลึงระคนยินดี จริงหรือ สุยอวิ๋นเป็นถึงศิษย์ของหมอเทวดา?
เสี่ยวซุ่นจื่อพยักหน้า ยามเยาว์วัยคุณชายเคยร่ำเรียนวิชาแพทย์จากหมอเทวดา เพียงแต่เป็นเวลาไม่นาน กระนั้นวิชาแพทย์ของคุณชายก็โดดเด่นจริงๆ
หลี่จื้อมองเหล่าหมอหลวง พวกเขาหารือกันครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า องค์ชาย พวกเราใช้ยาฤทธิ์แรงตัวหนึ่งทำให้ใต้เท้าเจียงฟื้นขึ้นมาชั่วครู่ได้ แต่หากทำเช่นนี้ เกรงว่าอาการบาดเจ็บของใต้เท้าเจียงจะหนักขึ้นอีก
หลี่จื้อเอ่ยอย่างเด็ดขาด หมอเทวดาอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง หากประคองชีวิตของท่านเจียงไว้ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนคงยากที่จะรอจนหมอเทวดามาถึง พวกเจ้าจงเตรียมยาให้พร้อม รอคำสั่งจากข้า หลายวันนี้พวกเจ้าคงต้องลำบากสักหน่อย อย่าได้ออกห่างที่นี่แม้แต่ชั่วครู่ หากท่านเจียงเป็นอันใดไป ข้าจะเอาชีวิตพวกเจ้ามาชดใช้
หมอหลวงทั้งหลายทำได้เพียงขานรับ
ตอนนี้เอง ต่งจื้อก็รีบร้อนเดินเข้ามา เขาก้าวเข้าไปรายงาน องค์ชาย ยามนี้ด้านหน้าวุ่นวายยิ่งนัก แขกเหล่านั้นล้วนอยู่ไม่สุข จื่อโยวให้มาขอคำสั่งจากองค์ชายว่าควรจัดการเช่นไร
หลี่จื้อขมวดคิ้วแล้วเดินออกจากประตูห้อง เขาไม่คิดรบกวนการรักษาเจียงเจ๋อ เมื่อเดินออกไปนอกประตูกลับเห็นองครักษ์ยืนอยู่หน้าประตูห้องอีกห้องหนึ่ง เขามองอยู่ครู่หนึ่ง โก่วเหลียนก็ก้าวเข้ามารายงานทันที องค์ชาย ตอนที่เหล่าองครักษ์รีบเร่งมาถึง เผยอวิ๋นแม่ทัพกองราชองครักษ์ก็อยู่ในสวนเหมันต์ด้วย เสี่ยวซุ่นจื่อเพียงบอกให้จัดที่พักแก่เขา ดังนั้นข้าจึงส่งองครักษ์มาคุมตัวเขาไว้ด้านในแล้วจัดหาหมอหลวงมารักษา ได้ยินว่าทั้งร่างเขามีแต่บาดแผล เกรงว่าคงเป็นเพราะเขาปกป้องสุยอวิ๋น
หลี่จื้อเอ่ยอย่างฉงนสนเท่ห์ เผยอวิ๋นอยู่ที่สวนเหมันต์ได้อย่างไร พูดพลางก็หมุนตัวเดินเข้าไป
ห้องแห่งนี้คือที่พักของเสี่ยวซุ่นจื่อ การตกแต่งดูเคร่งขรึมยิ่ง เผยอวิ๋นนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เขาถอดเสื้อตัวบนออก ทั้งตัวมีแต่รอยฝ่ามือ บ้างสีเขียวบ้างสีม่วง หมอหลวงคนหนึ่งกำลังทำแผลให้เขาอยู่ เมื่อทั้งสองเห็นหลี่จื้อเข้ามาก็ลุกขึ้นคำนับพร้อมกัน
หลี่จื้อโบกมือแล้วเอ่ยว่า พวกเจ้าทำต่อเถอะ ไม่นานนักหมอหลวงก็เก็บหีบยาแล้วขอตัวออกไป
หลี่จื้อมองเผยอวิ๋นผู้กระวนกระวายอย่างยิ่ง แล้วถอนหายใจถามว่า แม่ทัพเผย เหตุใดจึงอยู่ที่สวนเหมันต์ได้เล่า
เผยอวิ๋นคิดในใจว่าองครักษ์ที่ใต้เท้าเจียงส่งไปแจ้งยงอ๋องว่าตนเองจะอยู่ที่สวนเหมันต์ก็ถูกสังหารด้วยหรือ เขาไม่ถามมากมาย แต่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ตอนนั้นที่เจียงเจ๋อต้องศร เผยอวิ๋นเองก็ตระหนกจนแทบตอบสนองไม่ทัน ขณะที่กำลังจะพยุงคนขึ้นมาก็ได้ยินเสี่ยวซุ่นจื่อกรีดร้อง เงาร่างดุจภาพลวงโผล่มาข้างกายทั้งสองคนปานสายฟ้าแลบ ถึงอย่างไรเสี่ยวซุนจื่อก็ติดตามสุยอวิ๋นมาหลายปี จึงรู้จักการพยาบาลบาดแผลภายนอกอยู่บ้าง เขารู้ว่าไม่อาจดึงศรออกมาส่งเดชจึงทำได้เพียงสกัดจุดหลายตำแหน่งเพื่อห้ามเลือด หลังจากนั้นจึงถ่ายเทลมปราณช่วยประคองชีวิตของสุยอวิ๋น เขามองเผยอวิ๋นเพียงแวบเดียวด้วยสีหน้าเย็นชา เผยอวิ๋นเพียงเห็นวิชาท่าร่างของเขาก็รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้วรยุทธ์สูงกว่าตนเอง เขาจึงรีบอธิบายสถานการณ์อย่างสั้นกระชับ จากนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อก็อุ้มสุยอวิ๋นเดินเข้าไปในสวนเหมันต์ พบว่าเพชรฌฆาตใจทมิฬไม่รู้หนีไปตั้งแต่เมื่อใด ทิ้งไว้แต่คราบเลือดเป็นปื้นบนพื้น
ไม่นานนักองครักษ์ทั้งหลายก็มาถึง เสี่ยวซุ่นจื่อให้พวกเขาไปเชิญหมอหลวงทันที หลังจากนั้นสั่ง ให้พวกเขาดูแลเผยอวิ๋นแล้วเดินเข้าห้องไป เผยอวิ๋นรู้ว่าตนถูกคุมตัวชั่วคราว แต่เขาบริสุทธิ์ใจย่อมไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว
หลี่จื้อฟังคำพูดของเผยอวิ๋นจบจึงลุกขึ้นยืนแล้วค้อมกายคำนับ แม่ทัพเผย วันนี้ท่านสละตนเองช่วยเจียงซือหม่า ไม่ว่าเขารอดหรือตาย ข้าล้วนซาบซึ้งดุจได้รับน้ำใจด้วยตนเอง แต่ยามนี้สถานการณ์ยังไม่กระจ่าง ขอให้ท่านอยู่ที่จวนอ๋องชั่วคราวสักสองสามวัน อีกทั้งแม่ทัพบาดเจ็บหนักเช่นนี้ยิ่งไม่เหมาะจะกลับไปให้บิดาของท่านเป็นกังวล ไม่ทราบแม่ทัพมีผู้อาวุโสในสำนักอยู่ที่นี่หรือไม่ หากได้พวกเขาช่วยเหลืออาการบาดเจ็บของแม่ทัพคงจะรักษาง่ายขึ้น
เผยอวิ๋นรีบตอบ องค์ชายกล่าวเกินไปแล้ว เผยอวิ๋นยินดีทำตามรับสั่งขององค์ชาย ข้ามีอาจารย์อาสองท่านเก็บตัวฝึกฝนอยู่ที่วัดฝูอวิ๋นนอกเมืองฉางอัน องค์ชายส่งคนไปเชิญได้ อาจารย์ทั้งสองเอ็นดูเผยอวิ๋นอย่างยิ่ง ต้องรีบเดินทางมาทันทีแน่นอน
หลี่จื้อพยักหน้า องครักษ์ข้างกายเขาส่วนมากคัดเลือกมาจากในกองทัพ แม้บางคนจะวรยุทธ์สูง แต่เป็นพวกร่างกายภายนอกแข็งแกร่งกว่าพลังภายใน ยามนี้ในจวนขาดยอดฝีมือเช่นนี้ มีภิกษุชั้นสูงจากเส้าหลินอยู่สองรูป ตนย่อมวางใจเรื่องความปลอดภัยของเจียงเจ๋อได้
ตอนนี้เอง โก่วเหลียนก็รีบเร่งเดินเข้ามา องค์ชาย ยามนี้ตรวจสอบชัดเจนแล้ว องครักษ์ทั้งหมดที่เฝ้าสวนเหมันต์ล้วนถูกทำร้าย คนหนึ่งในนั้นตายอยู่ระหว่างทาง ดูเหมือนพยายามจะไปด้านหน้า อีกเรื่องหนึ่ง นอกจากพวกหูเวย ก็ขาดเพียงพ่อครัวที่มาจากหนานฉู่ผู้นั้น คนที่เหลือล้วนอยู่ประจำตำแหน่งของตน ต่างคนต่างมีพยานยืนยัน เบื้องต้นแน่ใจได้ว่าไม่มีผู้ใดมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้
หลี่จื้อเอ่ยอย่างเย็นชา แขกเหล่านั้นเล่า?
โก่วเหลียนเหลือบมองสีหน้าของหลี่จื้อแล้วเอ่ยตอบ เวลานั้นองค์ชายเริ่มงานเลี้ยงฉลองแล้ว ดังนั้นแขกแทบทั้งหมดล้วนอยู่ในห้องโถง แต่มีบางคนที่ผิดปกติ จากที่บ่าวรับใช้รายงาน ยามเกิดเรื่องคนเหล่านี้ล้วนไม่อยู่ในงานเลี้ยง เกรงว่าองค์ชายคงต้องสอบถามพวกเขาด้วยตนเอง พูดพลางก็ส่งรายชื่อแผ่นหนึ่งมาให้
หลี่จื้อรับไป บนนั้นเขียนรายชื่ออยู่ห้าชื่อ ได้แก่เว่ยกั๋วกงเฉิงซู บุตรีจิ้งเจียงอ๋องหลี่หันโยว แม่ทัพหู่เวยฉินชิง แม่ทัพกองราชองครักษ์เผยอวิ๋น และรองสมุหราชองครักษ์เซี่ยโหวหยวนเฟิง หลี่จื้อสีหน้าถมึงทึง
โก่วเหลียนเอ่ยต่อว่า พวกเราพบธนูหนึ่งคันกับลูกธนูขนสีขาวหนึ่งถุงนอกประตูสวน ดูท่ามือสังหารคงทิ้งไว้ที่นั่น
ตอนนั้นเอ งเผยอวิ๋นก็เอ่ยแทรกขึ้นมา องค์ชาย ข้ามองเห็นมือสังหารพริบตาหนึ่ง คนผู้นี้รูปร่างเตี้ยกว่าข้าเล็กน้อย สวมอาภรณ์ตัวยาวสีฟ้า ใช้ผ้าไหมปิดบังใบหน้า ขออภัยที่เผยอวิ๋นมองเห็นสิ่งอื่นไม่ชัด
หลี่จื้อฉุกคิดเรื่องหนึ่งได้จึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ โก่วเหลียน ข้าจำได้ว่าฉินชิงสวมอาภรณ์สีฟ้า
โก่วเหลียนแย้ง องค์ชายอย่าได้ด่วนสรุป แม่ทัพฉินมาจากตระกูลชื่อดังจะทำเรื่องเช่นการลอบสังหารได้เช่นไร พูดพลางก็มองไปทางเผยอวิ๋น
เผยอวิ๋นเอ่ยอย่างรู้จักสถานการณ์ เผยอวิ๋นบาดเจ็บไม่เบา ขออนุญาตองค์ชายออกไปก่อนได้หรือไม่
หลี่จื้อจึงตอบว่า ในสวนเหมันต์ยังมีเรือนพักแขกอีกหลายหลัง ล้วนเก็บกวาดไว้สะอาดสะอ้าน เชิญแม่ทัพเผยเลือกสักหลัง เมื่ออาจารย์อาทั้งสองของแม่ทัพมาถึงก็เชิญพักอยู่ในสวนเหมันต์ชั่วคราว ข้ายังมีธุระสำคัญ เชิญแม่ทัพพักผ่อนตามสบาย หลี่จื้อกล่าวจบก็เดินออกจากประตูห้อง
โก่วเหลียนรีบติดตาม หลี่จื้อเอ่ยอย่างเย็นชา หากเผยอวิ๋นมองไม่ผิด ฉินชิงก็น่าสงสัยที่สุดกระมัง
โก่วเหลียนตอบ อาจกล่าวเช่นนี้มิได้ แม้ฉินชิงจะน่าสงสัย ทว่า
หลี่จื้อเดินพ้นจากประตูห้องแล้วหันไปมองโก่วเหลียน จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เซี่ยโหวหยวนเฟิงรูปร่างคล้ายกับฉินชิง อีกทั้งฝีมือยิงธนูสูงส่ง ไม่แน่เขาอาจเป็นผู้ลงมือ แล้วก็บุตรีจิ้งเจียงอ๋อง แม้หลี่หันโยวจะเป็นเชื้อพระวงศ์หญิง แต่ก็เป็นศิษย์สำนักเฟิงอี้ มีข่าวลือว่านางเป็นศิษย์สายตรงลำดับที่เก้าของเจ้าสำนักเฟิงอี้ เจ้าสำนักเฟิงอี้เป็นยอดฝีมือแห่งการลอบสังหาร หากหลี่หันโยวแต่งกายเป็นบุรุษอาจเป็นคนที่แม่ทัพเผยเห็นก็เป็นได้
หลี่จื้อกระทืบเท้า ไม่ว่าเป็นผู้ใด ข้าจะไม่ปล่อยคนผู้นี้ไปเด็ดขาด อีกประเดี๋ยวเจ้าไปสอบถามเผยอวิ๋นให้ดี ถามรายละเอียดทั้งหมดมาให้กระจ่าง ข้าจะไปพบคนเหล่านี้สักหน่อย ก่อนอื่นเจ้าไปบอกจื่อโยวให้เลิกงานเลี้ยง บอกไปว่าซือหม่าของข้าถูกลอบสังหารจึงไม่มีอารมณ์ร่วมงานเลี้ยงต่อ แล้วเจ้าจงส่งคนไปค่ายทหารนอกเมืองทันที ให้ซือหม่าสยงนำกองทัพองครักษ์พันนายเข้าเมืองมารับช่วงหน้าที่อารักขาจวนอ๋อง งานของกองทัพมอบให้ต่งจื้อจัดการชั่วคราว
โก่วเหลียนเอ่ยอย่างลังเล องค์ชาย เว่ยกั๋วกงน่าจะฝืนรั้งไว้ลำบาก แล้วการเคลื่อนกำลังทหารเข้าเมืองโดยพลการ เกรงว่าจะถูกยื่นฎีการ้องเรียน
หลี่จื้อเอ่ยอย่างเย็นชา ไม่ต้องรั้งเว่ยกั๋วกง ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ ส่วนเรื่องเคลื่อนกำลังทหาร เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะเข้าวังไปกราบทูบเสด็จพ่อเดี๋ยวนี้ เหอะ ในนครหลวงฉางอัน มือสังหารยังเหิมเกริมเช่นนี้ เจ้าเมืองสมควรได้รับโทษ
โก่วเหลียนรีบตอบ องค์ชายความคิดลึกซึ้งถี่ถ้วน ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เจียงเจ๋อก็ดื่มน้ำแกงโสมดำชามที่หนึ่งหมด ลมหายใจของเขาเริ่มมีเรี่ยวแรง ไม่ต้องให้เสี่ยวซุ่นจื่อถ่ายทอดลมปราณต่อชีวิตตลอดเวลาแล้ว เสี่ยวซุ่นจื่อโคจรลมปราณเงียบๆ ฟื้นพลังภายในทันที เวลานี้เขาใจเย็นลงแล้ว ก่อนจะช่วยเจียงเจ๋อสำเร็จ เขาจะบุ่มบ่ามอีกไม่ได้เด็ดขาด
ไม่นานนัก ฉือขู่กับฉือหย่วน สองผู้อาวุโสสายตั๊กม้อแห่งเส้าหลินก็รีบเร่งมาถึง หลังจากตรวจดูอาการบาดเจ็บของศิษย์หลานเสร็จจึงวางใจ ยงอ๋องหลี่จื้อไหว้วานทั้งสองท่านให้ปกปักษ์สวนเหมันต์ด้วยตนเอง แรกเริ่มทั้งสองลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเผยอวิ๋นหน้าแดงแอบกระซิบประโยคหนึ่งข้างหูฉือหย่วน ฉือหย่วนก็รับปากด้วยความยินดี
แม้ไม่รู้ว่าเผยอวิ๋นโน้มน้าวผู้อาวุโสทั้งสองเช่นไร แต่หลี่จื้อก็ยังเอ่ยขอบคุณทั้งสามคนด้วยความซาบซึ้ง หลังจากนั้นจึงรีบร้อนออกจากจวน ควบอาชาทะยานไปยังวังหลวง